คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1760/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษเกินคำขอของโจทก์ ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขเพื่อคุ้มครองสิทธิจำเลย แม้จำเลยมิได้ฎีกา
การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 ประกอบด้วยมาตรา 140 ซึ่งเป็นบทกระทงที่หนักตามมาตรา 91 โดยโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 140 ด้วยนั้น เป็นการเกินคำขอของโจทก์ จึงเป็นผลร้ายแก่จำเลย แม้จำเลยมิได้ฎีกาขึ้นมา แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไข

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1760/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษเกินคำขอของโจทก์ ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขได้ แม้จำเลยมิได้ฎีกา หากเป็นปัญหาความสงบเรียบร้อย
การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 ประกอบด้วยมาตรา140 ซึ่งเป็นบทกระทงที่หนักตามมาตรา 91 โดยโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 140 ด้วยนั้น เป็นการเกินคำขอของโจทก์ จึงเป็นผลร้ายแก่จำเลย แม้จำเลยมิได้ฎีกาขึ้นมา แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไข

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1697/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายเมื่อถูกข่มขู่ด้วยอาวุธมีด ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง
ผู้ตายและจำเลยโต้เถียงกันด้วยเรื่องที่จำเลยทวงเงินจากผู้ตาย จนจำเลยออกปากไล่ผู้ตายซึ่งเป็นผู้ใหญ่กว่าให้ไปเสียให้พ้น ผู้ตายก็ลุกพรวดพราดชักมีดออกจากเอวห่างจำเลย 1 วา เช่นนั้น ย่อมเป็นเหตุการณ์ที่มีเหตุสมควรจะให้บุคคลในฐานะเช่นจำเลยตกใจกลัวว่าผู้ตายจะเข้ามาฟันหรือแทงจำเลย ซึ่งเป็นการจวนตัวเป็นอันตรายที่ใกล้จะถึงตัวเต็มที จำเลยจึงชักปืนยิงไปที่ผู้ตาย 1 นัด โดยนั่งยิงอยู่ตรงนั้นเอง แล้วจำเลยก็วิ่งโดดนอกชานเรือนหนีไป ดังนี้ เป็นการที่จำเลยป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 จำเลยจึงไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1633/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความคลาดเคลื่อนวันเกิดเหตุในฟ้อง ไม่กระทบต่อการรับฟังพยานหลักฐาน ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษา
จำเลยฎีกาว่าพยานโจทก์เบิกความ วันเกิดเหตุแตกต่างกับวันที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ศาลต้องยกฟ้อง ได้ความว่าโจทก์ฟ้องว่าเหตุเกิดวันที่ 3 กรกฎาคม 2508 ซึ่งตรงกับวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 8 ในชั้นพิจารณาจำเลยคนหนึ่งและพยานของจำเลยผู้ฎีกาเบิกความว่าเหตุเกิดตรงกับวันที่โจทก์กล่าวในฟ้อง จำเลยเองก็เบิกความรับว่าเหตุเกิดที่บ้านนายช่วงนางพุ่มซึ่งมีงานบวชนาค จำเลยกับผู้ตายต่างไปที่บ้านงาน และรับว่าเหตุเกิดตรงตามเวลาที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ เห็นได้ว่าการที่พยานโจทก์บางคนเบิกความถึงวันเกิดเหตุว่า เหตุเกิดวันขึ้น 3 ค่ำเดือน 8 ผิดพลาดไปจากที่กล่าวในฟ้องนั้น อาจเนื่องจากจำผิดพลาดก็ได้ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1401/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลแห่งคำพิพากษาอำนาจปกครองบุตร: ศาลฎีกาไม่ขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
เดิม โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ส่งบุตรแก่โจทก์คดีถึงที่สุด โดยศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยส่งตัวบุตรให้โจทก์ แต่จำเลยขอให้งดการบังคับคดีไว้ อ้างว่าได้ฟ้องโจทก์ต่อศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางขอให้พิพากษาให้อำนาจปกครองบุตรอยู่แก่จำเลย ต่อมาคดีหลังถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษาให้อำนาจปกครองบุตรอยู่แก่จำเลย ดังนี้ ประเด็นพิพาทตามคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นเรื่องว่าจะให้จำเลยส่งบุตรแก่โจทก์ตามคำขอหรือไม่ ส่วนประเด็นพิพาทตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นเรื่องว่าอำนาจปกครองควรจะอยู่แก่จำเลยผู้เป็นมารดาหรือไม่ ผลแห่งคำพิพากษาทั้งสองจึงเป็นคนละเรื่องกัน หาขัดแย้งกันไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้อำนาจปกครองบุตรอยู่แก่จำเลยแล้ว อำนาจปกครองที่มีอยู่แก่โจทก์แต่แรกก็ย่อมหมดไปในตัว จำเลยไม่ต้องส่งบุตรให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1401/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของคำพิพากษาเรื่องอำนาจปกครองบุตรต่อคำพิพากษาให้ส่งตัวบุตร แม้ศาลฎีกาสั่งให้ส่งตัวบุตร แต่หากศาลอุทธรณ์พิพากษาให้อำนาจปกครองแก่ฝ่ายอื่น ฝ่ายนั้นไม่ต้องส่งตัวบุตร
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ส่งบุตรแก่โจทก์ คดีถึงที่สุด โดยศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยส่งตัวบุตรให้โจทก์ แต่จำเลยขอให้งดการบังคับคดีไว้ อ้างว่าได้ฟ้องโจทก์ต่อศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางขอให้พิพากษาให้อำนาจปกครองบุตรอยู่แก่จำเลย ต่อมาคดีหลังถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษาให้อำนาจปกครองบุตรอยู่แก่จำเลย ดังนี้ ประเด็นพิพาทตามคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นเรื่องว่าจะให้จำเลยส่งบุตรแก่โจทก์ตามคำขอหรือไม่ ส่วนประเด็นพิพาทตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นเรื่องว่าอำนาจปกครองควรจะอยู่แก่จำเลยผู้เป็นมารดาหรือไม่ผลแห่งคำพิพากษาทั้งสองจึงเป็นคนละเรื่องกัน หาขัดแย้งกันไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้อำนาจปกครองบุตรอยู่แก่จำเลยแล้ว อำนาจปกครองที่มีอยู่แก่โจทก์แต่แรกก็ย่อมหมดไปในตัว จำเลยไม่ต้องส่งบุตรให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 140/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งความเท็จและหมิ่นประมาท: ศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลล่างว่าการให้การเป็นพยานโดยกล่าวถึงข่าวลือไม่ถือเป็นการแจ้งความเท็จหรือหมิ่นประมาท
ฎีกาโจทก์ที่ว่า โจทก์ได้นำสืบพยานหลักฐานให้เห็นว่าจำเลยได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาต่อพนักงานสอบสวนจำเลยต้องมีความผิดตามมาตรา 172,174 นั้น เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเมื่อศาลล่างทั้ง 2 วินิจฉัยต้องกันว่า จำเลยมิได้กล่าวยืนยันข้อเท็จจริง ไม่เป็นการแจ้งความเท็จ พิพากษายกฟ้องฎีกาโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
จำเลยถูกพนักงานสอบสวนสอบสวนเป็นพยานในคดีที่โจทก์กับพวกเป็นจำเลยต้องหากระทำผิดวางเพลิง จำเลยให้การว่า'ข้าพเจ้าเองเมื่อนางแอ๊ดเล่าให้ฟังเช่นนี้มีความรู้สึกสงสัยอยู่เพราะข้าพเจ้าเองก็เคยทราบจากชาวตลาดล่ำลือกันอยู่แล้วว่านายห้างศรีอัมฤทธิ์ผู้นี้ได้จ่ายเงินห้าหมื่นบาทให้นายเสรีอิทธสมบัติ (โจทก์) เป็นค่าจ้างในการวางเพลิงครั้งนี้แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเป็นความจริงเพียงใด' ดังนี้ จำเลยกล่าวแต่เพียงว่าเป็นข่าวเล่าลือไม่ใช่ผู้หนึ่งผู้ใดรู้เห็นมาบอกเล่าจำเลยไม่ใช่คำบอกเล่าที่กล่าวให้ผู้ฟังเชื่อตามคำจำเลย จำเลยถูกสอบสวนเป็นพยานจึงให้การต่อเจ้าพนักงาน ไม่กระทำให้ผู้อื่นเกิดความเข้าใจหรือเชื่อว่าโจทก์ได้รับเงินค่าจ้างวางเพลิงเผาตลาดได้ เพราะเป็นแต่ข่าวเล่าลือยังถือไม่ได้ว่าเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ตามมาตรา 326

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1261/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเรื่องเงินกู้ vs. ค่าทำไม้ไผ่ ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์กลับสู่คำพิพากษาศาลชั้นต้น และคืนค่าธรรมเนียมเกิน
คดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 5,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ไป 3,128 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์ไป แต่จำเลยได้รับเงินล่วงหน้าค่าทำไม้ไผ่จากโจทก์ 3,128 บาท แล้วทำไม้ไผ่ส่งโจทก์เพียง 2,000 ลำ คิดเป็นเงิน 2,000 บาท จำเลยต้องคืนให้โจทก์ 1,128 บาท ดังนี้ เป็นการแก้ไขมาก
โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่จำเลยกู้ไปจากโจทก์ จำเลยฟ้องแย้ง โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นเรียกค่าธรรมเนียมปิดมาท้ายฟ้องฎีกาเป็น 2 คดี รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 542.50 บาท จึงไม่ถูกต้อง เมื่อศาลชั้นต้นให้โจทก์ชนะ 3,535.90 บาท ศาลอุทธรณ์แก้ไขให้โจทก์ชนะ 1,128 บาท โจทก์ฎีกา จึงเป็นทุนทรัพย์ชั้นฎีกา 2,407.90 บาท คงเสียค่าขึ้นศาลเพียง 60 บาท ส่วนเรื่องฟ้องแย้ง ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องแย้งแล้ว โจทก์ไม่มีอะไรที่จะต้องฎีกาอีก โจทก์คงต้องเสียค่าธรรมเนียมเพียงคดีเดียวเท่านั้น เรียกเกินมา 342.50 บาท ให้คืนแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1101/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีฆ่าโดยทารุณโหดร้ายจากการปล้นทรัพย์ ศาลฎีกายืนโทษประหารชีวิตจำเลย
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเองเป็นผู้ใช้มีดเชือดคอเด็กหญิงอายุ 5 ขวบถึงแก่ความตาย และจำเลยยังร่วมกับจำเลยอื่นกระทืบเด็กชายอายุ 8 เดือน ทั้งได้ใช้ผ้าอุดจมูกจนหายใจไม่ออกตาย นอกจากนี้ยังใช้ยาพิษกรอกปากกับใช้มีดเชือดคอมารดาของเด็กทั้งสองผู้ตายจนหลอดเสียงขาดเพื่อจะฆ่าให้ตายด้วย การกระทำของจำเลยดังกล่าวนี้จึงถือได้ว่าเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้าย จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1063/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาถึงที่สุดเรื่องการขายฝากและการครอบครองปรปักษ์ ศาลฎีกาอนุญาตให้วินิจฉัยประเด็นขายฝากได้เนื่องจากยังไม่ถึงที่สุด
โจทก์จำเลยพิพาทกันในคดีก่อน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยได้ขายฝากที่พิพาทไว้กับโจทก์ และจำเลยมิได้ไถ่คืนภายในกำหนดเวลา ที่พิพาทจึงตกเป็นของโจทก์จำเลยได้อุทธรณ์ต่อมา แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่ายังไม่จำต้องพิจารณาว่าทรัพย์ที่พิพาทเป็นของโจทก์ผู้ให้เช่าหรือไม่ ถือว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อันเป็นคำพิพากษาชั้นที่สุดยังมิได้วินิจฉัยประเด็นดังกล่าว จำเลยจึงยกขึ้นต่อสู้และขอให้วินิจฉัยใหม่ในคดีนี้ได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 (อ้างฎีกาที่ 1276/2494)
of 344