พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,082 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเมื่อศาลชั้นต้นและอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงตรงกันว่าจำเลยไม่ผิดฐานชิงทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ตาม มาตรา 300ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับลงโทษจำเลยเพียงทำร้ายร่างกายตาม มาตรา 254 เช่นนี้เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริง แม้จะอ้างเหตุผลไปคนละนัย แต่ในที่สุดก็เห็นต้องกันว่าจำเลยไม่ผิดฐานลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ดังข้อหาของโจทก์ จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานชิงทรัพย์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ดังนี้โจทก์จะฎีกาข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์หาได้ไม่ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 (ประชุมใหญ่ครั้งที่21/2498)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงขัดกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ตาม มาตรา 300ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับลงโทษจำเลยเพียงทำร้ายร่างกายตาม มาตรา 254 เช่นนี้เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริง แม้จะอ้างเหตุผลไปคนละนัย แต่ในที่สุดก็เห็นต้องกันว่าจำเลยไม่ผิดฐานลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ดังข้อหาของโจทก์ จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานชิงทรัพย์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ดังนี้โจทก์จะฎีกาข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์หาได้ไม่ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 (ประชุมใหญ่ครั้งที่21/2498)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1271/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา แม้ข้อเท็จจริงวันเกิดเหตุคลาดเคลื่อนเล็กน้อย และพฤติการณ์การกระทำ
ฟ้องของโจทก์เป็นแต่กล่าวถึงวันกระทำผิดของจำเลยว่าเป็นวันที่ 29 มี.ค. 96 หาได้กล่าวว่าเป็นวันอะไรไม่ พยานโจทก์ทุกคนก็ว่าวันเกิดเหตุเป็นวันที่ 29 มี.ค. 96 ตรงกับฟ้อง แม้พยานโจทก์บางคนจะกล่าวว่าวันเกิดเหตุเป็นวันที่ 29 มี.ค. 96 เป็นวันเสาร์ ความจริงเป็นวันอาทิตย์ เมื่อข้อเท็จจริงอื่นๆ ยังน่าเชื่อว่าวันเกิดเหตุเป็นวันอาทิตย์ที่ 29 มี.ค.96 ซึ่งตรงกับวันที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ที่พยานบางคนว่าเป็นวันเสาร์จึงอาจจำผิดไปเพียงเท่านี้ ยังเรียกไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง
จำเลยแทงผู้ตายขณะเมาสุรา อาวุธที่กระทำร้ายก็เป็นมีดขนาดเล็กและกระทำข้างหลังผู้ตายแต่เพียงที่เดียวเพียงเท่านี้ยังไม่พอชี้ขาดว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า
จำเลยแทงผู้ตายขณะเมาสุรา อาวุธที่กระทำร้ายก็เป็นมีดขนาดเล็กและกระทำข้างหลังผู้ตายแต่เพียงที่เดียวเพียงเท่านี้ยังไม่พอชี้ขาดว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1229/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องทางแพ่งหลังคดีอาญา: ศาลไม่ผูกพันข้อเท็จจริงเดิม หากคดีอาญาไม่ได้ชี้ขาดเรื่องสิทธิในทางแพ่ง
ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งให้ศาลถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
แม้ว่าโจทก์จะเคยฟ้องจำเลยในคดีอาญาในข้อหาว่าลักทรัพย์บุกรุกมาแล้ว และศาลเป็นแต่พิพากษาว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริตลักทรัพย์หรือบุกรุกที่ดินของโจทก์นั้นก็ไม่ใช่เรื่องโต้เถียงการครอบครองหรือสิทธิในทางแพ่ง ศาลหาได้ชี้ขาดที่พิพาทว่าเป็นของใครไม่ ดังนี้โจทก์มีสิทธิกลับมาฟ้องทางแพ่งให้พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวในคดีก่อนเป็นของโจทก์ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำต้องห้าม
เมื่อทางวัดได้มอบอำนาจให้ผู้ใดฟ้องความแทนวัดโดยถูกต้องแล้วผู้นั้นก็ย่อมมีอำนาจดำเนินคดีได้ ส่วนผู้รับมอบอำนาจจะเป็นไวยาวัจจกรของวัดจริงหรือไม่ ไม่สำคัญ
แม้ว่าโจทก์จะเคยฟ้องจำเลยในคดีอาญาในข้อหาว่าลักทรัพย์บุกรุกมาแล้ว และศาลเป็นแต่พิพากษาว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริตลักทรัพย์หรือบุกรุกที่ดินของโจทก์นั้นก็ไม่ใช่เรื่องโต้เถียงการครอบครองหรือสิทธิในทางแพ่ง ศาลหาได้ชี้ขาดที่พิพาทว่าเป็นของใครไม่ ดังนี้โจทก์มีสิทธิกลับมาฟ้องทางแพ่งให้พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวในคดีก่อนเป็นของโจทก์ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำต้องห้าม
เมื่อทางวัดได้มอบอำนาจให้ผู้ใดฟ้องความแทนวัดโดยถูกต้องแล้วผู้นั้นก็ย่อมมีอำนาจดำเนินคดีได้ ส่วนผู้รับมอบอำนาจจะเป็นไวยาวัจจกรของวัดจริงหรือไม่ ไม่สำคัญ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1229/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีแพ่งหลังคดีอาญา: ศาลถือข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาอาญาได้ และอำนาจฟ้องไม่จำกัดเฉพาะไวยาวัจกร
ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งให้ศาลถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
แม้ว่าโจทก์จะเคยฟ้องจำเลยในคดีอาญาในข้อหาว่าลักทรัพย์บุกรุกมาแล้ว และศาลเป็นแต่พิพากษาว่า จำเลยไม่มีเจตนาทุจริตลักทรัพย์หรือบุกรุกที่ดินของโจทก์นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องโต้เถียงการครอบครองหรือสิทธิในทางแพ่ง ศาลหาได้ชี้ขาดที่พิพาทว่าเป็นของใครไม่ ดังนี้โจทก์มีสิทธิกลับมาฟ้องทางแพ่งให้พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวในคดีก่อนเป็นของโจทก์ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำต้องห้าม
เมื่อทางวัดได้มอบอำนาจให้ผู้ใดฟ้องความแทนวัดโดยถูกต้องแล้วผู้นั้นก็ย่อมมีอำนาจดำเนินคดีได้ ส่วนผู้รับมอบอำนาจจะเป็นไวยาวัจกรของวัดจริงหรือไม่ ไม่สำคัญ
แม้ว่าโจทก์จะเคยฟ้องจำเลยในคดีอาญาในข้อหาว่าลักทรัพย์บุกรุกมาแล้ว และศาลเป็นแต่พิพากษาว่า จำเลยไม่มีเจตนาทุจริตลักทรัพย์หรือบุกรุกที่ดินของโจทก์นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องโต้เถียงการครอบครองหรือสิทธิในทางแพ่ง ศาลหาได้ชี้ขาดที่พิพาทว่าเป็นของใครไม่ ดังนี้โจทก์มีสิทธิกลับมาฟ้องทางแพ่งให้พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวในคดีก่อนเป็นของโจทก์ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำต้องห้าม
เมื่อทางวัดได้มอบอำนาจให้ผู้ใดฟ้องความแทนวัดโดยถูกต้องแล้วผู้นั้นก็ย่อมมีอำนาจดำเนินคดีได้ ส่วนผู้รับมอบอำนาจจะเป็นไวยาวัจกรของวัดจริงหรือไม่ ไม่สำคัญ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1225/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลฎีกาในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีแพ่งที่เกี่ยวข้องกับคดีอาญาที่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาด
ความผิดฐานลักทรัพย์เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยข้อเท็จจริงโจทก์จะฎีกาข้อเท็จจริงหาได้ไม่ ต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา ม. 219
แต่ในกรณีที่ศาลฎีกาจะพิพากษาในคดีส่วนแพ่งคือจะสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาไม้รายพิพาทได้หรือไม่นั้น เมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าไม้รายพิพาทเป็นของโจทก์ และศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยชี้ข้อเท็จจริงให้แน่นอนลงไปว่า ไม้เป็นของโจทก์หรือผู้ใดแล้วเช่นนี้ศาลฎีกาก็ย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้ว่าไม้รายพิพาทเป็นของฝ่ายใด และจำเลยจำต้องรับผิดชดใช้ให้เพียงใดหรือไม่
ในเรื่องคดีอาญาปนแพ่งนั้น การพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคดีอาญา (ป.วิ.อาญา ม. 46) แต่ต้องถือตามบทบัญญัติแห่ง ก.ม. ว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งด้วย (ป.วิ.อาญา ม. 47)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18/2498)
แต่ในกรณีที่ศาลฎีกาจะพิพากษาในคดีส่วนแพ่งคือจะสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาไม้รายพิพาทได้หรือไม่นั้น เมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าไม้รายพิพาทเป็นของโจทก์ และศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยชี้ข้อเท็จจริงให้แน่นอนลงไปว่า ไม้เป็นของโจทก์หรือผู้ใดแล้วเช่นนี้ศาลฎีกาก็ย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้ว่าไม้รายพิพาทเป็นของฝ่ายใด และจำเลยจำต้องรับผิดชดใช้ให้เพียงใดหรือไม่
ในเรื่องคดีอาญาปนแพ่งนั้น การพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคดีอาญา (ป.วิ.อาญา ม. 46) แต่ต้องถือตามบทบัญญัติแห่ง ก.ม. ว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งด้วย (ป.วิ.อาญา ม. 47)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18/2498)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1225/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลฎีกาในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา แม้ศาลอุทธรณ์ยังไม่วินิจฉัยเด็ดขาด
ความผิดฐานลักทรัพย์เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยข้อเท็จจริงโจทก์จะฎีกาข้อเท็จจริงหาได้ไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
แต่ในกรณีที่ศาลฎีกาจะพิพากษาในคดีส่วนแพ่งคือจะสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาไม้รายพิพาทได้หรือไม่นั้นเมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าไม้รายพิพาทเป็นของโจทก์ และศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยชี้ข้อเท็จจริงให้แน่นอนลงไปว่าไม้เป็นของโจทก์หรือผู้ใดแล้วเช่นนี้ศาลฎีกาก็ย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้ว่าไม้รายพิพาทเป็นของฝ่ายใด และจำเลยจำต้องรับผิดชดใช้ให้เพียงใดหรือไม่
ในเรื่องคดีอาญาปนแพ่งนั้น การพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญา(ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46) แต่ต้องถือตามบทบัญญัติแห่ง กฎหมายว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งด้วย (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47) (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18/2498)
แต่ในกรณีที่ศาลฎีกาจะพิพากษาในคดีส่วนแพ่งคือจะสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาไม้รายพิพาทได้หรือไม่นั้นเมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าไม้รายพิพาทเป็นของโจทก์ และศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยชี้ข้อเท็จจริงให้แน่นอนลงไปว่าไม้เป็นของโจทก์หรือผู้ใดแล้วเช่นนี้ศาลฎีกาก็ย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้ว่าไม้รายพิพาทเป็นของฝ่ายใด และจำเลยจำต้องรับผิดชดใช้ให้เพียงใดหรือไม่
ในเรื่องคดีอาญาปนแพ่งนั้น การพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญา(ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46) แต่ต้องถือตามบทบัญญัติแห่ง กฎหมายว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งด้วย (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47) (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18/2498)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1160/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิโจทก์ร่วมผู้เยาว์: ความสามารถในการฟ้อง, การแก้ไขฟ้อง, และข้อจำกัดในการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริง
ในคดีอาญาผู้เยาว์ขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมโดยลำพัง ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตแล้ว ต่อมาคดีขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ฎีกาศาลอุทธรณ์ฎีกาจะยกฟ้องหรือไม่รับวินิจฉัยฟ้องของผู้เยาว์เสียทีเดียวยังไม่ได้ ต้องสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องเรื่องความสามารถเสียก่อน แต่อย่างไรก็ดีหากศาลอุทธรณ์ฎีกาเห็นว่าแม้จะได้ให้แก้ไขเรื่องความสามารถให้สมบูรณ์แล้วก็ดี แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏแล้วนั้นไม่อาจมีทางที่ศาลจะแก้ไขให้เป็นไปตามอุทธรณ์ฎีกาของผู้เยาว์ได้แล้วศาลอุทธรณ์ฎีกาจะพิพากษาให้ยกอุทธรณ์ฎีกาของผู้เยาว์เสียเลยก็ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1093/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพนอกเหนือความจริงในคดีทำร้ายร่างกาย ศาลต้องลงโทษตามคำรับสารภาพที่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง
แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลก็จะรับฟังลงโทษนอกเหนือไปจากความจริงหาได้ไม่
ฟ้องว่าผู้เสียหายบาดเจ็บถึงทุพลภาพและทนทุกข์เวทนา+ ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ดังปกติเกินกว่า 20 วัน จำเลยรับสารภาพตามฟ้อง โจทก์ขอสืบพยานประกอบเพราะแต่วันเกิดเหตุถึงวันจำเลยรับไม่เกิน 20 วัน ผู้เสียหายเบิกความว่าแผลที่ศีร์ษะแม้รักษา 30 วัน แต่ก็ลุกไปไหนไม่ได้เพียงครึ่งเดือนเท่านั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นบาดเจ็บถึงสาหัสตาม ม. 256 (8)
ส่วนบาดเจ็บที่นิ้วทำไขดักปลาไม่ได้ 20 วันนั้น ปรากฎว่าผู้เสียหายมีอาชีพทำนา จึงถือไม่ได้ว่าการทำเครื่องมือหาปลาเป็นอาชีพตามปกติ ตาม ม.256(8)
ฟ้องว่าผู้เสียหายบาดเจ็บถึงทุพลภาพและทนทุกข์เวทนา+ ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ดังปกติเกินกว่า 20 วัน จำเลยรับสารภาพตามฟ้อง โจทก์ขอสืบพยานประกอบเพราะแต่วันเกิดเหตุถึงวันจำเลยรับไม่เกิน 20 วัน ผู้เสียหายเบิกความว่าแผลที่ศีร์ษะแม้รักษา 30 วัน แต่ก็ลุกไปไหนไม่ได้เพียงครึ่งเดือนเท่านั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นบาดเจ็บถึงสาหัสตาม ม. 256 (8)
ส่วนบาดเจ็บที่นิ้วทำไขดักปลาไม่ได้ 20 วันนั้น ปรากฎว่าผู้เสียหายมีอาชีพทำนา จึงถือไม่ได้ว่าการทำเครื่องมือหาปลาเป็นอาชีพตามปกติ ตาม ม.256(8)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมโนสาเร่ ศาลฎีกาต้องยึดข้อเท็จจริงเดิมของศาลชั้นต้น หากศาลอุทธรณ์ไม่ได้โต้แย้ง
คดีมโนสาเร่ซึ่งคู่ความอุทธรณ์ได้แต่เฉพาะปัญหาข้อก.ม.นั้น ศาลอุทธรณ์ต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ฉนั้นถ้าศาลอุทธรณ์กลับไปถือเอาข้อเท็จจริงอื่นที่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยไว้โดยศาลอุทธรณ์มิได้ยกเหตุว่าการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้นผิดต่อก.ม.อย่างใดแล้ว และเมื่อปรากฎว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนไม่เป็นการผิดต่อ ก.ม.ศาลฎีกาก็จำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาในการวินิจฉัยปัญหาข้อ ก.ม.ที่มาสู่ศาลฎีกา