คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1371/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จ้างวานฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ได้จ้างจำเลยที่ 2 ให้ยิงผู้ตาย และจำเลยที่ 2 ได้ยิงผู้ตายตายดังที่ตนได้รับจ้างมา และข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ก่อนเกิดเหตุคืนวันที่ 23 เมษายน 2507 จำเลยมาดื่มเบียร์ที่ร้านผู้ตาย จำเลยที่ 1 ยังได้พูดเปรยๆ ว่า ผู้ตายตายเสียคนหนึ่งร้านนี้ก็น่าดู ถ้าผู้ตายมาจะยิงเสีย 3 นัด ดังนี้เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1254/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำและการนำพยานบุคคลสืบหักล้างพยานเอกสาร: ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นฟ้องซ้ำและข้อจำกัดในการนำสืบพยาน
โจทก์ฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่ศาลแขวงในข้อหาว่าฉ้อโกงและเรียกเงินคืนจากจำเลยด้วย ศาลแขวงวินิจฉัยแต่เพียงว่า จำเลยไม่ได้ใช้อุบายหลอกลวงเอาความเท็จมากล่าว ทั้งมิได้ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรแจ้งให้ทราบ คดีไม่มีทางลงโทษจำเลยทางอาญา ส่วนประเด็นที่ว่าเงิน 6,300 บาทที่โจทก์ไปไถ่ถอนจำนองจะเป็นเงินของโจทก์หรือไม่ และจำเลยจะได้รับเงินอีก 700 บาทจากโจทก์หรือไม่ ศาลแขวงกล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย แสดงว่าประเด็นข้อนี้ศาลแขวงยังไม่ได้วินิจฉัย โจทก์มาฟ้องเรียกเงินจำนวน 7,000 บาท ที่ศาลจังหวัดอีก ดังนี้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ข้อที่จำเลยอ้างว่าการนำพยานบุคคลเข้าสืบหักล้างพยานเอกสารเป็นการนำสืบที่ไม่ชอบนั้น จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เมื่อไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ย่อมต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1231/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษจำคุกในคดีฆ่าผู้อื่น: ศาลฎีกาพิจารณาการขอเพิ่มโทษตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 เช่นนี้ ถือได้ว่าโจทก์ฎีกาขอให้วางโทษจำเลยให้หนักขึ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212 ประกอบกับมาตรา 225 แล้ว (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 17/2508)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 957/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการขับรถและการรับผิดทางอาญา ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ว่าไม่พอฟังว่าจำเลยประมาท
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถด้วยความประมาทและฝ่าฝืนกฎหมายโดยขับผ่านสี่แยกด้วยความเร็วกว่า 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และขับผ่านสี่แยกนั้นฝ่าฝืนเครื่องหมายลูกศรให้เลี้ยวซ้าย เป็นเหตุให้ชนรถอื่นมีผู้บาดเจ็บสาหัส ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรฯ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยผิดตามฟ้องพิพากษาลงโทษตามมาตรา300 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 6 เดือน ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยขับรถเร็วกว่า 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยผิดพระราชบัญญัติจราจรฯ ปรับ 100 บาท โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ (หมายเหตุ คำพิพากษาฎีกานี้ มีผลเป็นว่า รูปคดีเช่นนี้ โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งความเท็จและหมิ่นประมาท: ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาศาลล่างให้ถูกต้องได้ แม้โจทก์มิได้ฎีกา
คำพิพากษาของศาลชั้นต้นใส่ชื่อกฎหมายที่ใช้ลงโทษจำเลยผิดพลาดไป โดยใช้ประมวลกฎหมายอาญาแทนที่จะเป็นกฎหมายลักษณะอาญา การที่ศาลฎีกาจะแก้ให้ถูกต้องย่อมไม่เป็นผลร้ายแก่จำเลย แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตามที่ถูกต้องได้
การที่เอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จไปให้การต่อเจ้าพนักงาน ก็เท่ากับแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานนั่นเอง จะอ้างว่าเป็นเรื่องผู้บังคับบัญชาเรียกคนไปสอบถามเอง จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จนั้นหาได้ไม่
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2507)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความเท็จและหมิ่นประมาท: ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาที่อ้างอิงบทกฎหมายผิดพลาดได้
คำพิพากษาของศาลชั้นต้นใส่ชื่อกฎหมายที่ใช้ลงโทษจำเลยผิดพลาดไป โดยใช้ประมวลกฎหมายอาญาแทนที่จะเป็นกฎหมายลักษณะอาญาการที่ศาลฎีกาจะแก้ให้ถูกต้องย่อมไม่เป็นผลร้ายแก่จำเลย แม้โจทก์จะไม่ได้อุทธรณ์และฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตามที่ถูกต้องได้
การที่เอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จไปให้การต่อเจ้าพนักงาน ก็เท่ากับแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานนั่นเอง จะอ้างว่าเป็นเรื่องผู้บังคับบัญชาเรียกตนไปสอบถามเอง จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จหาได้ไม่
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2507)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา: ต้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาโดยตรง ไม่ใช่ศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ+ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาต่อศาลอุทธรณ์ก็ได้ เพราะอำนาจสั่งให้รับฎีกาหรือไม่นั้น+ศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 252
ศาลชั้นต้น+ไม่รับฎีกาฉบับแรกของผู้ร้องแล้ว ผู้ร้องมิได้อุทธรณ์ฎีกา+คำสั่งนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 แต่ยอมทำฎีกาฉบับใหม่+ยื่นแทนในฎีกาชั้นนี้ผู้ร้องจะย้องอ้างว่าฎีกา+ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง+18 อีกไม่ได้ เพราะคำสั่งศาลแพ่งที่+ผู้+ไปแล้ว
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 227,228 เป็นเรื่องคำสั่งให้รับคำคู่ความของศาลชั้นต้น ในกรณีอื่นไม่ใช่กรณีไม่รับฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 253

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 138/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีไม้แปรรูป ความผิดต่อเนื่อง และอำนาจแก้ไขศาลฎีกา
ความผิดฐานมีไม้แปรรูปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไว้ในความครอบครองนั้น เป็นความผิดต่อเนื่องกันตลอดมาตั้งแต่วันมีไว้ในความครอบครองจนถึงวันที่เจ้าพนักงานจับกุมจำเลย
เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยภายหลังวันที่ใช้พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 แล้ว และโจทก์ก็ได้ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 ด้วย การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2584 มาตรา 73 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2498 ซึ่งเป็นการยกบทกฎหมายมาปรับแก่คดีผิดพลาดไปนั้น ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขเสียให้ถูกได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 138/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความและความผิดต่อเนื่องในคดีไม้แปรรูปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขบทกฎหมายที่ศาลชั้นต้นใช้ผิด
ความผิดฐานมีไม้แปรรูปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไว้ในความครอบครองนั้น เป็นความผิดต่อเนื่องกันตลอดมาตั้งแต่วันมีไว้ในครอบครองจนถึงวันที่เจ้าพนักงานจับกุมจำเลย
เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยภายหลังวันที่ใช้พระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 แล้ว และโจทก์ก็ได้ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 ด้วย การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484 มาตรา 73 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2494 ซึ่งเป็นการยกบทกฎหมายมาปรับแก่คดีผิดพลาดไปนั้น ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขเสียให้ถูกได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาต้องยื่นต่อศาลฎีกาโดยตรง การอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาต่อศาลอุทธรณ์ไม่ได้ เพราะอำนาจสั่งให้รับฎีกาหรือไม่นั้น เป็นอำนาจเฉพาะของศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252
ศาลชั้นต้นสั่งตำหนิไม่รับฎีกาฉบับแรกของผู้ร้องผู้ร้องมิได้อุทธรณ์ฎีกาคำสั่งนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 แต่ยอมทำฎีกาฉบับใหม่มายื่นแทน ในฎีกาชั้นนี้ผู้ร้องจะย้อนอ้างว่าฎีกาตามสิทธิในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 อีกไม่ได้เพราะคำสั่งศาลแพ่งที่ติอุทธรณ์ของผู้ร้องขาดตอนไปแล้ว
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227,228 เป็นเรื่องคำสั่งไม่รับคำคู่ความของศาลชั้นต้นในกรณีอื่นไม่ใช่กรณีไม่รับฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 252
of 344