พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,244 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5668/2567
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ที่ไม่ชัดเจนโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกามีสิทธิไม่รับพิจารณา
อุทธรณ์ไม่ว่าจะเป็นข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายจะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งถึงข้อโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าไม่ถูกต้องอย่างไร ด้วยเหตุผลใด และที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร ซึ่งจะเป็นประเด็นในการวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 เป็นการคัดลอกคำให้การของจำเลยทั้งสามมาเกือบทั้งสิ้น มิได้โต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นไว้โดยชัดแจ้งดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอันจะพึงรับไว้พิจารณา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ทั้งการที่ศาลอุทธรณ์จะดำเนินกระบวนพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 240 (2) นั้น อุทธรณ์ดังกล่าวต้องเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายเสียก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4235/2567
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยหลังศาลอุทธรณ์ตัดสินคดีคุมประพฤติแล้ว เหตุ พ.ร.บ.คุมประพฤติ 2559 มาตรา 34 วรรคสอง
จำเลยไม่ชำระหนี้ให้แก่ผู้เสียหายตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดเป็นเงื่อนไขเพื่อควบคุมความประพฤติของจำเลยไว้ เป็นกรณีที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติที่ศาลกำหนดตาม ป.อ. มาตรา 56 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกการคุมประพฤติและให้ลงโทษจำคุกที่รอการลงโทษแก่จำเลย และจำเลยอุทธรณ์คำสั่งนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษาแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ย่อมเป็นที่สุด ตาม พ.ร.บ.คุมประพฤติ พ.ศ. 2559 มาตรา 34 วรรคสอง จำเลยจะฎีกาไม่ได้ การที่จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและผู้พิพากษาที่พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งอนุญาตให้ฎีกามาจึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3672/2567
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษจำคุกโดยศาลอุทธรณ์เกินกว่าที่ศาลชั้นต้นตัดสิน และการแก้ไขคำพิพากษาที่ผิดพลาดตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกาย ให้ลงโทษจำคุกคนละ 2 เดือน โจทก์และโจทก์ร่วมไม่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษฐานร่วมกันทำร้ายร่างกาย เป็นจำคุกคนละ 6 เดือน และปรับคนละ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี เช่นนี้ ย่อมเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยทั้งสองโดยโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ได้อุทธรณ์ จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 212 แม้จำเลยทั้งสองไม่ฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 286/2567
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลอุทธรณ์ต้องพิจารณาอุทธรณ์ขอเพิ่มโทษปรับให้ถูกต้องตามกฎหมาย หากไม่ทำคำพิพากษาไม่ชอบ
คดีนี้โจทก์ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2565 ขอให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 2 ให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยอ้างว่า ศาลชั้นต้นลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ส่งให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิจารณาโดยชอบจึงถือว่าเป็นอุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 แล้ว ดังนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ว่ามีเหตุที่จะลงโทษปรับจำเลยที่ 2 ตามที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษหรือไม่ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติ ป.วิ.อ. ว่าด้วยการพิพากษา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคสอง, 186 (6) (8)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2008/2567
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนอกฟ้องนอกประเด็น: ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเหตุเพลิงไหม้ต่างจากที่โจทก์ฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เกิดเหตุเพลิงไหม้บริเวณลานจอดรถชั้นใต้ดินอันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการหรือจัดให้มีการดับเพลิงอย่างทันท่วงทีจนเป็นเหตุให้ไฟลุกลามไปไหม้รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยเสียหายทั้งคัน คำบรรยายฟ้องเช่นนี้จึงเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดและให้จำเลยที่ 1 รับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 หาได้บรรยายฟ้องหรือตั้งประเด็นว่า เหตุละเมิดเกิดจากกระแสไฟฟ้าซึ่งเป็นทรัพย์อันตรายลัดวงจร การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเหตุเกิดจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจร และโจทก์ได้รับประโยชน์จาก ข้อสันนิษฐาน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 แล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดจึงเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น อันเป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1581/2567
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกใบกำกับภาษีปลอมเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาคลาดเคลื่อน ศาลฎีกายกประเด็นวินิจฉัยได้ แต่จำกัดสิทธิแก้ไขโทษ
แม้ตาม ป.อ. มาตรา 268 บัญญัติให้ผู้ใช้เอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา 265 และเป็นผู้ปลอมเอกสารนั้น รับโทษตามมาตรานี้เพียงกระทงเดียว แต่การใช้เอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตาม ป.รัษฎากร มาตรา 86/13, 90/4 (3) ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษต่างหากจาก ป.อ. ไม่เข้าข้อยกเว้นให้รับโทษฐานใช้เอกสารปลอมกระทงเดียวตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคสอง การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ตาม ป.อ. มาตรา 91 หาใช่เป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัย ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยให้ถูกต้องได้ แต่เมื่อโจทก์และโจทก์ร่วมมิได้ฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขให้ลงโทษเป็นหลายกรรมได้เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยทั้งสอง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195, 212 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4884/2566
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษกักขังแทนโทษจำคุก: ศาลอุทธรณ์พิพากษาสอดคล้องตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 รวม 4 คดี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ในวันเดียวกัน โดยเปลี่ยนโทษจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นกักขังแทนทั้ง 4 คดี ตาม ป.อ. มาตรา 23 เมื่อโทษกักขังเป็นโทษที่ลงแทนโทษจำคุก จำเลยที่ 2 ยังคงต้องถูกบังคับโทษตามคำพิพากษา แม้คดียังไม่ถึงที่สุดและอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ก็มิใช่เหตุที่จะนำโทษกักขังจำเลยที่ 2 มานับต่อจากโทษในคดีอื่นไม่ได้ ศาลจึงอาศัยอำนาจตาม ป.อ. มาตรา 22 ให้นับโทษกักขังติดต่อกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4715/2566
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษบทฉกรรจ์ มาตรา 160 ตรี/2 พ.ร.บ.จราจรทางบก ไม่ใช่การเพิ่มโทษซ้ำซ้อน ศาลอุทธรณ์วางโทษถูกต้อง
พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 160 ตรี/2 วรรคหนึ่ง เป็นเพียงเหตุที่ทำให้ผู้กระทำความผิดตามที่ระบุไว้ในมาตรา 160 ตรี วรรคหนึ่ง ได้รับโทษหนักขึ้นที่เรียกว่าบทฉกรรจ์เท่านั้น ไม่ใช่บทบัญญัติเรื่องการเพิ่มโทษ และศาลอุทธรณ์ภาค 6 วางโทษแก่จำเลยใหม่ตามที่โจทก์อุทธรณ์โดยพิจารณาถึงบทบัญญัติของมาตรา 160 ตรี/2 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ประกอบด้วยอยู่แล้ว ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่ได้ระบุให้เพิ่มโทษหนึ่งในสามก่อนลดโทษมานั้น จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4367/2566
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรื้อฟื้นคดีอาญา: คำร้องซ้ำหลังศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว ถือสิ้นสุดสิทธิ
คำร้องของจำเลยลงวันที่ 4 มีนาคม 2565 ที่ขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่นั้น แม้ศาลชั้นต้นจะมิได้ทำการไต่สวน แต่ศาลชั้นต้นก็ได้พิจารณาคำร้องของจำเลยแล้วและเห็นว่า เมื่อพิจารณาจากคำร้องแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วโดยไม่จำต้องไต่สวน จึงมีคำสั่งให้งดการไต่สวน และทำความเห็นพร้อมส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 5 ซึ่งการจะงดการไต่สวนหรือทำการไต่สวนไปเป็นอำนาจโดยทั่วไปของศาลชั้นต้นหากเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว โดยพิจารณาเพียงจากคำร้องของจำเลย ศาลชั้นต้นก็อาจสั่งให้งดการไต่สวนได้ การดำเนินการในส่วนนี้ของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว และเมื่อคดีขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ก็ได้มีคำวินิจฉัยไปโดยมิได้มีคำสั่งให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องของจำเลยก่อนแต่อย่างใด โดยศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้ให้เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยไว้อย่างแจ้งชัดว่าคำร้องของจำเลยอ้างแต่เพียงว่ามี ม. ประจักษ์พยาน ซึ่งเป็นพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดี ที่รู้เห็นว่าจำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิดเท่านั้น โดยไม่ปรากฏข้ออ้างโดยละเอียดชัดแจ้งเพื่อให้เห็นว่าพยานหลักฐานใหม่มีความเป็นมาอย่างไร เหตุใดจำเลยจึงมิได้นำ ม. มาพิสูจน์ว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดตั้งแต่แรก ที่สำคัญพยานหลักฐานใหม่นั้นมีความสำคัญแก่คดีมากพอที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาที่ได้พิพากษาลงโทษจำเลยไปแล้วหรือไม่ เมื่อคำร้องมิได้อ้างเหตุโดยละเอียดชัดแจ้งเช่นนี้ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดี คำร้องของจำเลยจึงไม่มีมูลพอที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ให้ยกคำร้อง คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ดังกล่าว เป็นการวินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคำร้องแล้ว โดยฟังว่าคำร้องของจำเลยไม่มีมูลเพียงพอที่จะฟังว่ามีพยานหลักฐานใหม่อันควรให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้ ซึ่งตามพ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า หากศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำร้องนั้นไม่มีมูล ให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องนั้น และในวรรคสองบัญญัติว่า คำสั่งของศาลอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด ดังนั้น เมื่อคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ที่สั่งว่าคำร้องของจำเลยไม่มีมูลและให้ยกคำร้อง จึงถึงที่สุดแล้ว การยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ของจำเลยดังกล่าวจึงสิ้นสุด ไม่อาจดำเนินการใดต่อไปได้อีก เนื่องจากมาตรา 18 ระบุไว้อย่างแจ้งชัดว่า คำร้องเกี่ยวกับผู้ต้องรับโทษอาญาคนหนึ่งให้ยื่นได้เพียงครั้งเดียว ดังนั้น เมื่อคำร้องของจำเลยฉบับลงวันที่ 4 มีนาคม 2565 ถึงที่สุดไปแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ ฉบับลงวันที่ 16 สิงหาคม 2565 ได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4087/2566
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีค้ามนุษย์-พรากผู้เยาว์: ศาลยืนตามอุทธรณ์ ยกฟ้องจำเลย เนื่องจากไม่มีหลักฐานพิสูจน์การกระทำผิด
ตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง และมาตรา 6/1 ได้บัญญัติให้ผู้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา 6 วรรคหนึ่ง (2) ถ้าได้กระทำโดยมีความมุ่งหมายเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่งหมายถึงการแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณี...การแสวงหาประโยชน์ทางเพศในรูปแบบอื่น...การบังคับใช้แรงงานหรือบริการโดยนำภาระหนี้ของบุคคลนั้นหรือของผู้อื่นมาเป็นสิ่งผูกมัดโดยมิชอบ โดยได้กระทำให้ผู้นั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้เป็นความผิดฐานค้ามนุษย์ ซึ่งคำว่า "การแสวงหาประโยชน์ทางเพศที่เป็นรูปแบบอื่น" กฎหมายไม่ได้กำหนดบทนิยามไว้ การที่จำเลยทั้งสองให้ผู้เสียหายที่ 1 ทำงานในร้านคาราโอเกะทั้งสองร้านของจำเลยที่ 1 โดยทำหน้าที่เป็นพนักงานชงเหล้าและเบียร์ นั่งดื่มเป็นเพื่อนลูกค้า ให้สวมเสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้นหรือกระโปรงสั้น และผู้เสียหายที่ 1 ถูกลูกค้าหลอกจับมือนั้น ยังไม่มีลักษณะถึงขนาดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองแสวงหาประโยชน์ในทางเพศจากผู้เสียหายที่ 1 ในรูปแบบอื่น และไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองกำหนดให้ผู้เสียหายที่ 1 ต้องยินยอมให้ลูกค้ากระทำอนาจารตามคำฟ้อง จึงยังไม่เข้าลักษณะเป็นการแสวงหาประโยชน์ทางเพศในรูปแบบอื่น อันเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบที่จะเป็นความผิดฐานค้ามนุษย์แต่อย่างใด ส่วนที่จำเลยทั้งสองนำภาระหนี้มาเป็นสิ่งผูกมัดให้ผู้เสียหายที่ 1 จำต้องทำงานอันเป็นการบังคับใช้แรงงานหรือบริการซึ่งเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบนั้น ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความว่า พยานได้รับเงินค่าตอบแทนการทำงานที่ร้าน ก. คืนละ 400 บาท 2 คืน รวมเป็นเงิน 800 บาท และยังได้รับเงินค่าตอบแทนการทำงานที่ร้าน ห. อีกคืนละประมาณ 250 บาท และ 300 บาท ทั้งพยานสามารถออกไปซื้อของได้ในเวลากลางวัน และจำเลยทั้งสองไม่ได้ยึดบัตรประจำตัวและหนังสือเดินทางของผู้เสียหายที่ 1 ไว้ เช่นนี้ จึงเห็นได้ว่าผู้เสียหายที่ 1 สมัครใจมาทำงานและการมาทำงานมีค่าใช้จ่าย 7,400 บาท จริง แม้เพิ่งเข้ามาทำงานและต้องถูกหักเงินใช้หนี้เดือนละ 1,000 บาท แต่ผู้เสียหายที่ 1 ก็ได้รับค่าจ้างและสามารถออกจากที่พักเพื่อไปซื้อของได้ในเวลากลางวัน แสดงว่าผู้เสียหายที่ 1 มีเงินค่าจ้างเหลือเพียงพอ การหักเงินค่าจ้างเดือนละ 1,000 บาท ไม่ใช่อัตราที่สูงเกินจนเป็นการขูดรีดเอาแก่ผู้เสียหายที่ 1 การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นการนำภาระหนี้ของผู้เสียหายที่ 1 มาเป็นสิ่งผูกมัดโดยมิชอบ และทำให้ผู้เสียหายที่ 1 อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นการบังคับใช้แรงงานหรือบริการตามมาตรา 6/1 (5) ที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันรับตัวผู้เสียหายที่ 1 ไว้ทำงานในร้าน ก. และร้าน ห. ของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์และฐานค้ามนุษย์ และเมื่อการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดฐานค้ามนุษย์ จึงไม่จำต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการกระทำความผิดดังกล่าวแก่ผู้เสียหายที่ 1