พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,082 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 856-857/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีร้านค้าต้องอิงค่าเช่าที่สมควรตามวิญญูชนและข้อเท็จจริง
การประเมินเก็บภาษีร้านค้านั้น ต้องอาศัยความจริงแห่งประโยชน์ที่บังเกิดจากทรัพย์สิน อันเป็นมูลที่จะเก็บภาษี
หลักที่จะคำนวณค่ารายปีในชั้นแรกก็คือ จำนวนเงินซึ่งร้านค้านั้นสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่งๆ เท่าใด ซึ่งจะพึงเห็นได้จากความคิดเห็นของวิญญูชนธรรมดาตามกาละเทศะและมุ่งเอาความจริงเป็นหลัก ถ้าทางเจ้าหน้าที่สรรพากรเรียกประเมินเกินไปแล้ว ผู้เสียภาษีก็ย่อมมีสิทธิขอคืนได้
หลักที่จะคำนวณค่ารายปีในชั้นแรกก็คือ จำนวนเงินซึ่งร้านค้านั้นสมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่งๆ เท่าใด ซึ่งจะพึงเห็นได้จากความคิดเห็นของวิญญูชนธรรมดาตามกาละเทศะและมุ่งเอาความจริงเป็นหลัก ถ้าทางเจ้าหน้าที่สรรพากรเรียกประเมินเกินไปแล้ว ผู้เสียภาษีก็ย่อมมีสิทธิขอคืนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 855/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสัมพันธ์ระหว่างคดีอาญาและคดีแพ่ง: ศาลต้องใช้ข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาอาญา
คดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาปนแพ่งขอให้ลงโทษจำเลยทางอาญาและเรียกทรัพย์คืนด้วยนั้น ในการพิพากษา คดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาส่วนอาญาตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 46.
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยฉ้อโกงทรัพย์ ขอให้ลงโทษและใช้ราคาทรัพย์ เมื่อพยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ฉ้อโกงเอา ทรัพย์ของโจทก์ไป ซึ่งจะลงโทษจำเลยทางอาญาไม่ได้แล้ว ก็จะให้จำเลยรับผิดใช้ทรัพย์แก่โจทก์ไม่ได้ด้วย./
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยฉ้อโกงทรัพย์ ขอให้ลงโทษและใช้ราคาทรัพย์ เมื่อพยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ฉ้อโกงเอา ทรัพย์ของโจทก์ไป ซึ่งจะลงโทษจำเลยทางอาญาไม่ได้แล้ว ก็จะให้จำเลยรับผิดใช้ทรัพย์แก่โจทก์ไม่ได้ด้วย./
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 855/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสัมพันธ์ระหว่างคดีอาญาและคดีแพ่ง: การพิพากษาคดีแพ่งต้องยึดตามข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีอาญา
คดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาปนแพ่งขอให้ลงโทษจำเลยทางอาญาและเรียกทรัพย์คืนด้วยนั้น ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยฉ้อโกงทรัพย์ ขอให้ลงโทษและใช้ราคาทรัพย์ เมื่อพยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ฉ้อโกงเอาทรัพย์ของโจทก์ไปซึ่งจะลงโทษจำเลยทางอาญาไม่ได้แล้ว ก็จะให้จำเลยรับผิดใช้ทรัพย์แก่โจทก์ไม่ได้ด้วย
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยฉ้อโกงทรัพย์ ขอให้ลงโทษและใช้ราคาทรัพย์ เมื่อพยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ฉ้อโกงเอาทรัพย์ของโจทก์ไปซึ่งจะลงโทษจำเลยทางอาญาไม่ได้แล้ว ก็จะให้จำเลยรับผิดใช้ทรัพย์แก่โจทก์ไม่ได้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 839/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดเวลาเกิดเหตุในฟ้องอาญา หากช่วงเวลาที่ฟ้องกว้างกว่าข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ ศาลไม่ถือว่าข้อเท็จจริงต่างจากฟ้อง
ฟ้องว่า จำเลยปล่อยช้างเข้าไปในเรือกสวนไร่นาของผู้เสียหาย ฯลฯ เมื่อระหว่างวันที่ 18 และ 19เวลากลางวันและกลางคืน แม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าเหตุเกิดเมื่อคืนวันขึ้น 15 ค่ำ จนเช้าวันแรม 1 ค่ำ ซึ่งตรงกับวันที่ 17-18 ก็ปรากฏว่า ตรงกับฟ้องของโจทก์ส่วนหนึ่งแล้ว จะฟังว่าข้อเท็จจริงต่างกับคำฟ้องอันจะเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 834/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความ 'อาวุธปืนสำหรับใช้เฉพาะแต่ในการสงคราม' เป็นข้อเท็จจริง ห้ามฎีกา
พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯลฯ พ.ศ. 2490 ไม่ได้ให้บทวิเคราะห์ศัพท์คำว่า "อาวุธปืนสำหรับใช้เฉพาะแต่ในการสงคราม" ไว้ ฉะนั้นอาวุธปืนใดเป็นอาวุธปืนสำหรับใช้เฉพาะแต่ในการสงครามหรือไม่ จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีอาวุธปืนธรรมดาไว้ในครอบครองผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯลฯ มาตรา 7, 72 ปรับ 225 บาท ฯลฯล
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าปืนของกลางเป็นอาวุธปืนที่ใช้เฉพาะแต่ในการสงคราม จึงพิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดตาม มาตรา 55, 78 ให้จำคุก 1 ปี ปรับ 1000 บาท เพิ่มโทษและลดแล้ว คงจำคุก 22 วัน ปรับ 666 บาท 66 สตางค์ โทษจำ คุกให้ยกเสีย ดังนี้ จำเลยจะฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 220./
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีอาวุธปืนธรรมดาไว้ในครอบครองผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯลฯ มาตรา 7, 72 ปรับ 225 บาท ฯลฯล
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าปืนของกลางเป็นอาวุธปืนที่ใช้เฉพาะแต่ในการสงคราม จึงพิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดตาม มาตรา 55, 78 ให้จำคุก 1 ปี ปรับ 1000 บาท เพิ่มโทษและลดแล้ว คงจำคุก 22 วัน ปรับ 666 บาท 66 สตางค์ โทษจำ คุกให้ยกเสีย ดังนี้ จำเลยจะฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 220./
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 834/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความ 'อาวุธปืนสำหรับใช้เฉพาะแต่ในการสงคราม' เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้น-อุทธรณ์วินิจฉัยต่างกัน ฎีกาต้องห้าม
พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 ไม่ได้ให้บทวิเคราะห์ศัพท์คำว่า 'อาวุธปืนสำหรับใช้เฉพาะแต่ในการสงคราม' ไว้ ฉะนั้นอาวุธปืนใดเป็นอาวุธปืนสำหรับใช้เฉพาะแต่ในการสงครามหรือไม่ จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีอาวุธปืนธรรมดาไว้ในครอบครองผิดตาม พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 7,72 ปรับ 225 บาท ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าปืนของกลางเป็นอาวุธปืนที่ใช้เฉพาะแต่ในการสงคราม จึงพิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดตามมาตรา 55,78 ให้จำคุก 1 เดือนปรับ 1,000 บาทเพิ่มโทษและลดแล้ว คงจำคุก 22 วัน ปรับ 666 บาท 66สตางค์ โทษจำคุกให้ยกเสีย ดังนี้จำเลยจะฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีอาวุธปืนธรรมดาไว้ในครอบครองผิดตาม พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 7,72 ปรับ 225 บาท ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าปืนของกลางเป็นอาวุธปืนที่ใช้เฉพาะแต่ในการสงคราม จึงพิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดตามมาตรา 55,78 ให้จำคุก 1 เดือนปรับ 1,000 บาทเพิ่มโทษและลดแล้ว คงจำคุก 22 วัน ปรับ 666 บาท 66สตางค์ โทษจำคุกให้ยกเสีย ดังนี้จำเลยจะฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 498/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานจากคดีอาญามาใช้ในคดีแพ่ง: ศาลต้องพิจารณาข้อเท็จจริงด้วยตนเอง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ไม่ใช่หนองสาธารณะ จำเลยต่อสู้ว่าเป็นหนองสาธารณะ คู่ความต่างไม่ติดในสืบพยาน โดยตกลงกันว่าให้ศาลฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่สืบมาแล้วในคดีอาญาคดี
หนึ่ง ซึ่งอัยการเป็นโจทก์ ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยเกี่ยวกับที่พิพาทดังนี้ เมื่อศาลฎีกาพิพากษาคดีอาญาเรื่องนั้นว่า ที่พิพาทจะเป็นหนองสาธารณะหรือไม ไม่วินิจฉัยให้คู่ความชอบที่จะโต้แย้งกันในทางแพ่ง ดังนี้ ข้อที่คู่ความร้องขอให้ฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญา จึงเป็นอันไร้ผล ชอบที่คู่ความจะต้องนำสืบข้อเท็จจริงกันในคดีแพ่งนี้ต่อไป./
หนึ่ง ซึ่งอัยการเป็นโจทก์ ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยเกี่ยวกับที่พิพาทดังนี้ เมื่อศาลฎีกาพิพากษาคดีอาญาเรื่องนั้นว่า ที่พิพาทจะเป็นหนองสาธารณะหรือไม ไม่วินิจฉัยให้คู่ความชอบที่จะโต้แย้งกันในทางแพ่ง ดังนี้ ข้อที่คู่ความร้องขอให้ฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญา จึงเป็นอันไร้ผล ชอบที่คู่ความจะต้องนำสืบข้อเท็จจริงกันในคดีแพ่งนี้ต่อไป./
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 498/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ข้อเท็จจริงจากคดีอาญาในคดีแพ่ง: ศาลต้องพิจารณาข้อเท็จจริงใหม่ในคดีแพ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ไม่ใช่หนองสาธารณะจำเลยต่อสู้ว่าเป็นหนองสาธารณะคู่ความต่างไม่ติดใจสืบพยานโดยตกลงกันว่าให้ศาลฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่สืบมาแล้วในคดีอาญาคดีหนึ่งซึ่งอัยการเป็นโจทก์ ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยเกี่ยวกับที่พิพาทดังนี้เมื่อศาลฎีกาพิพากษาคดีอาญาเรื่องนั้นว่าที่พิพาทจะเป็นหนองสาธารณะหรือไม่ ไม่วินิจฉัยให้คู่ความชอบที่จะโต้แย้งกันในทางแพ่งดังนี้ ข้อที่คู่ความร้องขอให้ฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญา จึงเป็นอันไร้ผลชอบที่คู่ความจะต้องนำสืบข้อเท็จจริงกันในคดีแพ่งนี้ต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 255/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิร่วม, การรื้อถอนเรือน, สิทธิของเจ้าของร่วม, การต่อสู้คดี, ข้อเท็จจริงยังไม่ชัดเจน
มีผู้ทำลายเรือนอันเป็นของเจ้าของร่วม 2 คน เจ้าของร่วมเพียงคนเดียวก็มีสิทธิฟ้องผู้ทำลายนั้นให้ปลูกเรือนให้ใหม่
ตามสถาพเดิม หรือถ้าไม่สามารถทำได้ ก็ให้ใช้ค่าเสียหายได้.
ลูกสะใภ้มีสิทธิฟ้องบิดาของสามีได้ ไม่เป็นอุหลุม.
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยหลายเรือนออกจากที่พิพาทไป ขอให้จำเลยนำเรือนที่จำเลยรื้อไปมาปลูกใหม่ตามสภาพเดิม จำเลยแก้คดีข้อนี้ ว่าจำเลยอยู่เรือนพิพาทเรือนนั้นผู้ฟังไปจนจำเลยอยู่ไม่ได้ จึงซื้อเรือนอยู่ในบ้านนั้น 1 หลัง แล้ว
จำเลยอยู่มาจนบัดนี้ความเสียหายตามฟ้องจำเลยจึงไม่ต้องรับฟิด คำกล่าวแก้เช่นนี้พอเข้าใจได้แล้วว่า จำเลยต่อสู้
ว่าไม่ได้หลายเรือน./
ตามสถาพเดิม หรือถ้าไม่สามารถทำได้ ก็ให้ใช้ค่าเสียหายได้.
ลูกสะใภ้มีสิทธิฟ้องบิดาของสามีได้ ไม่เป็นอุหลุม.
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยหลายเรือนออกจากที่พิพาทไป ขอให้จำเลยนำเรือนที่จำเลยรื้อไปมาปลูกใหม่ตามสภาพเดิม จำเลยแก้คดีข้อนี้ ว่าจำเลยอยู่เรือนพิพาทเรือนนั้นผู้ฟังไปจนจำเลยอยู่ไม่ได้ จึงซื้อเรือนอยู่ในบ้านนั้น 1 หลัง แล้ว
จำเลยอยู่มาจนบัดนี้ความเสียหายตามฟ้องจำเลยจึงไม่ต้องรับฟิด คำกล่าวแก้เช่นนี้พอเข้าใจได้แล้วว่า จำเลยต่อสู้
ว่าไม่ได้หลายเรือน./
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 251/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกาย แม้ข้อเท็จจริงไม่สนับสนุนความผิดฐานชิงทรัพย์
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยสมคบกันกระทำการชิงทรัพย์ โดยจำเลยใช้มีดฟันและเตะทำร้ายร่างกายผู้เสียหายถูก
ตามร่างกายหลายแห่งเป็นบาดแผลปรากฎตามใบชัณสูตรทั้งนี้เพื่อให้เป็นความสดวกที่จะลักทรัพย์แล้วจำเลยได้ชิงทรัพย์ผู้เสียหาย-ไปหลายอย่าง ฯลฯ ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 300,254,63 ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงใน
ทางพิจารณาจะฟังได้เพียงว่าจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายถึงบาดเจ็บเท่านั้น ไม่ได้เอาทรัพย์ด้วย ศาลก็ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 254 ได้./
ตามร่างกายหลายแห่งเป็นบาดแผลปรากฎตามใบชัณสูตรทั้งนี้เพื่อให้เป็นความสดวกที่จะลักทรัพย์แล้วจำเลยได้ชิงทรัพย์ผู้เสียหาย-ไปหลายอย่าง ฯลฯ ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 300,254,63 ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงใน
ทางพิจารณาจะฟังได้เพียงว่าจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายถึงบาดเจ็บเท่านั้น ไม่ได้เอาทรัพย์ด้วย ศาลก็ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 254 ได้./