พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,483 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 334/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีศาลแขวงต้องห้ามตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา การฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริงเดิมจึงไม่รับฟัง
ศาลแขวงพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าจำเลยขาดเจตนาทุจริตโจทก์ อุทธรณ์ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนดังนี้อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา22 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง(ฉบับที่ 2)พ.ศ.2503 มาตรา 10 การที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมี เจตนาทุจริต เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดีของโจทก์ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว โจทก์จึงยกข้อเท็จจริงขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาไม่ได้ เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 มาตรา 7 ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 306/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงโทษจากจำคุกเป็นสถานพินิจสำหรับเด็กและเยาวชน ไม่ตัดสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีที่ศาลคดีเด็กและเยาวชนได้พิพากษาหรือมีคำสั่งแล้วนั้น จะต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 มาตรา 27 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2506 ก็แต่เฉพาะกรณีที่ศาลใช้ดุลพินิจ เปลี่ยนโทษจำคุกหรือวิธีการเพื่อความปลอดภัย เป็นให้ใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนบางประการเท่านั้น มิได้ห้ามคู่ความที่จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้กระทำการอันกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 306/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คดีเด็กและเยาวชน: การเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน ไม่ตัดสิทธิอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
คดีที่ศาลคดีเด็กและเยาวชนได้พิพากษาหรือมีคำสั่งแล้วนั้นจะต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชนพ.ศ.2494 มาตรา 27 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2506 ก็แต่เฉพาะกรณีที่ศาลใช้ดุลพินิจ เปลี่ยนโทษจำคุกหรือวิธีการเพื่อความปลอดภัยเป็นให้ใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนบางประการเท่านั้น มิได้ห้ามคู่ความที่จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้กระทำการอันกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจการอุทธรณ์ของผู้รับมอบฉันทะ: ผู้รับมอบฉันทะยื่นอุทธรณ์แทนผู้มอบฉันทะได้เฉพาะที่ได้รับมอบหมายชัดเจน
ศาลสั่งปรับนายประกันเพราะผู้ต้องหาไม่มาศาลตามนัดผู้รับมอบฉันทะให้นำโฉนดมายื่นต่อศาลและทำสัญญาประกันผู้ต้องหาแทนนายประกันไม่มีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลดังกล่าวเพราะไม่ได้รับมอบอำนาจให้ยื่นอุทธรณ์แทนนายประกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษี: สัญญาซื้อขาย vs. จ้างทำของ และสิทธิในการอุทธรณ์การประเมินภาษี
โจทก์จำหน่ายรองเท้าโดยผลิตเองบ้าง สั่งซื้อรองเท้าสำเร็จรูปจากต่างประเทศบ้าง และสั่งทำจากร้านต่างๆ ในประเทศบ้างนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับร้านผู้ทำรองเท้าสำหรับรองเท้าที่ทำในประเทศจะเข้าลักษณะสัญญาประเภทใด ก็ย่อมต้องดูเจตนาและกริยาของคู่กรณีที่ประพฤติต่อกัน เมื่อได้ความว่าโจทก์กับร้านผู้ทำรองเท้าตกลงกันเป็นเรื่องซื้อขายและปรากฏด้วยว่าผู้ทำรองเท้าเหล่านั้นได้ยื่นรายรับแสดงการชำระภาษีการค้า ในฐานะผู้ผลิตต่อกรมสรรพากร และชำระค่าภาษีไปแล้วจึงสนับสนุนให้เห็นเจตนาของโจทก์กับร้านเหล่านั้นว่ามุ่งที่จะก่อนิติสัมพันธ์กันในทางซื้อขาย มิใช่เรื่องเจตนาจ้างทำของ ส่วนที่มีข้อตกลงให้ร้านผู้ทำรองเท้าต้องทำรองเท้าตามชนิดขนาด ลักษณะ แบบ และวัสดุที่โจทก์กำหนดจะผลิตออกจำหน่ายแก่ผู้อื่นไม่ได้ ร้านผู้ทำรองเท้าต้องประทับตราเครื่องหมายการค้าของโจทก์บนรองเท้า และหีบห่อและต้องยินยอมให้โจทก์เข้าไปตรวจการผลิตรองเท้าก็เป็นเงื่อนไขที่คู่สัญญาซื้อขายอาจตกลงกำหนดเป็นข้อบังคับกันได้ ตามพาณิชโยบายของทั้งสองฝ่ายหาทำให้เจตนาของคู่สัญญาแปรเปลี่ยนไปไม่ เมื่อโจทก์เป็นผู้ซื้อรองเท้าดังกล่าวไม่ใช่ผู้ผลิตโจทก์ก็ไม่ต้องเสียภาษีการค้าในฐานะผู้ผลิตรองเท้านั้น
การที่กรมสรรพากรประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าจากโจทก์และโจทก์ได้ชำระไปตามการประเมินนั้น ไม่ใช่เรื่องกรมสรรพากรได้ทรัพย์สิ่งใดโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ กรณีไม่ต้องห้ามฟ้องเมื่อพ้น 1 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 และเมื่อโจทก์ชำระค่าภาษีอากรตามกฎหมายแล้ว โจทก์ยังมีสิทธิอุทธรณ์ว่าการประเมินไม่ถูกต้องถ้าหากกรมสรรพากรไม่มีสิทธิเรียกเก็บตามกฎหมายก็ต้องคืนให้โจทก์โดยเฉพาะคดีนี้กรมสรรพากรเคยยอมคืนเงินที่โจทก์ฟ้องเรียกคืนให้โจทก์แล้วโดยยอมให้หักเอาจากเงินค่าภาษี ที่โจทก์ต้องชำระแก่กรมสรรพากร ดังนี้กรมสรรพากรจะอ้างว่าได้ครอบครองเงินค่าภาษีที่โจทก์ชำระไปอย่างเป็นเจ้าของมาเกินกว่า 5 ปี ย่อมได้กรรมสิทธิ์นั้น ย่อมรับฟังไม่ได้
การที่กรมสรรพากรประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าจากโจทก์และโจทก์ได้ชำระไปตามการประเมินนั้น ไม่ใช่เรื่องกรมสรรพากรได้ทรัพย์สิ่งใดโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ กรณีไม่ต้องห้ามฟ้องเมื่อพ้น 1 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 และเมื่อโจทก์ชำระค่าภาษีอากรตามกฎหมายแล้ว โจทก์ยังมีสิทธิอุทธรณ์ว่าการประเมินไม่ถูกต้องถ้าหากกรมสรรพากรไม่มีสิทธิเรียกเก็บตามกฎหมายก็ต้องคืนให้โจทก์โดยเฉพาะคดีนี้กรมสรรพากรเคยยอมคืนเงินที่โจทก์ฟ้องเรียกคืนให้โจทก์แล้วโดยยอมให้หักเอาจากเงินค่าภาษี ที่โจทก์ต้องชำระแก่กรมสรรพากร ดังนี้กรมสรรพากรจะอ้างว่าได้ครอบครองเงินค่าภาษีที่โจทก์ชำระไปอย่างเป็นเจ้าของมาเกินกว่า 5 ปี ย่อมได้กรรมสิทธิ์นั้น ย่อมรับฟังไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2631/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่รับหรือคืนอุทธรณ์: โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์ได้ทันที ไม่ต้องรอคำสั่งไม่รับ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคท้าย ให้สิทธิคู่ความที่จะอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งของศาลที่ไม่รับหรือคืนคำคู่ความ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227, 228 และ 247 นั้นได้
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์รับอุทธรณ์คืนไปทำมาภายใหม่ภายในกำหนด 7 วัน แต่โจทก์เห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์ไม่มีข้ออันควรตำหนิที่จะต้องแก้ไข หรือทำมาใหม่ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นโจทก์ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยได้ตามนัยแห่งบทบัญญัติดังกล่าว โดยไม่จำต้องรอให้ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์อีกครั้งหนึ่งก่อน
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์รับอุทธรณ์คืนไปทำมาภายใหม่ภายในกำหนด 7 วัน แต่โจทก์เห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์ไม่มีข้ออันควรตำหนิที่จะต้องแก้ไข หรือทำมาใหม่ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นโจทก์ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยได้ตามนัยแห่งบทบัญญัติดังกล่าว โดยไม่จำต้องรอให้ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์อีกครั้งหนึ่งก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2631/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่รับหรือคืนอุทธรณ์: โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งให้แก้ไขอุทธรณ์ได้ทันที
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคท้าย ให้สิทธิคู่ความที่จะอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งของศาลที่ไม่รับหรือคืนคำคู่ความ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227, 228 และ 247 นั้นได้
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์รับอุทธรณ์คืนไปทำมาใหม่ภายใน กำหนด 7 วัน แต่โจทก์เห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์ไม่มีข้ออันควรตำหนิ ที่จะต้องแก้ไข หรือทำมาใหม่ตามคำสั่งของศาลชั้นต้น โจทก์ ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยได้ตามนัยแห่ง บทบัญญัติดังกล่าว โดยไม่จำต้องรอให้ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์อีกครั้งหนึ่งก่อน
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์รับอุทธรณ์คืนไปทำมาใหม่ภายใน กำหนด 7 วัน แต่โจทก์เห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์ไม่มีข้ออันควรตำหนิ ที่จะต้องแก้ไข หรือทำมาใหม่ตามคำสั่งของศาลชั้นต้น โจทก์ ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยได้ตามนัยแห่ง บทบัญญัติดังกล่าว โดยไม่จำต้องรอให้ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์อีกครั้งหนึ่งก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2524/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางเงินชำระตามคำพิพากษาเกินกำหนด: ศาลไม่รับอุทธรณ์ตามมาตรา 234
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ จำเลยขอยืดเวลาชำระเงินตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นออกไป 7 วันศาลชั้นต้นอนุญาตจำเลยวางเงินนี้เกินกำหนดไป 1 วัน โดยแถลงว่าเพิ่งหาเงินได้ครบในวันนั้น ศาลชั้นต้นสั่งไม่ส่งอุทธรณ์คำสั่งไปศาลอุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นนี้จำเลยอุทธรณ์ได้ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาได้ ศาลฎีกาพิพากษายืนเพราะศาลมิได้ขยายเวลา 7 วันนี้ให้ จึงเป็นการที่จำเลยมิได้ปฏิบัติตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2446/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีอาญาศาลแขวง: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยพยานใหม่เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้ว
โจทก์ฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกง ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่าเป็นการผิดข้อตกลงในทางแพ่ง ไม่มีมูลเป็นความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกง พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยถึงข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยหลอกลวงโจทก์หรือไม่ เป็นการพิพากษาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์เห็นว่าตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงเรื่องนี้ไว้แล้วว่า จำเลยไม่ได้ใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ พิพากษายืน ดังนี้ โจทก์จะฎีกาขอให้พิจารณาจากคำเบิกความของพยานในสำนวนอีกว่า ความจริงจำเลยหลอกลวงโจทก์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงหาได้ไม่ เพราะต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499มาตรา 22
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2224/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อกฎหมายต้องยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นก่อน จึงอุทธรณ์ได้ แม้คดีขอเฉลี่ยทรัพย์
คดีที่พิพาทกันในชั้นขอเฉลี่ยทรัพย์นั้น ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่คู่ความจะยกขึ้นอ้างอิงในการยื่นอุทธรณ์ได้ ก็จะต้องเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น
คำคัดค้านของโจทก์ที่คัดค้านคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์อ้างว่า สัญญาจ้างว่าความที่พิพาททำขึ้นโดยฉ้อฉล แล้วกล่าวเสริมเพียงว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการขัดต่อศีลธรรมและมารยาทของทนายความตามกฎหมาย ดังนี้ ยังไม่เป็นการชัดแจ้งพอที่จะแสดงว่าโจทก์ประสงค์จะยกปัญหาว่า สัญญาจ้างว่าความที่พิพาทเป็นการขัดต่อกฎหมาย (พระราชบัญญัติทนายความ่และข้อบังคับว่าด้วยมารยาททนายความ) เป็นข้อคัดค้านต่อสู้ผู้ร้องด้วย ศาลจึงยกประเด็นเรื่องสัญญาจ้างว่าความดังกล่าวเป็นการสมยอมหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยประการเดียว
คำคัดค้านของโจทก์ที่คัดค้านคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์อ้างว่า สัญญาจ้างว่าความที่พิพาททำขึ้นโดยฉ้อฉล แล้วกล่าวเสริมเพียงว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการขัดต่อศีลธรรมและมารยาทของทนายความตามกฎหมาย ดังนี้ ยังไม่เป็นการชัดแจ้งพอที่จะแสดงว่าโจทก์ประสงค์จะยกปัญหาว่า สัญญาจ้างว่าความที่พิพาทเป็นการขัดต่อกฎหมาย (พระราชบัญญัติทนายความ่และข้อบังคับว่าด้วยมารยาททนายความ) เป็นข้อคัดค้านต่อสู้ผู้ร้องด้วย ศาลจึงยกประเด็นเรื่องสัญญาจ้างว่าความดังกล่าวเป็นการสมยอมหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยประการเดียว