คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
กู้ยืมเงิน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 347 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1815/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกู้ยืมเงินต้องทำเป็นหนังสือ แม้จะมอบอำนาจให้รับเงินแทน หากยังไม่ได้ทำสัญญากู้เป็นหนังสือ สัญญาไม่สมบูรณ์
โจทก์เป็นข้าราชการครูและเป็นสมาชิกสหกรณ์จำเลย ได้ยื่นคำขอกู้เงินจำเลย 6,500 บาท โดยมอบอำนาจให้ ว. ศึกษาธิการอำเภอซึ่งเป็นกรรมการคนหนึ่งของจำเลยเป็นผู้รับเงินแทน ในหนังสือมอบอำนาจนั้นระบุไว้ด้วยว่าเมื่อโจทก์ได้รับเงินกู้จากผู้รับมอบอำนาจ โจทก์จะลงลายมือชื่อในหนังสือกู้และให้ผู้ค้ำประกันลงลายมือชื่อในหนังสือค้ำประกันตามแบบของสหกรณ์ให้เสร็จไปจำเลยยอมให้กู้เพียง 6,300 บาท น้อยกว่าที่โจทก์เสนอ และได้มอบเงินให้ ว.รับไป โดย ว. ทำคำรับรองให้ไว้ต่อจำเลยว่าจะนำเงินรายนี้ไปจ่ายให้ผู้กู้ และเมื่อจ่ายเงิน จะได้จัดให้ผู้กู้และผู้ค้ำประกันลงลายมือชื่อในหนังสือกู้และหนังสือค้ำประกันต่อหน้า ว. ซึ่งจะได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานไว้ด้วย แล้วจะได้จัดส่งหนังสือกู้และค้ำประกันต่อจำเลยโดยเร็วที่สุด ว. จึงมีฐานะเป็นตัวแทนของจำเลยอยู่ด้วย เมื่อ ว.ยังไม่ได้มอบเงินให้โจทก์ จะถือว่าจำเลยได้ส่งมอบเงินที่ยืมให้โจทก์แล้วยังไม่ได้ ทั้งตามหนังสือมอบอำนาจและคำรับรองของ ว. ก็มีข้อความแสดงอยู่ว่า การกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์จำเลยอันมุ่งจะทำนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือ เมื่อกรณีเป็นที่สงสัย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา366 วรรคท้าย ให้นับว่ายังมิได้มีสัญญาต่อกันจนกว่าจะได้ทำเป็นหนังสือ การกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์จำเลยจึงยังไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 15/2516)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1815/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกู้ยืมเงินต้องทำเป็นหนังสือ หากยังไม่ได้ทำสัญญาเสร็จสมบูรณ์ แม้จะมีการมอบเงินแล้ว สัญญาจึงยังไม่ผูกพัน
โจทก์เป็นข้าราชการครูและเป็นสมาชิกสหกรณ์จำเลย ได้ยื่นคำขอกู้เงินจำเลย 6,500 บาท โดยมอบอำนาจให้ ว. ศึกษาธิการอำเภอซึ่งเป็นกรรมการคนหนึ่งของจำเลยเป็นผู้รับเงินแทน ในหนังสือมอบอำนาจนั้นระบุไว้ด้วยว่าเมื่อโจทก์ได้รับเงินกู้จากผู้รับมอบอำนาจ โจทก์จะลงลายมือชื่อในหนังสือกู้และให้ผู้ค้ำประกันลงลายมือชื่อในหนังสือค้ำประกันตามแบบของสหกรณ์ให้เสร็จไปจำเลยยอมให้กู้เพียง 6,300 บาท น้อยกว่าที่โจทก์เสนอ และได้มอบเงินให้ ว.รับไปโดย ว. ทำคำรับรองให้ไว้ต่อจำเลยว่าจะนำเงินรายนี้ไปจ่ายให้ผู้กู้ และเมื่อจ่ายเงิน จะได้จัดให้ผู้กู้และผู้ค้ำประกันลงลายมือชื่อในหนังสือกู้และหนังสือค้ำประกันต่อหน้า ว. ซึ่งจะได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานไว้ด้วย แล้วจะได้จัดส่งหนังสือกู้และค้ำประกันต่อจำเลยโดยเร็วที่สุด ว. จึงมีฐานะเป็นตัวแทนของจำเลยอยู่ด้วย เมื่อ ว.ยังไม่ได้มอบเงินให้โจทก์ จะถือว่าจำเลยได้ส่งมอบเงินที่ยืมให้โจทก์แล้วยังไม่ได้ ทั้งตามหนังสือมอบอำนาจและคำรับรองของ ว. ก็มีข้อความแสดงอยู่ว่า การกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์จำเลยอันมุ่งจะทำนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือ เมื่อกรณีเป็นที่สงสัย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา366 วรรคท้าย ให้นับว่ายังมิได้มีสัญญาต่อกันจนกว่าจะได้ทำเป็นหนังสือ การกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์จำเลยจึงยังไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 15/2516)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2122/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกู้ยืมเงินร่วมกัน แม้ไม่ได้ลงชื่อเป็นผู้กู้โดยตรง ก็มีหน้าที่รับผิดร่วมกันในฐานะตัวการ
จำเลยที่ 1 เป็นสามี จำเลยที่ 2 เป็นภรรยา แต่ไม่ได้ จดทะเบียนสมรสกันจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์เพื่อซื้อบ้านมาอยู่อาศัยด้วยกันและซื้อทรัพย์สินอื่นมาใช้ร่วมกัน เมื่อจำเลยทั้งสองเลิกร้างกัน จำเลยที่ 2 ได้ฟ้องแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ยอมรับเอาประโยชน์จากการที่จำเลยที่ 1 ไปกู้เงินโจทก์และยินยอมให้จำเลยที่ 1 กระทำไปในฐานะตัวแทนอันมีผลให้จำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของบ้านและทรัพย์สินอื่นด้วย ฉะนั้นแม้ในสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์จะมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้คนเดียวก็ตาม จำเลยที่ 2 ก็ต้องรับผิดในฐานะเป็นตัวการของจำเลยที่ 1 ในการกู้เงินโจทก์รายนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1
เมื่อจำเลยกู้เงินของสมาคมโจทก์ คือ เอาเงินของสมาคมโจทก์ไปจำเลยก็มีหน้าที่ต้องใช้เงินคืนแก่สมาคมโจทก์ จำเลยจะโต้แย้งว่าสมาคมโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการให้กู้เงิน ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นไม่ได้
(อ้างฎีกาที่ 1804/2500)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2122/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกู้ยืมเงินร่วมกัน แม้ไม่ได้ลงชื่อในสัญญากู้ ผู้รับประโยชน์ย่อมมีหน้าที่รับผิดชอบหนี้ร่วมกัน
จำเลยที่ 1 เป็นสามี จำเลยที่ 2 เป็นภรรยา แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์เพื่อซื้อบ้านมาอยู่อาศัยด้วยกันและซื้อทรัพย์สินอื่นมาใช้ร่วมกัน เมื่อจำเลยทั้งสองเลิกร้างกัน จำเลยที่ 2 ได้ฟ้องแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ยอมรับเอาประโยชน์จากการที่จำเลยที่ 1 ไปกู้เงินโจทก์และยินยอมให้จำเลยที่ 1 กระทำไปในฐานะตัวแทนอันมีผลให้จำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของบ้านและทรัพย์สินอื่นด้วย ฉะนั้นแม้ในสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์จะมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้คนเดียวก็ตาม จำเลยที่ 2 ก็ต้องรับผิดในฐานะเป็นตัวการของจำเลยที่ 1 ในการกู้เงินโจทก์รายนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1
เมื่อจำเลยกู้เงินของสมาคมโจทก์ คือ เอาเงินของสมาคมโจทก์ไปจำเลยก็มีหน้าที่ต้องใช้เงินคืนแก่สมาคมโจทก์ จำเลยจะโต้แย้งว่าสมาคมโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการให้กู้เงิน ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นไม่ได้
(อ้างฎีกาที่ 1804/2500)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1041/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คเพื่อกู้ยืมเงิน: การออกเช็คเพื่อวัตถุประสงค์อื่นไม่ใช่การแลกเงินสด ทำให้จำเลยไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
จำเลยออกเช็คมอบให้โจทก์ร่วมไปหากู้เงินผู้อื่นไม่ใช่เพื่อแลกเงินสดจากโจทก์ร่วมดังฟ้อง เมื่อโจทก์ร่วมนำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยย่อมไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1406/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกู้ยืมเงินเกิน 50 บาทโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ทำให้สิทธิเรียกร้องทางศาลและทางอาญาไม่สมบูรณ์
ผู้เสียหายให้จำเลยกู้ยืมเงิน 10,000 บาท โดยจำเลยมิได้ทำหลักฐานแห่งการกู้เป็นหนังสือให้ไว้นั้น เป็นการยืมเงินเกิน 50 บาท โดยมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ ซึ่งต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องบังคับคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653
ฉะนั้น ผู้เสียหายจึงไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลกับจำเลยได้ตามความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1406/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกู้ยืมเงินเกิน 50 บาท โดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ทำให้สิทธิเรียกร้องทางศาลเป็นอันตกไป
ผู้เสียหายให้จำเลยกู้ยืมเงิน 10,000 บาท โดยจำเลยมิได้ทำหลักฐานแห่งการกู้เป็นหนังสือให้ไว้นั้น เป็นการยืมเงินเกิน 50 บาท โดยมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ ซึ่งต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องบังคับคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653
ฉะนั้น ผู้เสียหายจึงไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลกับจำเลยได้ตามความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1406/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกู้ยืมเงินเกิน 50 บาทโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ทำให้สิทธิเรียกร้องทางศาลและอาญาไม่สามารถใช้บังคับได้
ผู้เสียหายให้จำเลยกู้ยืมเงิน 10,000 บาท. โดยจำเลยมิได้ทำหลักฐานแห่งการกู้เป็นหนังสือให้ไว้นั้น. เป็นการยืมเงินเกิน 50 บาท. โดยมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ. ซึ่งต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องบังคับคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653.
ฉะนั้น ผู้เสียหายจึงไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลกับจำเลยได้ตามความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1670/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกู้ยืมเงิน: เอกสารคำมั่นสัญญาและสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นหลักฐานการกู้ยืม
เอกสารคำมั่นสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับจำเลย ลงวันที่ 7ธันวาคม 2496 มีข้อความสำคัญว่า จำเลยมอบฉันทะให้เจ้าหนี้รับเงินค่ารับเหมาส่งหินจากกรมทางหลวงแผ่นดิน 495,980 บาท และเพื่อเป็นการตอบแทน เจ้าหนี้จึงจ่ายเงินให้จำเลย 450,000บาท เมื่อพิจารณาเอกสารนี้รวมกับหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลแพ่งคดีดำที่ 875/2506ระหว่างบริษัทสหธนกิจ โจทก์ บริษัทไทยนิยมพาณิชย์ จำเลยซึ่งมีข้อความว่า'ข้อ 2 จำเลยยอมให้เอาหนี้ที่จำเลยเป็นเจ้าหนี้โจทก์ตามข้อ 1 ไปหักกับดอกเบี้ยรายต้นเงิน 336,000 บาท ที่โจทก์ยังไม่ได้ฟ้องอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ซึ่งยังค้างอยู่ถึงวันนี้.....'ตามคำขอรับชำระหนี้รายการอันดับ 4 รายพิพาทมีความว่า '4 หนี้เงินกู้เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2496 ต้นเงินเดิม 450,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีลูกหนี้ผ่อนต้นมาคงค้างต้น 336,000 บาท' แสดงว่าหนี้ราย 336,000 บาท คือหนี้ราย 450,000 บาทแต่เดิมนั่นเอง เมื่อพิจารณาเอกสารคำมั่นสัญญาและสัญญาประนีประนอมยอมความประกอบกันแล้วเห็นได้ชัดว่าจำเลยกู้เงินจำนวนดังกล่าวจากเจ้าหนี้.เอกสารทั้งสองฉบับนี้รวมกันจึงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ดังนั้น การที่เจ้าหนี้นำพยานบุคคลมาสืบว่าเป็นหนี้เงินกู้ จึงหาใช่นำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1670/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หลักฐานการกู้ยืมเงิน: เอกสารคำมั่นสัญญาและสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นหลักฐานสำคัญ
เอกสารคำมั่นสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับจำเลย ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2496 มีข้อความสำคัญว่า จำเลยมอบฉันทะให้เจ้าหนี้รับเงินค่ารับเหมาส่งหินจากกรมทางหลวงแผ่นดิน 495,980 บาท และเพื่อเป็นการตอบแทน เจ้าหนี้จึงจ่ายเงินให้จำเลย 450,000บาท เมื่อพิจารณาเอกสารนี้รวมกับหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความของศาลแพ่งคดีดำที่ 875/2506ระหว่างบริษัทสหธนกิจ โจทก์ บริษัทไทยนิยมพาณิชย์ จำเลยซึ่งมีข้อความว่า"ข้อ 2 จำเลยยอมให้เอาหนี้ที่จำเลยเป็นเจ้าหนี้โจทก์ตามข้อ 1 ไปหักกับดอกเบี้ยรายต้นเงิน 336,000 บาท ที่โจทก์ยังไม่ได้ฟ้องอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ซึ่งยังค้างอยู่ถึงวันนี้....." ตามคำขอรับชำระหนี้รายการอันดับ 4 รายพิพาทมีความว่า "4 หนี้เงินกู้เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2496 ต้นเงินเดิม450,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีลูกหนี้ผ่อนต้นมาคงค้างต้น 336,000 บาท" แสดงว่าหนี้ราย 336,000 บาทคือหนี้ราย 450,000 บาทแต่เดิมนั่นเอง เมื่อพิจารณาเอกสารคำมั่นสัญญาและสัญญาประนีประนอมยอมความประกอบกันแล้วเห็นได้ชัดว่าจำเลยกู้เงินจำนวนดังกล่าวจากเจ้าหนี้เอกสารทั้งสองฉบับนี้รวมกันจึงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ดังนั้น การที่เจ้าหนี้นำพยานบุคคลมาสืบว่าเป็นหนี้เงินกู้ จึงหาใช่นำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารไม่
of 35