พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,140 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 359/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ครอบครองทำประกันภัยรถยนต์คันพิพาท แม้กรรมสิทธิ์ยังไม่เป็นของตน
แม้ผู้ขายรถยนต์คันพิพาทให้แก่โจทก์จะไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาท ไม่อาจโอนขายให้โจทก์ได้ก็ตาม แต่โจทก์ได้รับโอนรถยนต์คันพิพาทมาโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนมีการโอนทะเบียนรถยนต์โดยเปิดเผย โจทก์ได้ยึดถือรถยนต์คันพิพาทไว้ โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน มีการแจ้งย้ายทะเบียนรถยนต์ไปยังภูมิลำเนาของโจทก์ และโจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์ รถยนต์คันพิพาทตลอดมา โจทก์ย่อมมีสิทธิครอบครองรถยนต์ คันพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 โจทก์จึงมีสิทธิใช้สอย และได้รับประโยชน์จากรถยนต์ คันพิพาท มีสิทธิให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครอง โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 1374 มีสิทธิโอนสิทธิ ครอบครองตามมาตรา 1378 และอาจได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ คันพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 ดังนี้ หากมีวินาศภัยเกิดขึ้นแก่รถยนต์คันพิพาทในระหว่างที่อยู่ในความครอบครองของโจทก์ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายต้องขาดประโยชน์ในการใช้สอยรถยนต์คันพิพาทไปจากที่เคยได้รับเป็นปกติ ผู้มีสิทธิเอาประกันภัยนั้นมิได้จำกัดเพียงเฉพาะผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่เอาประกันภัยเท่านั้นผู้ที่มีความสัมพันธ์อยู่กับทรัพย์หรือสิทธิหรือผลประโยชน์หรือรายได้ใด ๆ ซึ่งถ้ามีวินาศภัยเกิดขึ้นจะทำให้ผู้นั้นต้องเสียหายและความเสียหายที่ผู้นั้นจะได้รับสามารถประมาณ เป็นเงินได้แล้ว ผู้นั้นย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่อาจ เอาประกันภัยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 โจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการยึดถือครอบครองใช้ประโยชน์ จากรถยนต์คันพิพาท โจทก์จึงมีสิทธิเอาประกันภัยรถยนต์ ดังกล่าวไว้แก่จำเลยโดยมิต้องคำนึงถึงว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์ คันพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ เมื่อรถยนต์คันพิพาท ที่เอาประกันภัยได้สูญหายไป โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกร้อง ให้จำเลยผู้รับประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ตามสัญญาประกันภัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2657/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานซ่องโจรและมีอาวุธปืน ครอบครอง/พาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ประเด็นการนับโทษ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่กับ ช. ร่วมกันเป็นซ่องโจรโดยสมคบคิดกันตั้งแต่ 5 คน เพื่อกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์และชิงทรัพย์ผู้อื่น แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าในคืนเกิดเหตุ ช. อยู่ร่วมกับจำเลยทั้งสี่ ดังนั้น พฤติการณ์ตามที่โจทก์กล่าวหาจำเลยทั้งสี่จึงไม่เป็นความผิดฐานซ่องโจร
ขณะจำเลยที่ 1 ขึ้นไปโดยสารรถของจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 1 ได้นำอาวุธปืนซึ่งเป็นของตนเก็บไว้ในช่องที่เก็บของหน้ารถแล้วจำเลยที่ 1 นั่งโดยสารไปด้วย ถือว่าความครอบครองอาวุธปืนยังอยู่ที่จำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ลงจากรถลืมเอาอาวุธปืนลงมา และต่อมาในเวลาใกล้ชิดกัน เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสี่ได้ ก็ยังถือว่าอาวุธปืนดังกล่าวยังอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 จึงไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 2 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุกฐานมีอาวุธปืนฯ 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนฯ 1 ปี รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานมีอาวุธปืนฯ จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนฯ จำคุก 6 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ฐานมีอาวุธปืนฯ 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืนฯ 4 เดือน รวมจำคุก 1 ปี ความผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าวโจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ให้หนักขึ้น ดังนั้นในความผิดฐานมีอาวุธปืนฯ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ลดโทษให้จำเลยที่ 1 เพียงหนึ่งในสามแล้วคงจำคุก 8 เดือน จึงเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212
ขณะจำเลยที่ 1 ขึ้นไปโดยสารรถของจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 1 ได้นำอาวุธปืนซึ่งเป็นของตนเก็บไว้ในช่องที่เก็บของหน้ารถแล้วจำเลยที่ 1 นั่งโดยสารไปด้วย ถือว่าความครอบครองอาวุธปืนยังอยู่ที่จำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ลงจากรถลืมเอาอาวุธปืนลงมา และต่อมาในเวลาใกล้ชิดกัน เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสี่ได้ ก็ยังถือว่าอาวุธปืนดังกล่าวยังอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 จึงไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 2 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุกฐานมีอาวุธปืนฯ 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนฯ 1 ปี รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานมีอาวุธปืนฯ จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนฯ จำคุก 6 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ฐานมีอาวุธปืนฯ 8 เดือน ฐานพาอาวุธปืนฯ 4 เดือน รวมจำคุก 1 ปี ความผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าวโจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ให้หนักขึ้น ดังนั้นในความผิดฐานมีอาวุธปืนฯ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ลดโทษให้จำเลยที่ 1 เพียงหนึ่งในสามแล้วคงจำคุก 8 เดือน จึงเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 217/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีวัตถุออกฤทธิ์ในครอบครองเพื่อขาย โจทก์ต้องพิสูจน์เจตนาจำเลย แม้มีของกลางจำนวนมาก
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีอีเฟดรีนจำนวน 195 เม็ดไว้ในครอบครองเพื่อขาย โจทก์ย่อมมีหน้าที่ต้องนำสืบแสดง พยานหลักฐานต่อศาล เพื่อให้เห็นสมจริงว่าจำเลยมี อีเฟดรีน ของกลางไว้เพื่อขาย การยึดได้ของกลางจำนวนดังกล่าวนี้ไม่แน่ว่าจำเลยจะมีไว้เพื่อขายเสมอไป และไม่อาจ สันนิษฐานว่าจำเลยมีของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขายได้ เพราะพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ไม่มีบทบัญญัติให้สันนิษฐานไว้เช่นนั้น ทั้งในชั้นพิจารณาจำเลยก็ปฏิเสธ จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องสืบให้ได้ความเช่นนั้นแต่ข้อนำสืบนั้นต้องมิใช่ส่วนหนึ่งของคำรับที่จำเลยเคยให้การไว้ในชั้นจับกุมหรือสอบสวนเมื่อโจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยจำหน่ายจ่ายแจกหรือมีไว้ซึ่งของกลางเพื่อขายกรณียังมีข้อสงสัยตามสมควร จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัย ให้จำเลย คดีรับฟังได้เพียงว่าจำเลยมีอีเฟดรีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2090/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประโยชน์แห่งความสงสัยในคดีอาญา และอำนาจริบของกลาง
เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ยังเป็นที่สงสัยว่าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางตามฟ้องเป็นของจำเลยหรือไม่ ควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลย ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 227 วรรคสอง และเมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางไว้ในครอบครอง ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องไปถึงความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตที่ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยจำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน แต่อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นทรัพย์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่ามีไว้เป็นความผิดซึ่งต้องริบเสียทั้งสิ้น ศาลจึงมีอำนาจริบได้ไม่ว่าจำเลยจะถูกลงโทษหรือไม่ ทั้งนี้ตาม ป.อ.มาตรา 32
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2090/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง: ยกประโยชน์แห่งความสงสัยเมื่อพยานหลักฐานไม่ชัดเจน
เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ยังเป็นที่สงสัยว่าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางตามฟ้องเป็นของจำเลยหรือไม่ ควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง และเมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนของกลางไว้ในครอบครอง ศาลฎีกา ย่อมมีอำนาจพิพากษา ยกฟ้องไปถึงความผิดฐานมีอาวุธปืน ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตที่ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยจำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน แต่อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นทรัพย์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่ามีไว้เป็นความผิดซึ่ง ต้องริบเสียทั้งสิ้น ศาลจึงมีอำนาจริบได้ ไม่ว่าจำเลยจะถูกลงโทษหรือไม่ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 208/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลางคดีวัตถุออกฤทธิ์: ต้องมีคำพิพากษาลงโทษก่อนจึงจะริบได้ แต่การมีวัตถุไว้ในครอบครองเองก็เป็นความผิดที่ต้องริบ
วัตถุออกฤทธิ์ที่จะริบให้แก่กระทรวงสาธารณสุขตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 116 นั้น ต้องเป็นกรณีที่มีการลงโทษตามมาตรา 89 ฉะนั้น เมื่อศาลยกฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาตามมาตรา 89 แล้ว กรณีจึงไม่อาจริบของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุขตามบทบัญญัติ ดังกล่าวได้ แต่การมีวัตถุออกฤทธิ์ของกลางไว้ในครอบครองเป็นความผิด ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32ให้ริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นของผู้กระทำความผิดและมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ ศาลจึงริบของกลาง ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1868/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดเจตนา: การไถดินในพื้นที่ครอบครองตามปกติ ไม่เป็นความผิดป่าสงวน
บริเวณที่เกิดเหตุเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติชื่อป่าขุนซ่องซึ่งการกำหนดเขตป่าสงวนดังกล่าวได้ออกเป็นกฎกระทรวงและประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งได้ปิดประกาศให้ ประชาชนทั่วไปทราบแล้ว จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบว่า บริเวณที่เกิดเหตุเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่เขตป่าสงวนแห่งชาติ บริเวณนี้มีราษฎรเข้าทำประโยชน์อยู่ทั่วไป โดยทำไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลังและไร่ต้นยูคาลิปตัส ซึ่งทางกรมป่าไม้และ ฝ่ายปกครองอนุโลมผ่อนผันให้ราษฎรที่ทำประโยชน์อยู่แล้วได้ทำ ประโยชน์ต่อไปเป็นแต่ไม่ให้บุกรุกป่าเพิ่มขึ้น ผู้ที่ได้รับการผ่อนผันจะได้รับหนังสือสิทธิทำกิน บริเวณที่เกิดเหตุเป็นที่ดินที่ผ่านการทำประโยชน์มาแล้ว สภาพทั่วไปมีแต่กิ่งไม้ ตอไม้จะมีต้นไม้ขึ้นบ้างเป็นต้นเล็ก ๆ แสดงว่าบริเวณที่เกิดเหตุเป็น ที่ดินที่ได้รับการผ่อนผันให้ราษฎรเข้าทำประโยชน์ได้ จำเลยที่ 1 เป็นคนอยู่นอกพื้นที่ห่างไกลจากเขตป่าสงวนแห่งชาติบริเวณ ที่เกิดเหตุมีอาชีพรับจ้างขับรถ แบคโฮ ขุดสระน้ำและไถดิน เมื่อ จำเลยที่ 3 ว่าจ้างมาขุดสระน้ำในไร่อ้อยของจำเลยที่ 3 ทั้งบริเวณใกล้เคียงก็ล้วนเป็นที่ดินทำไร่มีผู้ครอบครอง หลังจากขุด สระน้ำให้จำเลยที่ 3 เสร็จแล้วก็ถูกว่าจ้างให้เข้าไปไถในบริเวณ ที่เกิดเหตุซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับที่ดินไร่อ้อยของจำเลยที่ 3 อีก ย่อมเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้จำเลยที่ 1 เข้าใจได้ว่าที่เกิดเหตุ เป็นที่ดินที่มีผู้ครอบครองที่จะนำรถขุดเข้าไปไถได้เช่นที่ จำเลยที่ 3 ให้ขุดสระน้ำในไร่อ้อยของจำเลยที่ 3 ซึ่งในชั้นจับกุม และชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ก็ให้การยืนยันว่ามีผู้ว่าจ้าง ให้เข้าไปไถดินในบริเวณที่เกิดเหตุ ทำให้เห็นว่าจำเลยที่ 1ได้กระทำไปโดยสำคัญผิดเข้าใจว่าสามารถที่จะเข้าไปไถที่บริเวณที่เกิดเหตุได้ เป็นการขาดเจตนา การกระทำของจำเลยที่ 1 ย่อมไม่เป็นความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1751/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง อายุความ และการครอบครองแทนทายาท
จำเลยทั้งสองเพียงแต่ให้การว่า โจทก์สละมรดกที่ดินพิพาทและคดีโจทก์ขาดอายุความเพราะฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่โจทก์ทราบว่าเจ้ามรดกถึงแก่กรรม ซึ่งการสละมรดกที่ดินพิพาทกับการมิได้ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นข้อเท็จจริงคนละอย่างต่างกัน ดังนั้น ที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า โจทก์หมดสิทธิรับมรดกเนื่องจากโจทก์มิได้ครอบครองที่ดินพิพาท จึงเป็นข้อเท็จจริงนอกคำให้การ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
ท. เช่าที่ดินพิพาทจาก จ. แม้ จ. ถึงแก่กรรมแล้ว ท. ก็ยังเช่าติดต่อกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ถือได้ว่า ท. ครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของ จ. ซึ่งก็คือโจทก์กับจำเลยทั้งสอง มิได้ครอบครองแทนเฉพาะจำเลยทั้งสองที่เป็นผู้เก็บค่าเช่าเท่านั้น การที่จำเลยทั้งสองได้จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทโดยโจทก์ไม่ทราบประกาศกับมิได้คัดค้าน ยังถือไม่ได้ว่ามีการแบ่งมรดกที่ดินพิพาทแล้ว เพราะการปิดประกาศการขอรับมรดกของเจ้าพนักงานที่ดินก็เพื่อให้ผู้ที่มีสิทธิเกี่ยวข้องได้ทราบและมีการกำหนดเวลาให้เพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินสามารถดำเนินการเกี่ยวกับคำขอรับมรดกได้หากไม่มีผู้คัดค้าน เมื่อถือว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งกัน โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความหนึ่งปี ทั้งนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1748 วรรคหนึ่ง
การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์เป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกของ จ. เจ้ามรดกหรือไม่ ย่อมมีความหมายครอบคลุมรวมถึงมีสิทธิได้รับมรดกเพียงใด หรือทรัพย์มรดกมีเพียงใดด้วย เมื่อจำเลยทั้งสองได้ให้การต่อสู้ในข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้จึงเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
ท. เช่าที่ดินพิพาทจาก จ. แม้ จ. ถึงแก่กรรมแล้ว ท. ก็ยังเช่าติดต่อกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ถือได้ว่า ท. ครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของ จ. ซึ่งก็คือโจทก์กับจำเลยทั้งสอง มิได้ครอบครองแทนเฉพาะจำเลยทั้งสองที่เป็นผู้เก็บค่าเช่าเท่านั้น การที่จำเลยทั้งสองได้จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทโดยโจทก์ไม่ทราบประกาศกับมิได้คัดค้าน ยังถือไม่ได้ว่ามีการแบ่งมรดกที่ดินพิพาทแล้ว เพราะการปิดประกาศการขอรับมรดกของเจ้าพนักงานที่ดินก็เพื่อให้ผู้ที่มีสิทธิเกี่ยวข้องได้ทราบและมีการกำหนดเวลาให้เพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินสามารถดำเนินการเกี่ยวกับคำขอรับมรดกได้หากไม่มีผู้คัดค้าน เมื่อถือว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งกัน โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความหนึ่งปี ทั้งนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1748 วรรคหนึ่ง
การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์เป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกของ จ. เจ้ามรดกหรือไม่ ย่อมมีความหมายครอบคลุมรวมถึงมีสิทธิได้รับมรดกเพียงใด หรือทรัพย์มรดกมีเพียงใดด้วย เมื่อจำเลยทั้งสองได้ให้การต่อสู้ในข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้จึงเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1751/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งมรดก, อายุความ, และขอบเขตการอุทธรณ์คดีมรดก: การครอบครองทรัพย์มรดกยังไม่แบ่งเป็นผลต่ออายุความ
จำเลยทั้งสองเพียงแต่ให้การว่า โจทก์สละมรดกที่ดินพิพาท และคดีโจทก์ขาดอายุความเพราะฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนด หนึ่งปีนับแต่โจทก์ทราบว่าเจ้ามรดกถึงแก่กรรมซึ่งการสละมรดก ที่ดินพิพาทกับการมิได้ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นข้อเท็จจริง คนละอย่างต่างกัน ดังนั้น ที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า โจทก์หมดสิทธิรับมรดกเนื่องจากโจทก์มิได้ครอบครองที่ดินพิพาท จึงเป็นข้อเท็จจริงนอกคำให้การ ถือว่าเป็น ข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ท. เช่าที่ดินพิพาทจาก จ. แม้ จ. ถึงแก่กรรมแล้วท. ก็ยังเช่าติดต่อกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ถือได้ว่าท. ครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของ จ. ซึ่งก็คือโจทก์กับจำเลยทั้งสอง มิได้ครอบครองแทนเฉพาะจำเลยทั้งสองที่เป็น ผู้เก็บค่าเช่าเท่านั้น การที่จำเลยทั้งสองได้จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทโดยโจทก์ไม่ทราบประกาศกับมิได้คัดค้านนั้นยังถือไม่ได้ว่ามีการแบ่งมรดกที่ดินพิพาทแล้ว เพราะการปิดประกาศการขอรับมรดกของเจ้าพนักงานที่ดินก็เพื่อให้ผู้ที่มีสิทธิเกี่ยวข้องได้ทราบ และมีการกำหนดเวลาไว้เพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินสามารถดำเนินการเกี่ยวกับคำขอรับมรดกได้หากไม่มีผู้คัดค้านเมื่อถือว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งกันโจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้ แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความหนึ่งปีทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1748 วรรคหนึ่ง การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์เป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกของ จ. เจ้ามรดกหรือไม่ ย่อมมีความหมายครอบคลุมรวมถึงมีสิทธิได้รับมรดกเพียงใดหรือทรัพย์มรดกมีเพียงใดด้วย เมื่อจำเลยทั้งสองได้ให้การต่อสู้ในข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้จึงเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1710/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแยกความผิดผลิตและครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย การลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุด
โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 1 ว่า จำเลยกระทำความผิดกฎหมาย หลายกรรมต่างกันโดยแยกเป็นข้อ ก.ข.ค.ง. ฟ้องข้อ 1 ก. โจทก์บรรยายว่า จำเลยผลิตเฮโรอีนโดยการแบ่งบรรจุ ใส่หลอดกาแฟปิดหัวท้ายยาวประมาณ 2 เซนติเมตร จำนวน 4 หลอด รวมน้ำหนัก 0.072 กรัม โดยไม่ได้รับอนุญาต ฟ้องข้อ 1 ข.โจทก์บรรยายว่า จำเลยมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนบรรจุหลอดพลาสติกเบอร์ 5จำนวน 1 หลอด และบรรจุหลอดกาแฟ 4 หลอด รวมน้ำหนัก0.368 กรัม อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 ก. ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตและมิได้รับการยกเว้นใด ๆ ตามกฎหมายดังนี้แม้ฟ้องข้อ 1 ข. จะระบุว่าจำเลยมียาเสพติดให้โทษตามฟ้องข้อ 1 ก. ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ฟ้องทั้ง 2 ข้อดังกล่าว โจทก์บรรยายฟ้องแยกการกระทำความผิดของจำเลยออกเป็นต่างกรรมกัน ฟ้องข้อ 1 ก.โจทก์มิได้บรรยายว่า การผลิตเฮโรอีนของจำเลยนั้นเป็นการกระทำเพื่อจำหน่าย อันเป็นสาระสำคัญแห่งองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 65 วรรคสอง ดังนี้ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 65 วรรคสอง ได้ คงลงโทษจำเลยได้ตามมาตรา 65 วรรคหนึ่ง เท่านั้น