พบผลลัพธ์ทั้งหมด 325 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1002/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษความผิดหลายกรรมต่างกัน: ฆ่าและพยายามฆ่า ศาลลงโทษเฉพาะกระทงหนักสุดได้ตามมาตรา 91
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เป็นเรื่องกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลจะลงโทษผู้กระทำผิดทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป หรือจะลงโทษเฉพาะกระทงที่หนักที่สุดก็ได้
จำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และพยายามฆ่าผู้เสียหาย ถือว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรม
จำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และพยายามฆ่าผู้เสียหาย ถือว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1002/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานฆ่าและพยายามฆ่า: ศาลพิจารณาความผิดหลายกรรมต่างกันตามมาตรา 91
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เป็นเรื่องกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลจะลงโทษผู้กระทำผิดทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป หรือจะลงโทษเฉพาะกระทงที่หนักที่สุดก็ได้
จำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และพยายามฆ่าผู้เสียหายถือว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรม
จำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และพยายามฆ่าผู้เสียหายถือว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1913-1915/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยในคดีความผิดหลายกรรมต่างกัน แม้จะรวมพิจารณาคดีแล้ว โทษจำคุกรวมต้องไม่เกิน 20 ปี
แม้โจทก์จะแยกฟ้องจำเลยเป็นสามสำนวน. โดยขอให้นับโทษจำเลยทุกสำนวนต่อกันก็ตาม. แต่เมื่อศาลได้รวมพิจารณาคดีทั้งสามสำนวนเข้าด้วยกัน และปรากฏว่าจำเลยได้กระทำการอันเป็นความผิดทั้งสามสำนวน. ก็ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ซึ่งศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามรายสำนวนก็ได้.แต่ทั้งนี้โทษจำคุกทั้งสิ้นของจำเลยในคำพิพากษาฉบับเดียวกันนี้จะต้องไม่เกิน 20 ปี ตาม ประมวลกฎหมายอาญา.มาตรา 91.(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 828-830/2511).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 666/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดหลายกรรมต่างกัน: แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานเท็จแล้วปล้นทรัพย์ ไม่ถือว่าสิทธินำคดีมาฟ้องระงับ
จำเลยทั้งสองกับพวกเข้าล้อมผู้เสียหาย แล้วจำเลยที่ 1 บอกว่า อั๊วเป็นตำรวจ พร้อมกับเอาบัตรประจำตัวแลบกระเป๋มเสื้อ ขอ คน ผู้เสียหายเชื่อจึงยอมให้ค้น จำเลยกับพวกค้นแล้วไม่ได้ของผิดกฎหมายจึงเอามีดออกขู่เอานาฬิกาข้อมือของผู้เสียหายไป ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานปล้นทรัพย์ไปแล้ว โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ดังนี้ การแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจโดยมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจกระทำการนั้น จำเลยที่ 1 ได้กระทำไปครบองค์ความผิดเป็นการเสร็จเด็ดขาดอยู่ในตัวไปตอนหนึ่งแล้ว เมื่อไม่ได้ของผิดกฎหมาย จำเลยที่ 1 กับพวกจึงเอามีดออกขู่ทำการปล้นทรัพย์ เป็นการเริ่มกรรมใหม่อีกกรรมหนึ่ง ถือว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 สิทธินำคดีมาฟ้องยังไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 666/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดหลายกรรมต่างกัน: แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเท็จและปล้นทรัพย์ สิทธินำคดีมาฟ้องยังไม่ระงับ
จำเลยทั้งสองกับพวกเข้าล้อมผู้เสียหาย แล้วจำเลยที่ 1 บอกว่าอั๊วเป็นตำรวจพร้อมกับเอาบัตรประจำตัวแลบกระเป๋าเสื้อขอค้น ผู้เสียหายเชื่อจึงยอมให้ค้นจำเลยกับพวกค้นแล้วไม่ได้ของผิดกฎหมายจึงเอามีดออกขู่เอานาฬิกาข้อมือของผู้เสียหายไป ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานปล้นทรัพย์ไปแล้ว โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ดังนี้การแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจโดยมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจกระทำการนั้น จำเลยที่ 1 ได้กระทำไปครบองค์ความผิดเป็นการเสร็จเด็ดขาดอยู่ในตัวไปตอนหนึ่งแล้วเมื่อไม่ได้ของผิดกฎหมายจำเลยที่ 1 กับพวกจึงเอามีดออกขู่ทำการปล้นทรัพย์เป็นการเริ่มกรรมใหม่อีกกรรมหนึ่งถือว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 สิทธินำคดีมาฟ้องยังไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1730/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดหลายกรรม: ฉุดคร่าและข่มขืนกระทำชำเรา แม้ต่อเนื่องกันก็เป็นคนละกรรมได้
จำเลยฉุดคร่าผู้เสียหายจากทางเดิน นำเข้าป่าข้างทางห่างทางเดิน 7-8 วา แล้วร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในป่านั้น เป็นการกระทำอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
มาตรา 281 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ไม่ใช่บทลงโทษ ไม่จำต้องยกขึ้นปรับบทลงโทษจำเลย
มาตรา 281 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ไม่ใช่บทลงโทษ ไม่จำต้องยกขึ้นปรับบทลงโทษจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1730/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดหลายกรรมต่างกัน: ฉุดคร่าและข่มขืน แม้ต่อเนื่องกันก็เป็นคนละกรรมได้
จำเลยฉุดคร่าผู้เสียหายจากทางเดินนำเข้าป่าข้างทางห่างทางเดิน 7-8 วา แล้วร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในป่านั้น เป็นการกระทำอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
มาตรา 281 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ไม่ใช่บทลงโทษ ไม่จำต้องยกขึ้นปรับบทลงโทษ
มาตรา 281 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ไม่ใช่บทลงโทษ ไม่จำต้องยกขึ้นปรับบทลงโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9309/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดหลายกรรมต่างกัน: วัตถุระเบิด, ฆ่าผู้อื่น, พยายามฆ่าผู้อื่น, ศาลฎีกาแก้ไขโทษ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานจำเลยร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 38, 74 โดยมิได้ขอให้ลงโทษตาม มาตรา 78 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยโยนวัตถุระเบิดขึ้นไปบนรถโดยสารสาธารณะ การกระทำของจำเลยในความผิดฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่ประกอบขึ้นเองไว้ในครอบครองกับฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นและฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น มีเจตนาในการกระทำผิดเป็นคนละอันแตกต่างกันและเป็นความผิดต่างฐานกัน การกระทำของจำเลยทั้งสองก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน หาใช่กรรมเดียวกันไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5861/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ จากประกาศ คสช. และการพิจารณาความผิดหลายกรรมต่างกัน กรณีไม้พะยูง
คดีนี้ โจทก์อุทธรณ์ว่า ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 106/2557 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 ซึ่งได้ประกาศและให้มีผลบังคับใช้ทันทีตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2557 เป็นต้นไป ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา 7 และมาตรา 48 ความในวรรคสองของมาตรา 69 และมาตรา 73 แห่ง พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 และความในลำดับที่ 53 ในช่องประเภท ก. ไม้หวงห้ามธรรมดาของบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ.2530 และให้ใช้บทบัญญัติตามความในวรรคหนึ่งของมาตรา 7 และมาตรา 48 ความในวรรคสองของมาตรา 69 และมาตรา 73 แห่ง พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ที่แก้ไขใหม่ มีผลให้ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับไม้พะยูงตามฟ้อง ฐานมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป นับตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2557 เป็นต้นไป ต้องถูกลงโทษตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 7 วรรคหนึ่ง, 48 วรรคหนึ่ง, 69 วรรคสอง (1), 73 วรรคสอง (1) ซึ่งความผิดทั้งสองฐานต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่ห้าหมื่นบาทถึงสองล้านบาท ที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 48 วรรคหนึ่ง, 69 วรรคหนึ่ง, 73 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบัญญัติเดิม และพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป ให้จำคุกกระทงละ 3 เดือน และปรับกระทงละ 5,000 บาท จึงเป็นโทษที่ต่ำกว่าอัตราโทษตามกฎหมายที่ใช้บังคับขณะกระทำความผิด ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยโดยปรับบทลงโทษตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 7 วรรคหนึ่ง, 48 วรรคหนึ่ง, 69 วรรคสอง (1), 73 วรรคสอง (1) ที่แก้ไขเพิ่มเติมตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 106/2557 โดยไม่รอการลงโทษแก่จำเลย อันเป็นการอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ปรับบทกฎหมายและลงโทษจำเลยตามฟ้องเสียใหม่ให้ถูกต้องตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 7 วรรคหนึ่ง, 48 วรรคหนึ่ง, 69 วรรคสอง (1), 73 วรรคสอง (1) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะกระทำความผิด และมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่ห้าหมื่นบาทถึงสองล้านบาท สูงกว่าระวางโทษตามบทกฎหมายที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย ย่อมถือได้ว่าโจทก์อุทธรณ์ในทำนองขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จึงชอบที่จะพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยได้
การที่จำเลยมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและการที่จำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป ลักษณะความผิดในแต่ละข้อหาอาศัยเจตนาในการกระทำความผิดแตกต่างแยกจากกันได้ จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ไม้พะยูงของกลางเป็นไม้หวงห้ามที่มีราคาแพงมีความต้องการในตลาดสูง แม้มีจำนวนไม่มากแต่ก็เป็นการทำลายทรัพยากรที่สำคัญของประเทศ เป็นเหตุให้สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติถูกทำลาย ประกอบกับปัจจุบันปัญหาการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนมีมากมีผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำคุกจำเลย
การที่จำเลยมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและการที่จำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป ลักษณะความผิดในแต่ละข้อหาอาศัยเจตนาในการกระทำความผิดแตกต่างแยกจากกันได้ จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ไม้พะยูงของกลางเป็นไม้หวงห้ามที่มีราคาแพงมีความต้องการในตลาดสูง แม้มีจำนวนไม่มากแต่ก็เป็นการทำลายทรัพยากรที่สำคัญของประเทศ เป็นเหตุให้สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติถูกทำลาย ประกอบกับปัจจุบันปัญหาการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนมีมากมีผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำคุกจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4214/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดหลายกรรมต่างกัน พ.ร.บ.ปุ๋ย: การผลิตและจำหน่ายปุ๋ยเคมีปลอม
โจทก์บรรยายฟ้องแยกเป็นข้อ ๆ ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมเพื่อการค้า ร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีซึ่งแสดงชื่อการค้าไม่ถูกต้อง ร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีที่ต้องขึ้นทะเบียนแต่มิได้ขึ้นทะเบียน และร่วมกันจำหน่ายโดยการขายปุ๋ยเคมีดังกล่าวให้แก่ร้าน จ. แสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองแยกเป็นรายกระทงความผิดตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง ทั้งความผิดฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมเพื่อการค้า ฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีซึ่งแสดงชื่อการค้าไม่ถูกต้อง และฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีที่ต้องขึ้นทะเบียนแต่มิได้ขึ้นทะเบียน กับความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายปุ๋ยเคมีดังกล่าวเป็นความผิดที่ต้องอาศัยเจตนาในการกระทำความผิดแยกต่างหากจากกันได้ แม้ปุ๋ยเคมีปลอม ปุ๋ยเคมีซึ่งแสดงชื่อการค้าไม่ถูกต้อง ปุ๋ยเคมีที่ต้องขึ้นทะเบียนแต่มิได้ขึ้นทะเบียน และปุ๋ยเคมีที่จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกัน และจำเลยทั้งสองร่วมกันขายปุ๋ยเคมีดังกล่าวในช่วงเวลาเดียวกันก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาแยกการร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมเพื่อการค้า ร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีซึ่งแสดงชื่อการค้าไม่ถูกต้อง และร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีที่ต้องขึ้นทะเบียนแต่มิได้ขึ้นทะเบียนต่างหากจากการร่วมกันขายปุ๋ยเคมีดังกล่าวตั้งแต่จำเลยทั้งสองร่วมกันขายปุ๋ยเคมีให้แก่ร้าน จ. แล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91