พบผลลัพธ์ทั้งหมด 632 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำหน่ายและครอบครองกัญชา: ศาลฎีกาพิจารณาการลงโทษและขอบเขตการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา26,76 ลงโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มิได้มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคแรก 76 วรรคแรก ลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาท และให้รอการลงโทษ ดังนี้ แม้จะเป็นการแก้ไขมาก แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ลงโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 โจทก์ฎีกาว่า คำเบิกความของพยานโจทก์สอดคล้องต้องกันฟังได้ว่า จำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายและครอบครองกัญชา ศาลฎีกาแก้โทษจำหน่ายกัญชา แต่ไม่อาจฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายกัญชา จำคุกกระทงละ 1 ปี 4 เดือน รวมสองกระทงจำคุก2 ปี 8 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ปรับ 10,000บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ข้อหาอื่นให้ยกดังนี้ความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะพิพากษาแก้ไขมาก แต่เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี โจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2842/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายยาเสพติดต้องเป็นการจำหน่ายให้บุคคลภายนอก การส่งมอบระหว่างผู้กระทำผิดไม่ถือเป็นจำหน่าย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามฟ้องจึงเป็นเรื่องจำเลยทั้งสองเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดแต่ปรากฏว่าที่จำเลยที่ 2 นำเฮโรอีนมาส่งมอบให้จำเลยที่ 1 เป็นการส่งมอบเฮโรอีนระหว่างผู้กระทำผิดด้วยกันเอง ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการจำหน่าย เพราะการจำหน่ายหมายถึงการจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกที่มิใช่ผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกันเมื่อไม่มีข้อบ่งชี้ใดว่าจำเลยที่ 2 มีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แม้จำเลย-ที่ 2 จะรับสารภาพก็ลงโทษฐานมีโฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2842/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายยาเสพติด: การส่งมอบระหว่างตัวการร่วมกันไม่ใช่การจำหน่ายตามกฎหมาย
บทนิยามคำว่า "จำหน่าย" ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ หมายถึง การจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกที่มิใช่ผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ดังนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงเป็นเรื่องจำเลยทั้งสองเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดการที่โจทก์นำสืบว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 2นำเฮโรอีนของกลางมาส่งมอบให้จำเลยที่ 1 นั้น จึงเป็นการส่งมอบเฮโรอีนของกลางระหว่างตัวการผู้กระทำผิดร่วมกัน มิใช่เป็นการจำหน่ายตามบทนิยามดังกล่าว ทั้งเฮโรอีนของกลางมีจำนวนเพียง18.02 กรัม ไม่เข้าข้อสันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งต้องมีถึง 20 กรัม ตามมาตรา 15 วรรคสอง แม้จำเลยที่ 2จะให้การรับสารภาพก็ลงโทษในความผิดฐานนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2842/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายยาเสพติด: การส่งมอบระหว่างตัวการร่วมกระทำผิดไม่ถือเป็นการจำหน่าย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามฟ้องจึงเป็นเรื่องจำเลยทั้งสองเป็นตัวการร่วมกระทำความผิด แต่ปรากฎว่าที่จำเลยที่ 2 นำเฮโรอีนมาส่งมอบให้จำเลยที่ 1 เป็นการส่งมอบเฮโรอีนระหว่างผู้กระทำผิดด้วยกันเองซึ่งไม่ถือว่าเป็นการจำหน่าย เพราะการจำหน่ายหมายถึงการจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกที่มิใช่ผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน เมื่อไม่มีข้อบ่งชี้ใดว่าจำเลยที่ 2 มีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแม้จำเลยที่ 2 จะรับสารภาพก็ลงโทษฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1552/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ครอบครองยาเสพติดปริมาณมากเพื่อจำหน่าย แม้จะอ้างว่านำไปส่งต่อก็ถือเป็นความผิด
เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนจำนวน5,989 เม็ด ซึ่งเป็นจำนวนมากเกินกว่าที่จำเลยจะมีไว้เพื่อเสพเอง ทั้งจำเลยนำสืบว่าไปรับยาเม็ดของกลางจากจังหวัดนครราชสีมาเพื่อนำไปมอบให้ ต.ที่จังหวัดขอนแก่น จึงเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อขายและเป็นการขายตามคำนิยามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1552/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองยาเสพติดจำนวนมากเพื่อจำหน่ายเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท
เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมเมทแอมเฟตามีน จำนวน5,989 เม็ด ซึ่งเป็นจำนวนมากเกินกว่าที่จำเลยจะมีไว้เพื่อเสพเอง ทั้งจำเลยนำสืบว่าไปรับยาเม็ดของกลางจากจังหวัดนครราชสีมาเพื่อนำไปมอบให้ ต. ที่จังหวัดขอนแก่น จึงเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อขายและเป็นการขายตามค่านิยามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 แห่ง พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1552/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองยาเสพติดปริมาณมากเพื่อจำหน่าย แม้จะอ้างว่ารับจ้างขนส่ง ก็ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์
พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 4 บัญญัตินิยามคำว่า "ขาย" หมายความรวมถึง จำหน่าย จ่าย แจกแลกเปลี่ยน ส่งมอบหรือมีไว้เพื่อขาย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลาง 5,989 เม็ดซึ่งเป็นจำนวนมากเกินกว่าที่จำเลยจะมีไว้เสพเอง ทั้งจำเลยนำสืบว่าไปรับยาเม็ดของกลางเพื่อนำไปมอบให้ ต. จึงเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย และเป็นการขายตามคำนิยามดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 911/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันครอบครองฝิ่นเพื่อจำหน่าย: พยานหลักฐานเชื่อถือได้, คำรับสารภาพเป็นประโยชน์, ลดโทษตามกฎหมาย
พยานโจทก์ทั้งสามปากซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้ตรวจค้นจับกุมและสอบสวนจำเลยทั้งสาม ไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 2 มาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 2 ทั้งในตอนตรวจค้นและแจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสามก็ได้กระทำต่อหน้าเจ้าพนักงานตำรวจชั้นผู้ใหญ่ประกอบกับในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ซึ่งให้การรับสารภาพ และจำเลยที่ 3 ซึ่งให้การปฏิเสธได้ให้การไว้อย่างไรผู้ทำบันทึกการจับกุมและผู้ทำบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนก็บันทึกคำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไว้ตามคำให้การอย่างนั้น ซึ่งสอดคล้องและเชื่อมโยงกับบันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เชื่อว่าจำเลยที่ 2 ได้ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนตามบันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนดังที่พยานโจทก์เบิกความจริง ข้อนำสืบของจำเลยที่ 2ที่ว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเจ้าพนักงานตำรวจให้จำเลยที่ 2 ลงชื่อในกระดาษหลายแผ่นโดยไม่อ่านข้อความให้ฟัง และไม่ได้ให้จำเลยที่ 2 อ่านเองนั้น คงมีแต่คำเบิกความของจำเลยที่ 2 อ้างตนเองเป็นพยานลอย ๆ ไม่น่าเชื่อพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 จึงไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจค้นพบฝิ่นของกลางจากรถยนต์ปิกอัพที่จำเลยที่ 2 โดยสารมาพร้อมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 และจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 มีฝิ่นของกลางไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้องโจทก์จริง คำรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนมีประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นอย่างมาก สมควรลดโทษให้แก่จำเลยที่ 2หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 59/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายยาเสพติด: ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และไม่อนุมัติมาตรการพิเศษด้านความปลอดภัย
แม้นายดาบตำรวจ ส. และจ่าสิบตำรวจ จ. พยานโจทก์จะเบิกความว่า จำเลยเคยถูกจับกุมในคดีเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษมาก่อนแต่ก็ไม่ปรากฏว่าในขณะกระทำผิดคดีนี้ จำเลยเป็นผู้ติดยาเสพติดให้โทษ จึงไม่อาจนำวิธีการเพื่อความปลอดภัยตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 49 มาใช้บังคับแก่จำเลยได้