พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,834 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 86/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาในการกระทำผิดร่วมกันทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย การพิจารณาเจตนาเฉพาะตัวจำเลย
จำเลยที่ 2 ทำร้ายผู้ตายโดยการชกต่อย ส่วนจำเลยที่ 3 ทำร้ายผู้ตายโดยใช้ไม้ตี ซึ่งล้วนแต่มิได้ก่อให้เกิดบาดแผลแก่ผู้ตายถึงขนาดจะเป็นเหตุแห่งความตายได้ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1เข้ามาทำร้ายผู้ตายด้วยการเตะหาได้ใช้มีดที่พกติดตัวมาแทงทำร้ายผู้ตายทันทีไม่ แสดงชัดว่าจำเลยที่ 1 กระทำโดยเจตนาเพียงร่วมทำร้ายผู้ตายก่อน หลังจากนั้นเกิดการโต้ตอบเป็นเชิงต่อว่าระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 จึงชักมีดออกมาแทงผู้ตาย เป็นเจตนาเกิดขึ้นภายหลัง ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 ทราบถึงการมีอาวุธมีดติดตัวตั้งแต่ก่อนหรือแรกเกิดเหตุไม่มีเหตุที่จะคาดหมายหรือเล็งเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 อาจฆ่าผู้ตายได้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีเจตนาเพียงร่วมในการทำร้ายผู้ตายต้องรับผิดฐานเป็นตัวการร่วมทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการร่วมทำร้ายร่างกายถึงแก่ความตาย แม้ไม่ได้ใช้ อาวุธเอง ก็ต้องรับผิด
จำเลยร่วมกับ จ. ทำร้ายผู้ตายและหลบหนีไปด้วยกัน แม้จำเลยไม่ทราบว่า จ. มีอาวุธมีดติดตัว และไม่ได้ร่วมใช้อาวุธทำร้ายผู้ตายด้วย จำเลยก็ต้องรับผิดฐานเป็นตัวการร่วมทำร้ายผู้ตายเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรกซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษได้ เพราะการกระทำเป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาที่โจทก์ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 776/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสามารถในการต่อสู้คดีของผู้ป่วยทางจิตเวช และการลงโทษฐานทำร้ายร่างกาย
แม้จำเลยจะมีอาการป่วยทางประสาทอย่างรุนแรง และได้เคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมาแล้วเป็นเวลาหลายเดือน และหลังจากออกจากโรงพยาบาลจำเลยยังต้องรักษาตัวอยู่ที่บ้านด้วยการสั่งซื้อยาจากโรงพยาบาลมารับประทานก็ตาม แต่เมื่อศาลได้ซักถามเรื่องราวต่าง ๆ จากจำเลยแล้ว ปรากฏว่าจำเลยสามารถพูดจาโต้ตอบได้ดี อีกทั้งในชั้นสืบพยานจำเลย ตัวจำเลยยังได้เข้าเบิกความเป็นพยานโดยมิได้ปรากฏเหตุผิดปกติซึ่งส่อแสดงอาการวิกลจริตที่ไม่สามารถต่อสู้คดีได้แต่ประการใด จำเลยคงต่อสู้คดีจนจบกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นแสดงว่าจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้ ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่ยอมส่งตัวจำเลยไปยังโรงพยาบาลนิติจิตเวชก่อน จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว
ความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยคือความผิดฐานชิงทรัพย์ รวมความผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกาย ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคท้าย
ความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยคือความผิดฐานชิงทรัพย์ รวมความผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกาย ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 776/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยป่วยทางจิต แต่ยังสามารถต่อสู้คดีได้ ศาลลงโทษฐานทำร้ายร่างกายแทนชิงทรัพย์
แม้จำเลยจะมีอาการป่วยทางประสาทอย่างรุนแรง และได้เคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมาแล้วเป็นเวลาหลายเดือน และหลังจากออกจากโรงพยาบาลจำเลยยังต้องรักษาตัวอยู่ที่บ้านด้วยการสั่งซื้อยาจากโรงพยาบาลมารับประทานก็ตาม แต่เมื่อศาลได้ซักถามเรื่องราวต่าง ๆจากจำเลยแล้ว ปรากฏว่าจำเลยสามารถพูดจาโต้ตอบได้ดี อีกทั้งในชั้นสืบพยานจำเลย ตัวจำเลยยังได้เข้าเบิกความเป็นพยานโดยมิได้ปรากฏเหตุผิดปกติซึ่งส่อแสดงอาการวิกลจริตที่ไม่สามารถต่อสู้คดีได้แต่ประการใด จำเลยคงต่อสู้คดีจนจบกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นแสดงว่าจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้ ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่ยอมส่งตัวจำเลยไปยังโรงพยาบาลนิติจิตเวชก่อน จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว ความผิดที่โจทก์ ฟ้องจำเลยคือความผิดฐานชิงทรัพย์ รวมความผิดฐานทำร้ายร่างกายอยู่ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกาย ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายตามที่พิจารณาได้ความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6759/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาเดียวกันในการทำร้ายร่างกาย ผู้ตายและผู้เสียหาย ถือเป็นกรรมเดียว
เมื่อจำเลยกับพวกเห็นผู้ตายกับผู้เสียหายก็วิ่งเข้าทำร้ายทันทีการที่จะทำร้ายใครก่อนหลังเป็นเรื่องธรรมดา แต่เห็นเจตนาของจำเลยกับพวกได้ว่าเจตนาร่วมกันที่จะทำร้ายผู้เสียหายกับผู้ตาย เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาจะทำร้ายเฉพาะผู้ตายและเพิ่มเจตนาทำร้ายผู้เสียหายอีกคนหนึ่งในภายหลัง ลักษณะของเจตนาในการกระทำผิดเป็นอันเดียวกัน แม้จะมีการกระทำหลายหนแต่บุคคลหลายคนก็ตาม ก็ถือว่าเป็นความผิดกรรมเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6695/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยในข้อหาทำร้ายร่างกาย แม้ศาลอุทธรณ์มิได้ลงโทษในข้อหาชิงทรัพย์
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 391 ซึ่งเป็นการกระทำอย่างหนึ่งอันเป็นความผิดอยู่ในตัวเองและรวมอยู่ในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้ลงโทษจำเลยในข้อหานี้ เมื่อการกระทำผิดที่โจทก์ฟ้องนั้น รวมการกระทำข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ซึ่งปรากฏในทางพิจารณาที่ได้ความ ทั้งโจทก์ก็ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยด้วย ศาลฎีกาชอบที่จะลงโทษจำเลยในข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6695/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์และทำร้ายร่างกาย ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษทั้งสองกระทง
ความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 ซึ่งเป็นการกระทำอย่างหนึ่งอันเป็นความผิดอยู่ในตัวเองและรวมอยู่ในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้ลงโทษจำเลยในข้อหานี้เมื่อการกระทำผิดที่โจทก์ฟ้องนั้น รวมการกระทำข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจซึ่งปรากฏในทางพิจารณาที่ได้ความ ทั้งโจทก์ก็ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยด้วย ศาลฎีกาชอบที่จะลงโทษจำเลยในข้อหาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6538/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาในการทำร้ายร่างกาย: พิจารณาจากลักษณะการลงมือและเหตุจูงใจ
มีดพร้าของกลางเป็นมีดสำหรับใช้มือทั้งสองจับเพราะด้ามมีดยาว 14 นิ้ว แต่เก้าอี้ไม้สักที่ถูกจำเลยฟันเป็นรอยถากเนื้อไม้หายไปเล็กน้อยแสดงว่าจำเลยจับมีดพร้าของกลางด้วยมือข้างเดียวและฟันไม้แรงนัก อีกทั้งจำเลยทะเลาะกับมารดา มิได้ทะเลาะกับผู้เสียหายเหตุที่จำเลยฟันผู้เสียหายก็เพราะผู้เสียหายเข้าไปขอมีดจากจำเลยจำเลยจึงฟันผู้เสียหายเพื่อระบายความโกรธนอกจากนี้เมื่อจำเลยฟันไม่ถูก จำเลยก็มิได้ฟันซ้ำอีก จนญาติพี่น้องเข้าแย่งมีดทำให้มีดหล่นจากมือจำเลย เช่นนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยฟันผู้เสียหายโดยมีเพียงเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6480/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย ไม่ใช่พยายามฆ่า ศาลใช้ดุลพินิจลงโทษตามความผิดที่พิจารณาได้
จำเลยมีปากเสียงกับผู้เสียหายเรื่องเขตที่ดิน เพราะผู้เสียหายไม่ยอมรับเรื่องเขตที่ดินที่จำเลยกล่าวหาว่าผู้เสียหายรุกล้ำ จำเลยจึงใช้ปืนสั้นเล็งยิงผู้เสียหายในระดับต่ำลงพื้นดินในระยะ 3 เมตร กระสุนปืนถูกต้นขาขวาด้านหน้าทะลุต้นขาซ้ายด้านใน กระดูกขาไม่ได้รับอันตราย แพทย์ลงความเห็นว่ารักษาบาดแผลประมาณ 10 วัน แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย เพียงแต่มีเจตนาทำร้ายร่างกายเท่านั้น แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่า ศาลก็มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยในการกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามที่พิจารณาได้ความนั้นได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 และการกระทำของจำเลยไม่เป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6480/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย vs. พยายามฆ่า: ศาลลดโทษจากพยายามฆ่าเป็นทำร้ายร่างกายตามพฤติการณ์
จำเลยมีปากเสียงกับผู้เสียหายเรื่องเขตที่ดิน เพราะผู้เสียหายไม่ยอมรับเรื่องเขตที่ดินที่จำเลยกล่าวหาว่าผู้เสียหายรุกล้ำจำเลยจึงใช้ปืนสั้นเล็งยิงผู้เสียหายในระดับต่ำลงพื้นดินในระยะ3 เมตร กระสุนปืนถูกต้นขาขวาด้านหน้าทะลุต้นขาซ้ายด้านในกระดูกขาไม่ได้รับอันตราย แพทย์ลงความเห็นว่ารักษาบาดแผลประมาณ 10 วัน แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย เพียงแต่มีเจตนาทำร้ายร่างกายเท่านั้น แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่า ศาลก็มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยในการกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามที่พิจารณาได้ความนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 และการกระทำของจำเลยไม่เป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ