พบผลลัพธ์ทั้งหมด 507 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2530/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรุกล้ำที่ดินและสิทธิในการใช้ประโยชน์: ที่ดินพิพาทมีทางสาธารณะคั่น โจทก์ไม่เสียหายเป็นกรณีพิเศษ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนเป็นร้านอาหารในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ชายตลิ่งริมแม่น้ำ มีทางสาธารณะคั่นอยู่ระหว่างที่ดินของโจทก์กลับร้านอาหารของจำเลย จำเลยจึงมิได้ปลูกสร้างโรงเรือนบังหน้าที่ดินของโจทก์หรือปิดกั้นทางลงสู่ แม่น้ำของโจทก์ และโจทก์ยังไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาก่อนจำเลยโจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายเป็นกรณีพิเศษตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2290/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่ที่ดินพิพาทที่จำเลยอ้างสิทธิเช่าและซื้อตามพ.ร.บ.เช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องคดีส่วนแพ่งขอให้ห้ามจำเลยเข้าไปในที่ดินพิพาทของโจทก์ถือได้ว่าเป็นประเภทเดียวกับฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท และจำเลยมิได้กล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ เมื่อที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท คดีส่วนแพ่งจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาในคดีส่วนแพ่งว่าจำเลยที่ 1 ได้เช่าที่ดินพิพาทจาก ม. และ บ.เจ้าของที่ดินพิพาทเดิม เมื่อโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโจทก์ต้องรับโอนทั้งสิทธิและหน้าที่ที่จะต้องให้จำเลยที่ 1 เช่าหรือจำเลยที่ 1 มีสิทธิที่จะซื้อที่ดินพิพาทจาก บ. หรือโจทก์ ตามพระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 จำเลยที่ 1จึงมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทได้นั้น เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่ฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้เช่าที่ดินพิพาทจาก ม. หรือบ. เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2049/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่ดินพิพาท: การกระทำโดยได้รับอนุญาตจากผู้มีสิทธิครอบครองทำให้อาญาฐานบุกรุกไม่สำเร็จ
โจทก์ร่วมกับ ท. มารดาโจทก์ร่วมและจำเลยยังโต้เถียง ความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทกันอยู่ จำเลยเข้าไปไถที่ดินพิพาทเพราะ ท. ให้จำเลยทำจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานบุกรุก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2049/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่ดินพิพาท: การกระทำโดยได้รับอนุญาตจากผู้มีส่วนได้เสียทำให้ไม่มีความผิด
โจทก์ร่วมกับ ท. มารดาโจทก์ร่วมและจำเลยยังโต้เถียงความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทกันอยู่ จำเลยเข้าไปไถที่ดินพิพาทเพราะท. ให้จำเลยทำจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานบุกรุก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 132/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาด และสิทธิของผู้ซื้อเมื่อมีการจำนองก่อนหน้านี้
แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทได้จากการขายทอดตลาด ตามคำสั่งศาลโดยสุจริต แต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1330 บัญญัติเพียงว่าสิทธิของผู้ซื้อไม่เสียไปแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมิใช่ของจำเลย มิได้คุ้มครองถึงกับให้ผู้ซื้อได้สิทธิโดยปลอดจากภาระผูกพันใด ๆ หากโจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย การจำนองย่อมติดไปกับที่ดิน โจทก์มีสิทธิบังคับจำนองที่ดินพิพาทได้ ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ โจทก์มีเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอแม่จันเบิกความรับรองว่าได้ทำการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทให้โจทก์กับจำเลยเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2528 แต่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินพิพาทฉบับสำนักงานที่ดินและสารบบของที่ดินพิพาทได้สูญหายไปในทะเบียนคุมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของสำนักงานที่ดินอำเภอแม่จันไม่ปรากฏว่ามีการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทในวันดังกล่าว นอกจากนี้ต้นขั้วใบเสร็จรับเงินของสำนักงานที่ดินอำเภอแม่จันก็ไม่ปรากฏว่าในวันดังกล่าวมีการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาท สำหรับสัญญาจำนองที่ดินพิพาทที่โจทก์อ้าง ก็มีเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินอำเภอแม่จันที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำสัญญามาเบิกความเป็นพยาน จำเลยยืนยันว่าลายมือชื่อที่ปรากฏในสัญญามิใช่ลายมือชื่อของตน ส่วนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทฉบับเจ้าของที่ดินที่โจทก์อ้าง ก็เป็นแบบพิมพ์ที่เบิกไปจากสำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงรายหลังจากวันที่โจทก์อ้างว่ามีการจดทะเบียนจำนองเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ามิได้มีการจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่สำนักงานที่ดินอำเภอ ในวันที่โจทก์อ้างการจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นการจำนองที่มิชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่อาจอ้างสิทธิในฐานะผู้รับจำนองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4271/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินพิพาทหลังรับรองการขอออก น.ส.3ก. ทับที่ดินโจทก์ ถือเป็นการครอบครองแทนโจทก์ มิใช่เพื่อตน
จำเลยให้ถ้อยคำต่อปลัดอำเภอท้องที่ที่พิพาทรับรองว่าจำเลยได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินทับที่พิพาท และให้สัญญาว่าจะนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยมอบให้แก่เจ้าพนักงานเพื่อดำเนินการเพิกถอนส่วนที่ทับที่พิพาท ดังนั้นนับแต่จำเลยให้ถ้อยคำดังกล่าวมา การที่จำเลยยังคงครอบครองที่พิพาทอยู่ ถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์ มิใช่ครอบครองโดยเจตนายึดถือเพื่อตน จำเลยครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2732/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินพิพาท: ศาลรับฟังพยานเอกสารแม้ไม่ส่งให้คู่ความก่อน แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
พยานเอกสารของจำเลยแม้เป็นเพียงภาพถ่าย แต่ตรงกับเอกสารที่ส่งมาตามหนังสือของสำนักงานที่ดินตามที่จำเลยขอให้ศาลมีคำสั่งเรียก ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้รับรองสำเนาถูกต้องแล้วและแม้จำเลยมิได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสามวันก็ตาม แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลย่อมรับฟังเอกสารดังกล่าวได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินร่วมกันและอำนาจฟ้องขับไล่: การฟ้องขับไล่ต้องคำนึงถึงสิทธิครอบครองร่วมกันของผู้ถูกฟ้อง
โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินร่วมกัน โดยยังไม่มีการแบ่งแยกการครอบครองออกเป็นสัดส่วน แม้จำเลยที่ 1 ยกที่ดินส่วนของตนให้จำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 2 ไปยื่นคำขอออก น.ส.3 ก.ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการแบ่งแยกการครอบครองออกเป็นสัดส่วน การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินทั้งแปลงย่อมเป็นการลบล้างสิทธิครอบครองของจำเลยที่ 1 ที่มีอยู่ด้วย และแม้จำเลยที่ 1 จะเช่าที่ดินส่วนของโจทก์และสัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้วโจทก์ไม่อาจอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ได้เพราะเป็นการขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินของจำเลยที่ 1 เองด้วยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง การที่ศาลพิพากษายกฟ้องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์ยกขึ้นอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าที่อยู่จริงหรือไม่เพียงใด สมควรไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2529/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตที่ดินพิพาท: ศาลใช้เนื้อที่จริงตามรังวัด แม้คำฟ้องระบุเป็นค่าประมาณ
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทภายในกรอบเส้นหมึกสีแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ซึ่งใช้คำว่า"เฉพาะเนื้อที่ 274 ตารางวา" เป็นเพียงการกะประมาณ ความสำคัญอยู่ที่เนื้อที่ดินภายในกรอบเส้นหมึกสีแดงในแผนที่สังเขปซึ่งโจทก์ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์นั้นว่ามีเท่าใด เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ของกรมที่ดินรังวัดที่ดินพิพาทตามหลักวิชาการแผนที่ปรากฏว่า มีเนื้อที่ประมาณ 300 ตารางวา ก็ต้องถือว่าเป็นเนื้อที่ของที่ดิน ที่โจทก์เรียกร้องซึ่งไม่เกินคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยทำลายต้นกล้วยของโจทก์ในที่ดินพิพาท แม้ที่ดินอยู่ในเขตหวงห้าม แต่โจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์สิน
ที่ดินพิพาทที่โจทก์ครอบครองเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินภายในแนวเขตหวงห้ามตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดิน โจทก์ปลูกต้นกล้วยไว้ในที่ดินพิพาท ต้นกล้วยเป็นไม้ล้มลุกไม่เป็นส่วนควบกับที่ดิน โจทก์จึงเป็นเจ้าของต้นกล้วยเหล่านั้นจำเลยที่ 5 เข้าไปไถที่พิพาททั้ง ๆ ที่รู้แล้วว่าต้นกล้วยที่ปลูกอยู่ในที่พิพาทเป็นของโจทก์ ทำให้ต้นกล้วยเสียหาย จึงมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์