พบผลลัพธ์ทั้งหมด 439 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2516/2527
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            หนังสือมอบฉันทะต้องเป็นไปตามข้อบังคับบริษัท การลงนามและประทับตราสำคัญของกรรมการจึงจะถือเป็นผู้แทนนิติบุคคล
                        
                        หนังสือรับรองของนายทะเบียนสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทได้กำหนดให้กรรมการบริษัทอย่างน้อยสองคนมีอำนาจลงชื่อแทนบริษัทและต้องประทับตราสำคัญของบริษัทไว้ด้วยเมื่อปรากฏว่าหนังสือมอบฉันทะของบริษัทมีเพียงกรรมการเพียงคนเดียวลงลายมือชื่อไว้และไม่ได้ประทับตราสำคัญของบริษัทจึงเป็นการขัดต่อข้อบังคับและความประสงค์ของบริษัทซึ่งเป็นนิติบุคคล ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำของผู้แทนนิติบุคคลและกรณีเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการกระทำของผู้แทนนิติบุคคลที่ขาดความสามารถ อันจะทำให้นิติบุคคลให้การรับรองหรือให้สัตยาบันได้
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2129/2527
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            ภูมิลำเนาของนิติบุคคลยังคงอยู่ที่เดิม แม้สำนักงานใหญ่จะถูกเพลิงไหม้ การส่งหมายเรียกโดยวิธีประกาศจึงไม่ชอบ
                        
                        ภูมิลำเนาของนิติบุคคลได้แก่ถิ่นที่สำนักงานแห่งใหญ่ หรือที่ตั้งทำการหรือถิ่นที่ได้เลือกเอาเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการตามข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งเท่านั้น การที่สำนักงานแห่งใหญ่ของนิติบุคคลจำเลยที่ 1 ถูกเพลิงไหม้จะถือว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีภูมิลำเนาอยู่ที่เดิมตามข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งหาได้ไม่  ดังนี้ จะถือว่ากรณีเป็นเรื่องไม่สามารถส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยวิธีธรรมดาได้ยังไม่ชอบ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ประกาศ โฆษณาทางหนังสือพิมพ์แทนการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยวิธีธรรมดาจึงเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 จะถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบประกาศการ ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแล้วโดยผลของกฎหมายไม่ได้
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 773/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            สิทธิของนิติบุคคลในการเช่าทรัพย์สินเพื่อรักษาประโยชน์ของรัฐ และอำนาจฟ้องคดีสัญญาเช่า
                        
                        กรมชลประทานซึ่งเป็นนิติบุคคล ย่อมมีสิทธิเป็นเจ้าของครอบครองและดูแลรักษาทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อใช้ตามวัตถุประสงค์ของกรมชลประทานได้ การที่กรมชลประทานเอาที่ดินพิพาทให้จำเลยเช่าในเวลาที่กรมชลประทานยังไม่จำเป็นต้องใช้ ย่อมเป็นการกระทำในการดูแลทรัพย์สินของทางราชการเอาไว้ไม่ให้ผู้อื่นแย่งการครอบครองเอาไปโดยมิชอบ โดยไม่ปรากฏว่าผิดต่อวัตถุประสงค์ของกรมชลประทาน เมื่อจำเลยสมัครใจเข้าทำสัญญากับกรมชลประทานและเป็นผู้ปฏิบัติผิดสัญญาเช่านั้น กรมชลประทานย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลย
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 740/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            อายุความละเมิดเริ่มนับเมื่อผู้บังคับบัญชาของนิติบุคคลทราบความเสียหาย การเสนอเรื่องตามลำดับขั้นไม่กระทบอายุความ
                        
                        เมื่อมีการกระทำละเมิดต่อโจทก์เกิดขึ้น จะมีการเสนอเรื่องขึ้นไปตามลำดับขั้นหากตกลงกันได้ก็ไม่ต้องเสนอต่อไป หากตกลงกันไม่ได้จึงจะต้องเสนอถึงผู้ว่าการโจทก์ คดีนี้ผู้ว่าการโจทก์เพิ่งได้รับรายงานเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2522 โจทก์เป็นนิติบุคคลมีผู้ว่าการเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบเป็นผู้แทนนิติบุคคล เมื่อยังไม่ทราบความผิดตามที่รายงานมาตามลำดับ อายุความละเมิด 1 ปียังไม่เริ่มนับ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2523 ไม่เกิน 1 ปีคดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3411-3412/2526
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การถอนฟ้องจำเลยเฉพาะราย, สถานะนิติบุคคลรัฐวิสาหกิจ, ค่าจ้างล่วงเวลาจากละเมิด
                        
                        ศาลชั้นต้นบันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาว่า ทนายโจทก์ที่ 2 แถลงไม่ดำเนินคดีกับจำเลยที่ 1  ซึ่งส่งหมายให้ไม่ได้อีกต่อไป เป็นอันว่ามีโจทก์ที่ 2 พิพาทกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 เท่านั้นบันทึกดังกล่าวพอถือได้ว่าโจทก์ที่ 2 ได้ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 และศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้จำหน่ายคดีของโจทก์ที่ 2 เฉพาะตัวจำเลยที่ 1 ไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 แล้ว
องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยและการไฟฟ้านครหลวงเป็นรัฐวิสาหกิจตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติ พิเศษโดยเฉพาะ จึงเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายที่จัดตั้ง หาจำเป็นต้องมีพยานบุคคลมาเบิกความรับรองว่าเป็นนิติบุคคลไม่
แม้พนักงานของโจทก์จะได้รับเงินเดือนจากโจทก์เป็นประจำอยู่แล้วแต่เมื่อโจทก์ต้องใช้พนักงานมาซ่อมแซมทรัพย์สินที่เสียหายอันเกิดจากการละเมิดของจำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างล่วงเวลาของพนักงานโจทก์จากจำเลยได้
                                    องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยและการไฟฟ้านครหลวงเป็นรัฐวิสาหกิจตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติ พิเศษโดยเฉพาะ จึงเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายที่จัดตั้ง หาจำเป็นต้องมีพยานบุคคลมาเบิกความรับรองว่าเป็นนิติบุคคลไม่
แม้พนักงานของโจทก์จะได้รับเงินเดือนจากโจทก์เป็นประจำอยู่แล้วแต่เมื่อโจทก์ต้องใช้พนักงานมาซ่อมแซมทรัพย์สินที่เสียหายอันเกิดจากการละเมิดของจำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างล่วงเวลาของพนักงานโจทก์จากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3056/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การรับผิดของบริษัทประกันภัยเมื่อมีการระบุประเภทนิติบุคคลของลูกหนี้ผิดพลาด ศาลพิจารณาตามข้อเท็จจริงและเจตนาของผู้ฟ้อง
                        
                        โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดในมูลละเมิดซึ่งเกิดจากการกระทำในทางการที่จ้างของลูกจ้างจำเลยที่ 1 แต่บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. ความจริงจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ก. และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าไม่มีการจดทะเบียนในนามห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. เช่นนี้ จึงเป็นเพียงโจทก์ฟ้องโดยเรียกชื่อประเภทนิติบุคคลของจำเลยที่ 1 ผิดไป มิใช่เป็นการฟ้องนิติบุคคลผิดตัว จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถคันเกิดเหตุของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3056/2526
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การรับผิดในสัญญาประกันภัยและการระบุตัวนิติบุคคลผู้เอาประกันภัยที่ถูกต้อง
                        
                        โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดในมูลละเมิดซึ่งเกิดจากการกระทำในทางการที่จ้างของลูกจ้างจำเลยที่ 1 แต่บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด ก ความจริงจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ก และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าไม่มีการจดทะเบียนในนามห้างหุ้นส่วนจำกัด ก เช่นนี้จึงเป็นเพียงโจทก์ฟ้องโดยเรียกชื่อประเภทนิติบุคคลของจำเลยที่ 1 ผิดไป มิใช่เป็นการฟ้องนิติบุคคลผิดตัวจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถคันเกิดเหตุของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            อำนาจของผู้จัดการบริษัทในการทำสัญญา และผลของการรับมอบงานที่กรรมการคนอื่นไม่ทักท้วง
                        
                        ระหว่างเกิดเหตุ จ. เป็นผู้จัดการของบริษัทจำเลยย่อมถือได้ว่าจ. เป็นผู้แทนบริษัทจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลในอันที่จะแสดงออกถึงความประสงค์แทนบริษัทจำเลยได้ การที่ จ. ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้ทำการติดตั้งถังน้ำในโรงงานเพื่อใช้ในกิจการของจำเลยแม้จะฝ่าฝืนข้อบังคับของบริษัทที่ระบุว่าต้องมีกรรมการผู้มีอำนาจอีกคนหนึ่งร่วมลงนามด้วย แต่ระหว่างที่โจทก์ดำเนินการตามสัญญากรรมการของบริษัทจำเลยคนอื่นไม่ได้ทักท้วงและรับมอบผลงานนั้นจากโจทก์ไว้แล้ว จำเลยจะปฏิเสธความรับผิดตามสัญญาต่อโจทก์หาได้ไม่
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3511/2525
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            อายุความฟ้องคดีแพ่ง: ผู้เสียหาย (นิติบุคคล) รู้ตัวผู้ต้องชดใช้ค่าเสียหายเมื่อใดเป็นสำคัญ ไม่ใช่วันที่ได้รับแจ้งจากหน่วยงานอื่น
                        
                        ข้อเท็จจริงที่จำเลยละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่อันเป็นความประมาทเลินเล่อในขณะเกิดเหตุได้ปรากฏในสำนวนการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนเพื่อหาตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว แม้คณะกรรมการมีความเห็นว่าไม่ควรให้จำเลยต้องรับผิดในทางแพ่ง ซึ่งกรมทางหลวงโจทก์เห็นพ้องด้วย จึงแจ้งให้กระทรวงการคลังทราบ แสดงว่าโจทก์ได้รู้ตัวผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันบันทึกแสดงข้อความที่เห็นพ้องด้วยกับความเห็นของคณะกรรมการ หาใช่ถือเอาวันที่ได้รับแจ้งจากกระทรวงการคลังว่าจำเลยต้องรับผิดเป็นวันที่โจทก์รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ เพราะโจทก์เป็นผู้เสียหายและเป็นนิติบุคคลมีอำนาจที่จะนำคดีขึ้นสู่ศาลได้เอง ไม่ต้องรอฟังคำสั่งจากกระทรวงการคลังแต่ประการใด
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2805/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            อำนาจฟ้องคดีข้ามแดนและการรับผิดในสัญญาประกันภัย: ภูมิลำเนาของนิติบุคคลและลายมือชื่อในกรมธรรม์
                        
                        การรวมกันประกอบกิจการนั้น ผู้เข้าร่วมประกอบกิจการอาจเป็นหุ้นส่วนกันได้ แต่การประกอบกิจการแทนกันนั้นเป็นเรื่องตัวการตัวแทนบุคคลสองฝ่ายจึงไม่อาจทั้งร่วมกัน และแทนกันในการประกอบกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งได้
จำเลยทั้งสี่ต่างมีสภาพเป็นนิติบุคคล ภูมิลำเนาของจำเลยแต่ละคนจึงต้องเป็นไปตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 บัญญัติไว้เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 3 จดทะเบียนและตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ต่างประเทศไม่มีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 แม้จำเลยที่ 3 จะยื่นคำให้การเข้ามา แต่เมื่อฟ้องโจทก์ต้องห้ามมิให้เสนอต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2 แล้วก็ไม่ทำให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีถึงจำเลยที่ 3 ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 สัญญาประกันภัยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดและกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยออกให้ต้องลงลายมือชื่อของผู้รับประกัน ดังนั้นเมื่อสาขาของบริษัทจำเลยที่ 3 ที่สิงคโปร์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้า และเป็นผู้ออกกรมธรรม์ประกันภัยจำเลยที่ 4 ไม่ได้ลงชื่อในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิด
                                    จำเลยทั้งสี่ต่างมีสภาพเป็นนิติบุคคล ภูมิลำเนาของจำเลยแต่ละคนจึงต้องเป็นไปตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 บัญญัติไว้เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 3 จดทะเบียนและตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ต่างประเทศไม่มีสำนักงานสาขาอยู่ในประเทศไทยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 แม้จำเลยที่ 3 จะยื่นคำให้การเข้ามา แต่เมื่อฟ้องโจทก์ต้องห้ามมิให้เสนอต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2 แล้วก็ไม่ทำให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีถึงจำเลยที่ 3 ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 สัญญาประกันภัยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดและกรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยออกให้ต้องลงลายมือชื่อของผู้รับประกัน ดังนั้นเมื่อสาขาของบริษัทจำเลยที่ 3 ที่สิงคโปร์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้า และเป็นผู้ออกกรมธรรม์ประกันภัยจำเลยที่ 4 ไม่ได้ลงชื่อในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิด