พบผลลัพธ์ทั้งหมด 702 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2425/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิดและการรับประกันภัย: การกำหนดระยะเวลาฟ้องร้องและการรับผิดของจำเลยแต่ละราย
จำเลยขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาศาลชั้นต้นจะต้องพิจารณาว่าเป็นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายและสั่งอนุญาตได้หรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ การที่ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องของจำเลยแต่เพียงว่า สำเนาให้โจทก์รวมสั่งในอุทธรณ์ และสั่งในอุทธรณ์ว่า จำเลยยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดรับเป็นอุทธรณ์ของจำเลยแม้ศาลชั้นต้นจะมิได้สั่งอนุญาต แต่การที่สั่งรับอุทธรณ์ของจำเลย พออนุโลมได้ว่าศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้แล้ว โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของบริษัทอ. ซึ่งโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยโจทก์เสียค่าซ่อมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แทนผู้เอาประกันภัยไปแล้ว จึงรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างและจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัย เป็นการฟ้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดในมูลละเมิด เมื่อโจทก์ฟ้องโดยเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยที่มีต่อจำเลยที่ 1และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 จึงมีสิทธิเท่ากับสิทธิของผู้เอาประกันภัยมีอยู่โดยมูลหนี้ตามมาตรา 226 วรรคแรก ฉะนั้น เมื่อผู้เอาประกันภัยต้องฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 448 วรรคแรกโจทก์ก็ต้องฟ้องภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวด้วย โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย ไม่ได้ฟ้องให้รับผิดในฐานะผู้ทำละเมิด จำเลยที่ 3 จะยกอายุความเรื่องละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448มาปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ เมื่อความรับผิดของจำเลยที่ 3เกิดขึ้นตามสัญญาประกันภัยจึงต้องนำอายุความตามมาตรา 882 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีกำหนด 2 ปี นับแต่วันเกิดวินาศภัยมาปรับแก่คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2167/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันภัยมีผลบังคับใช้เมื่อผู้ทำสัญญามีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
จำเลยให้การว่าขณะที่ อ. ขอเอาประกันภัยและขณะที่จำเลยได้ออกกรมธรรม์ประกันภัย อ.มิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่นำมาประกันภัยแต่มิได้กล่าวว่า อ. มิใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียอย่างไรเท่ากับไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองจึงไม่มีสิทธินำสืบตามคำให้การ อ. เป็นผู้วางเงินมัดจำและครอบครองรถยนต์พิพาทในฐานะผู้ซื้อจากบุคคลภายนอกจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียนับตั้งแต่วางมัดจำและเข้าครอบครองรถยนต์พิพาทสัญญาประกันภัยย่อมมีผลใช้บังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2123/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของบุคคลภายนอกตามกรมธรรม์ประกันภัย: ผู้รับประโยชน์มีอำนาจฟ้องแม้ผู้เอาประกันภัยไม่มีส่วนได้เสีย
ปัญหาที่ว่าขณะเอาประกันภัย ส.ยังไม่ได้ทำสัญญาเช่าซื้อจากโจทก์จึงเป็นผู้ไม่มีส่วนได้เสียในรถยนต์คันที่เอาประกันภัย กรมธรรม์ประกันภัยย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญานั้น จำเลยมิได้อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ไว้ จึงเป็นเรื่องที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย และตามกรมธรรม์ประกันภัยซึ่ง ส.ผู้เอาประกันภัยทำไว้กับจำเลยผู้รับประกันภัยนั้น ระบุให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ อันเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอก ดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 374 เมื่อรถยนต์ที่เอาประกันภัยคว่ำได้รับความเสียหาย โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระค่าเสียหาย แต่จำเลยไม่ยอมชำระจนโจทก์ต้องฟ้องร้องเป็นคดีนี้ถือได้ว่าโจทก์ได้แสดงเจตนาที่จะถือเอาประโยชน์จากสัญญาตามกรมธรรม์ดังกล่าวแล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดต่อโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2123/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัย: อำนาจฟ้องเมื่อเกิดความเสียหาย
กรมธรรม์ประกันภัยซึ่ง ส. ผู้เอาประกันภัยทำไว้กับจำเลยผู้รับประกันภัย ระบุให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ อันเป็นสัญญาประโยชน์แก่บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 374 เมื่อรถยนต์ที่เอาประกันภัยคว่ำได้รับความเสียหายโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระค่าเสียหายแต่จำเลยไม่ยอมชำระ ถือได้ว่าโจทก์ได้แสดงเจตนาที่จะถือเอาประโยชน์จากสัญญาตามกรมธรรม์ดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง จำเลยให้รับผิดต่อโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2095/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชดใช้ค่าเสียหายจากการชนรถยนต์ที่เสียหายทั้งคัน ประกันภัยมีสิทธิเรียกร้องจากผู้กระทำละเมิด
รถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ถูกชนได้รับความเสียหายทั้งคันไม่สามารถจะซ่อมแซมได้ โจทก์ย่อมสามารถพิจารณาจ่าย ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยเต็มวงเงินที่ ประกันภัยไว้ได้หาจำต้องโต้แย้งค่าเสียหายไม่และเมื่อจ่ายแล้วโจทก์ย่อม รับช่วงสิทธิมาเรียกร้องจากผู้กระทำละเมิดและผู้ที่จะต้องร่วมรับผิดด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1986/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีประกันภัย: การรับช่วงสิทธิและข้อยกเว้นการใช้บังคับอายุความละเมิด
โจทก์ รับช่วงสิทธิของ ผู้เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยที่จำเลยทำไว้กับผู้เอาประกันภัยของจำเลยจึงเป็นการฟ้องในมูล สัญญาประกันภัยมิใช่มูลละเมิด อายุความฟ้องคดีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา882วรรคแรกคือ2ปีซึ่งใช้บังคับถึงกรณีที่บุคคลผู้ต้องเสียหายจากการกระทำของผู้เอาประกันภัยฟ้องร้องผู้รับประกันภัยด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1930/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีแพ่งและขอบเขตการเรียกร้องค่าเสียหายจากสัญญาประกันภัย
ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คำนวณเงินต้นและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องมีเพียง 194,114.18 บาทจึงไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า เหตุพิพาทคดีนี้เกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 2 แม้ศาลจะฟังว่ารถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนกับรถเก๋งก็เป็นเหตุสุดวิสัย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นการโต้แย้งที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1ขับรถโดยประมาท มิได้เกิดจากเหตุสุดวิสัย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทมาตราดังกล่าวข้างต้น
ในคดีอาญาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 46, 157 รัฐเป็นผู้เสียหายจำเลยที่ 1 ไม่ใช่คู่ความหรือผู้เสียหายในคดีอาญาดังกล่าว ในการพิพากษาคดีนี้ศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
โจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 880 เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า รถยนต์บรรทุกคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนแน่นอนเท่าใด ศาลจึงกำหนดให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 438 การที่โจทก์ไปตกลงค่าเสียหายกับผู้เอาประกันภัยและจ่ายค่าเสียหายไปโดยไม่ปรากฏว่าค่าเสียหายจริงมีเพียงใด โจทก์จะเรียกร้องเอาเงินที่โจทก์จ่ายไปดังกล่าวเต็มจำนวนหาได้ไม่
ในคดีอาญาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 46, 157 รัฐเป็นผู้เสียหายจำเลยที่ 1 ไม่ใช่คู่ความหรือผู้เสียหายในคดีอาญาดังกล่าว ในการพิพากษาคดีนี้ศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
โจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 880 เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า รถยนต์บรรทุกคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนแน่นอนเท่าใด ศาลจึงกำหนดให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 438 การที่โจทก์ไปตกลงค่าเสียหายกับผู้เอาประกันภัยและจ่ายค่าเสียหายไปโดยไม่ปรากฏว่าค่าเสียหายจริงมีเพียงใด โจทก์จะเรียกร้องเอาเงินที่โจทก์จ่ายไปดังกล่าวเต็มจำนวนหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1930/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับช่วงสิทธิค่าเสียหายประกันภัย: สิทธิของผู้รับประกันภัยจำกัดตามค่าเสียหายจริง
การรับช่วงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา226และ880หมายความว่าเจ้าหนี้มีสิทธิเพียงใดผู้รับช่วงสิทธิก็ได้รับสิทธิไปเพียงนั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ารถยนต์บรรทุกที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนแน่นอนเท่าใดศาลจึงกำหนดให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตามมาตรา438การที่โจทก์ไปตกลงค่าเสียหายกับผู้เอาประกันภัยและจ่ายค่าเสียหายไปโดยไม่ปรากฎว่าค่าเสียหายจริงมีเพียงใดโจทก์จะเรียกร้องเอาเงินที่โจทก์จ่ายไปเต็มจำนวนไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1867/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องช่วงสิทธิประกันภัย: บุคคลภายนอกไม่ต้องผูกพันตามสัญญา, พยานหลักฐาน
โจทก์ผู้รับประกันภัยซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ ธ.ผู้เอาประกันภัยไปแล้ว ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้ทำละเมิดและจำเลยที่ 2 ที่ 3 ผู้ใช้อำนาจปกครอง จึงเป็นการฟ้องในฐานะผู้เข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยตามป.พ.พ. มาตรา 880 ไม่ได้ฟ้องบังคับตามสัญญาประกันภัย
ป.พ.พ. มาตรา 867 วรรคแรก เป็นเพียงบทบัญญัติใช้บังคับเฉพาะแก่คู่กรณีที่ได้ทำสัญญากันเท่านั้น หามีผลผูกพันให้ใช้แก่บุคคลภายนอกจำเลยทั้งสามเป็นบุคคลภายนอก ไม่ได้เป็นคู่สัญญา ย่อมไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายที่ต้องนำพยานเอกสารมาแสดง การนำสืบและการรับฟังพยานหลักฐานจึงไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 แม้ในวันชี้สองสถานโจทก์ไม่มีต้นฉบับเอกสารกรมธรรม์ประกันภัยมาแสดงต่อศาล โจทก์ก็สืบพยานบุคคลเพื่อให้ศาลรับฟังว่าโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ได้
ป.พ.พ. มาตรา 867 วรรคแรก เป็นเพียงบทบัญญัติใช้บังคับเฉพาะแก่คู่กรณีที่ได้ทำสัญญากันเท่านั้น หามีผลผูกพันให้ใช้แก่บุคคลภายนอกจำเลยทั้งสามเป็นบุคคลภายนอก ไม่ได้เป็นคู่สัญญา ย่อมไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายที่ต้องนำพยานเอกสารมาแสดง การนำสืบและการรับฟังพยานหลักฐานจึงไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 แม้ในวันชี้สองสถานโจทก์ไม่มีต้นฉบับเอกสารกรมธรรม์ประกันภัยมาแสดงต่อศาล โจทก์ก็สืบพยานบุคคลเพื่อให้ศาลรับฟังว่าโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1637/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อยกเว้นการประกันภัย: การพิสูจน์ความเชื่อมโยงระหว่างภาวะเมาสุรากับอุบัติเหตุ
กรมธรรม์ประกันภัยระบุไว้ว่า สัญญาเพิ่มเติมนี้ไม่คุ้มครองการสูญเสียหรือทุพพลภาพอันเกิดขึ้นโดยทางตรงหรือทางอ้อมทั้งหมดหรือแต่บางส่วนจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในขณะหรือเนื่องจากผู้เอาประกันเมาสุราหรือแพ้ยามีความหมายว่า สัญญาเพิ่มเติมนี้ไม่คุ้มครองการมรณะของผู้เอาประกัน อันเกิดขึ้นโดยตรงจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากผู้เอาประกันเมาสุรา การที่จำเลยผู้รับประกันกันพิสูจน์ได้เพียงว่า ผู้เอาประกันซึ่งถึงแก่กรรมโดยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในขณะผู้เอาประกันเมาสุราตามหลักวิชาการแพทย์แต่พิสูจน์ไม่ได้ว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นเนื่องจากผู้เอาประกันเมาสุรา จำเลยจึงไม่ได้รับยกเว้นตามข้อสัญญาดังกล่าว