พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,589 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5236/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือและพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ศาลพิพากษายืนตามคำพิพากษาเดิม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ จำเลยให้การว่าไม่เคยแบ่งขายที่ดินและรับเงินค่าที่ดินจากโจทก์ ทั้งไม่เคยมอบการครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์ โจทก์กล่าวอ้างข้อเท็จจริง จำเลยให้การปฏิเสธ ภาระการพิสูจน์ตกโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84
ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบอ้างว่าจำเลยขายที่ดินให้โจทก์ แต่การซื้อขายที่ดินไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ไม่มีหลักฐานการรับเงิน จำวันที่ที่ตกลงซื้อขายไม่ได้ จำนวนเงินที่ตกลงซื้อขาย 50,000 บาท เป็นเงินจำนวนมากพอสมควร เมื่อพิจารณาถึงฐานะความเป็นอยู่ของโจทก์และจำเลยตามพฤติการณ์แห่งคดีแล้วข้ออ้างของโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยขายที่ดินพิพาทและมอบการครอบครองตามฟ้องให้โจทก์
ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบอ้างว่าจำเลยขายที่ดินให้โจทก์ แต่การซื้อขายที่ดินไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ไม่มีหลักฐานการรับเงิน จำวันที่ที่ตกลงซื้อขายไม่ได้ จำนวนเงินที่ตกลงซื้อขาย 50,000 บาท เป็นเงินจำนวนมากพอสมควร เมื่อพิจารณาถึงฐานะความเป็นอยู่ของโจทก์และจำเลยตามพฤติการณ์แห่งคดีแล้วข้ออ้างของโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยขายที่ดินพิพาทและมอบการครอบครองตามฟ้องให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 502/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอ ชี้ความผิดจำเลยร่วมกระทำความผิดฐานฆ่าเจตนา, ทำร้ายร่างกาย
พยานหลักฐานทั้งหมดของโจทก์เท่าที่นำสืบล้วนเป็นพยานบอกเล่าเมื่อคำนึงว่า จำเลยที่ 2 มิได้มีเรื่องหมางใจกับผู้ตายและผู้เสียหายมาก่อน ประกอบกับโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันความผิดของจำเลยที่ 2 โดยชัดแจ้ง จำเลยที่ 2เองก็ให้การปฏิเสธโดยตลอดมาตั้งแต่ต้น ลำพังพยานบอกเล่าของโจทก์เท่าที่ปรากฏยังไม่พอชี้ชัดว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยอื่นด้วย
ผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ฟาดด้วยหลอดไฟฟ้าที่บริเวณกลางหลัง 1 ที และถูกไม้กระบองตีที่บริเวณตาข้างขวา 1 ที จากนั้นผู้เสียหายวิ่งหลบหนีไปได้ ไม่ปรากฏว่าผู้ตายถูกจำเลยคนใดตีทำร้ายอย่างไรหรือมีผู้ใดร้องตะโกนว่าตีให้ตาย แต่กลับได้ความว่า ผู้ตายและผู้เสียหายมีอาการเมาสุรา ผู้ตายมีปากเสียงกับฝ่ายจำเลยและพวกแล้วจึงเกิดเหตุตีทำร้ายกัน เมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีก็ไม่มีผู้ใดวิ่งไล่ตาม ทั้งปรากฏว่า ขอบตาข้างขวาของผู้เสียหายบวมช้ำมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 เซนติเมตร มีแผลถลอกช้ำหางตาและแผลฉีกขาดยาว 1 เซนติเมตร ลึก 0.3 เซนติเมตร ที่เปลือกตาขวา อาการบาดเจ็บดังกล่าวจะรักษาหายใน 10 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีเจตนาฆ่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 คงเป็นตัวการในความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายถึงแก่ความตาย และทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท หาเป็นตัวการในความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าไม่
แม้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 จะมิได้ฎีกา แต่เมื่อข้อเท็จจริงแห่งการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ไม่เป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าและเป็นข้อเท็จจริงแห่งการกระทำที่เกี่ยวพันกับจำเลยที่ 2 ซึ่งมีการฎีกาขึ้นมาทั้งปัญหาที่ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจะไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตาม ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องจำเลยที่ 1ที่ 3 และที่ 4 ให้พ้นจากความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา185, 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225
ผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ฟาดด้วยหลอดไฟฟ้าที่บริเวณกลางหลัง 1 ที และถูกไม้กระบองตีที่บริเวณตาข้างขวา 1 ที จากนั้นผู้เสียหายวิ่งหลบหนีไปได้ ไม่ปรากฏว่าผู้ตายถูกจำเลยคนใดตีทำร้ายอย่างไรหรือมีผู้ใดร้องตะโกนว่าตีให้ตาย แต่กลับได้ความว่า ผู้ตายและผู้เสียหายมีอาการเมาสุรา ผู้ตายมีปากเสียงกับฝ่ายจำเลยและพวกแล้วจึงเกิดเหตุตีทำร้ายกัน เมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีก็ไม่มีผู้ใดวิ่งไล่ตาม ทั้งปรากฏว่า ขอบตาข้างขวาของผู้เสียหายบวมช้ำมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 เซนติเมตร มีแผลถลอกช้ำหางตาและแผลฉีกขาดยาว 1 เซนติเมตร ลึก 0.3 เซนติเมตร ที่เปลือกตาขวา อาการบาดเจ็บดังกล่าวจะรักษาหายใน 10 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีเจตนาฆ่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 คงเป็นตัวการในความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายถึงแก่ความตาย และทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท หาเป็นตัวการในความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าไม่
แม้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 จะมิได้ฎีกา แต่เมื่อข้อเท็จจริงแห่งการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ไม่เป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าและเป็นข้อเท็จจริงแห่งการกระทำที่เกี่ยวพันกับจำเลยที่ 2 ซึ่งมีการฎีกาขึ้นมาทั้งปัญหาที่ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจะไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตาม ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องจำเลยที่ 1ที่ 3 และที่ 4 ให้พ้นจากความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา185, 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 502/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอ ชี้ชัดความผิดจำเลยร่วม, เจตนาฆ่าไม่ปรากฏ, ศาลฎีกายกฟ้อง
พยานหลักฐานทั้งหมดของโจทก์เท่าที่นำสืบล้วนเป็นพยานบอกเล่าเมื่อคำนึงว่าจำเลยที่ 2 มิได้มีเรื่องหมางใจกับผู้ตายและผู้เสียหายมาก่อน ประกอบกับโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันความผิดของจำเลยที่ 2 โดยชัดแจ้ง จำเลยที่ 2 เองก็ให้การปฏิเสธโดยตลอดมาตั้งแต่ต้น ลำพังพยานบอกเล่าของโจทก์เท่าที่ปรากฏยังไม่พอชี้ชัดว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยอื่นด้วย
ผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ฟาดด้วยหลอดไฟฟ้าที่บริเวณกลางหลัง1 ที และถูกไม้กระบองตีที่บริเวณตาข้างขวา 1 ทีจากนั้นผู้เสียหายวิ่งหลบหนีไปได้ ไม่ปรากฏว่าผู้ตายถูกจำเลยคนใดตีทำร้ายอย่างไร หรือมีผู้ใดร้องตะโกนว่าตีให้ตาย แต่กลับได้ความว่าผู้ตายและผู้เสียหายมีอาการเมาสุรา ผู้ตายมีปากเสียงกับฝ่ายจำเลยและพวกแล้วจึงเกิดเหตุตีทำร้ายกัน เมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีก็ไม่มีผู้ใดวิ่งไล่ตาม ทั้งปรากฏว่า ขอบตาข้างขวาของผู้เสียหายบวมช้ำมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 เซนติเมตร มีแผลถลอกช้ำหางตาและแผลฉีกขาดยาว 1 เซนติเมตรลึก 0.3 เซนติเมตรที่เปลือกตาขวาอาการบาดเจ็บดังกล่าวจะรักษาหายใน 10 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีเจตนาฆ่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 คงเป็นตัวการในความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายถึงแก่ความตายและทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทหาเป็นตัวการในความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าไม่
แม้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 จะมิได้ฎีกา แต่เมื่อข้อเท็จจริงแห่งการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ไม่เป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าและเป็นข้อเท็จจริงแห่งการกระทำที่เกี่ยวพันกับจำเลยที่ 2ซึ่งมีการฎีกาขึ้นมา ทั้งปัญหาที่ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4เป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจะไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตามศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4ให้พ้นจากความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185,195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225
ผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ฟาดด้วยหลอดไฟฟ้าที่บริเวณกลางหลัง1 ที และถูกไม้กระบองตีที่บริเวณตาข้างขวา 1 ทีจากนั้นผู้เสียหายวิ่งหลบหนีไปได้ ไม่ปรากฏว่าผู้ตายถูกจำเลยคนใดตีทำร้ายอย่างไร หรือมีผู้ใดร้องตะโกนว่าตีให้ตาย แต่กลับได้ความว่าผู้ตายและผู้เสียหายมีอาการเมาสุรา ผู้ตายมีปากเสียงกับฝ่ายจำเลยและพวกแล้วจึงเกิดเหตุตีทำร้ายกัน เมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีก็ไม่มีผู้ใดวิ่งไล่ตาม ทั้งปรากฏว่า ขอบตาข้างขวาของผู้เสียหายบวมช้ำมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7 เซนติเมตร มีแผลถลอกช้ำหางตาและแผลฉีกขาดยาว 1 เซนติเมตรลึก 0.3 เซนติเมตรที่เปลือกตาขวาอาการบาดเจ็บดังกล่าวจะรักษาหายใน 10 วัน ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มีเจตนาฆ่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 คงเป็นตัวการในความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายถึงแก่ความตายและทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทหาเป็นตัวการในความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าไม่
แม้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 จะมิได้ฎีกา แต่เมื่อข้อเท็จจริงแห่งการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ไม่เป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าและเป็นข้อเท็จจริงแห่งการกระทำที่เกี่ยวพันกับจำเลยที่ 2ซึ่งมีการฎีกาขึ้นมา ทั้งปัญหาที่ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4เป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจะไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตามศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4ให้พ้นจากความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185,195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4956/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพร่วมกับพยานหลักฐานอื่น เชื่อได้ว่าจำเลยมีส่วนร่วมในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
แม้ตามทางสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนจับกุมทราบเพียงว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 กับพวกอีกสองคนจะมาส่งมอบเมทแอมเฟตามีน โดยไม่ได้ระบุชื่อจำเลยที่ 2 ด้วยก็ตาม แต่จำเลยที่ 2 ก็ร่วมเดินทางมาในรถยนต์คันเดียวกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ซึ่งมีห่อเมทแอมเฟตามีนวางอยู่ที่เบาะด้านหลังในชั้นจับกุมจำเลยต่างรับสารภาพว่าได้ร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนมาส่งมอบแก่ลูกค้า ซึ่งเป็นคำรับสารภาพในชั้นต้นทันทีที่ถูกจับ ยังมิได้มีโอกาสคิดปรุงแต่งเรื่องให้ผิดไปจากความจริง คำรับสารภาพของจำเลยที่ 2 สอดคล้องกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งมีรายละเอียดของบุคคลที่เกี่ยวข้องและขั้นตอนของการกระทำผิดตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถูกจับ จึงน่าเชื่อว่าเป็นการรับสารภาพตามความเป็นจริงโดยสมัครใจ รับฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4933/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการยกเหตุต่อสู้ใหม่ในชั้นฎีกา - พยานหลักฐานไม่ชัดเจน
จำเลยให้การรับสารภาพและโจทก์นำสืบพยานหลักฐานได้สมฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว จำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาที่ว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่ชัดแจ้งพอที่จะรับฟังว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายไว้ การที่จำเลยเพิ่งหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกาจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4816/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานอ่อนแอ ไม่สามารถลงโทษจำเลยในข้อหายิงผู้อื่นถึงแก่ความตายได้ ศาลฎีกาแก้ไขโทษและรอการลงโทษ
แม้ในชั้นพิจารณาจำเลยให้การรับสารภาพและไม่สืบพยาน แต่พยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบไม่มีน้ำหนัก จึงไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยในข้อหาร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายตามฟ้องได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยรวม 2 กระทง จำคุก 1 ปีและให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน มีกำหนด 1 ปี ศาลอุทธรณ์เห็นไม่สมควรเปลี่ยนโทษจำเลยโดยส่งตัวไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จึงเป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 219 ประกอบพ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวพ.ศ.2534 มาตรา 6
ความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 72 วรรคสอง ต้องเป็นกรณีที่มีเครื่องกระสุนปืนเท่านั้น แต่เครื่องกระสุนปืนตามฟ้องคือกระสุนซึ่งเป็นเครื่องกระสุนปืนที่ใช้กับอาวุธปืนตามฟ้อง ทั้งโจทก์ก็ฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ในครอบครองอันเป็นความผิดตาม มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง เมื่อฟังว่าเป็นอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 7, 72 วรรคสาม
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยรวม 2 กระทง จำคุก 1 ปีและให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน มีกำหนด 1 ปี ศาลอุทธรณ์เห็นไม่สมควรเปลี่ยนโทษจำเลยโดยส่งตัวไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จึงเป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 219 ประกอบพ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวพ.ศ.2534 มาตรา 6
ความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 72 วรรคสอง ต้องเป็นกรณีที่มีเครื่องกระสุนปืนเท่านั้น แต่เครื่องกระสุนปืนตามฟ้องคือกระสุนซึ่งเป็นเครื่องกระสุนปืนที่ใช้กับอาวุธปืนตามฟ้อง ทั้งโจทก์ก็ฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ในครอบครองอันเป็นความผิดตาม มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง เมื่อฟังว่าเป็นอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 7, 72 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4674/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานเพื่อพิสูจน์การชำระหนี้ และการรับฟังเทปบันทึกเสียงเป็นพยานหลักฐาน
แม้โจทก์จะมีสัญญากู้ยืมเงินมาแสดงว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไป 400,000 บาท แต่จำเลยก็ยังนำสืบโต้แย้งจำนวนเงินที่กู้ไปจากโจทก์ว่า ไม่ได้รับเงินไปครบถ้วนตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญากู้ยืมเงิน อันเป็นการนำสืบถึงความไม่สมบูรณ์แห่งหนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 วรรคท้าย จำเลยทั้งสองย่อมนำสืบได้หาใช่เป็นกรณีต้องห้ามมิให้นำสืบไม่
ในการกู้ยืมเงินโจทก์ยึดสมุดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคารและบัตรถอนเงินอัตโนมัติของจำเลยไว้ ที่จำเลยนำสืบว่า โจทก์นำบัตรถอนเงินอัตโนมัติของจำเลยไปเบิกเงินเดือนของจำเลยเป็นเงินประมาณ 300,000 บาท เป็นการนำสืบว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้
จำเลยอ้างส่งเทปบันทึกเสียงซึ่งบันทึกการสนทนาระหว่างโจทก์และจำเลยพร้อมเอกสารที่ถอดข้อความบันทึกการสนทนาดังกล่าว และรายการบัญชีเงินฝากของจำเลยเป็นพยานหลักฐานว่า โจทก์ได้ชำระหนี้ไปครบถ้วนแล้ว โดยเสียงที่ปรากฏในเทปบันทึกเสียงอันเป็นเสียงของโจทก์จริง เทปบันทึกเสียงการสนทนาระหว่างโจทก์และจำเลย เอกสารที่ถอดข้อความบันทึกการสนทนา นับเป็นพยานหลักฐานซึ่งเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่จำเลยจะนำสืบในประเด็นเรื่อง การใช้เงิน และเมื่อการบันทึกเสียงดังกล่าวเกิดจากการกระทำของจำเลยซึ่งเป็นคู่สนทนาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้บันทึกเสียงไว้เอง ซึ่งโดยปกติจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะเบิกความอ้างถึงการสนทนาในครั้งนั้นได้อยู่แล้ว จึงไม่ถือว่าเทปบันทึกเสียงและเอกสารที่ถอดข้อความบันทึกการสนทนา เป็นการบันทึกถ้อยคำซึ่งเกิดจากการกระทำโดยมิชอบ อันจะต้องห้ามมิให้ รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 243 วรรคสอง
ในการกู้ยืมเงินโจทก์ยึดสมุดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคารและบัตรถอนเงินอัตโนมัติของจำเลยไว้ ที่จำเลยนำสืบว่า โจทก์นำบัตรถอนเงินอัตโนมัติของจำเลยไปเบิกเงินเดือนของจำเลยเป็นเงินประมาณ 300,000 บาท เป็นการนำสืบว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้
จำเลยอ้างส่งเทปบันทึกเสียงซึ่งบันทึกการสนทนาระหว่างโจทก์และจำเลยพร้อมเอกสารที่ถอดข้อความบันทึกการสนทนาดังกล่าว และรายการบัญชีเงินฝากของจำเลยเป็นพยานหลักฐานว่า โจทก์ได้ชำระหนี้ไปครบถ้วนแล้ว โดยเสียงที่ปรากฏในเทปบันทึกเสียงอันเป็นเสียงของโจทก์จริง เทปบันทึกเสียงการสนทนาระหว่างโจทก์และจำเลย เอกสารที่ถอดข้อความบันทึกการสนทนา นับเป็นพยานหลักฐานซึ่งเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่จำเลยจะนำสืบในประเด็นเรื่อง การใช้เงิน และเมื่อการบันทึกเสียงดังกล่าวเกิดจากการกระทำของจำเลยซึ่งเป็นคู่สนทนาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้บันทึกเสียงไว้เอง ซึ่งโดยปกติจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะเบิกความอ้างถึงการสนทนาในครั้งนั้นได้อยู่แล้ว จึงไม่ถือว่าเทปบันทึกเสียงและเอกสารที่ถอดข้อความบันทึกการสนทนา เป็นการบันทึกถ้อยคำซึ่งเกิดจากการกระทำโดยมิชอบ อันจะต้องห้ามมิให้ รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 243 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4674/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์จำนวนเงินกู้ที่แท้จริง และการใช้สิทธิรับฟังพยานหลักฐานการชำระหนี้โดยวิธีการอื่น
จำเลยสามารถนำสืบโต้แย้งจำนวนเงินที่กู้ไปจากโจทก์ได้ว่าไม่ได้รับเงินไปครบถ้วนตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญากู้ยืมเงิน เป็นการนำสืบถึงความไม่สมบูรณ์แห่งหนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 วรรคท้าย
จำเลยนำสืบว่าในปี 2534 ถึง 2537 โจทก์นำบัตรถอนเงินอัตโนมัติของจำเลยไปเบิกเงินเดือนของจำเลยเป็นเงินประมาณ 300,000 บาทเป็นการนำสืบการใช้เงินโดยวิธีอื่น ว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้
การที่จำเลยอ้างส่งเทปบันทึกเสียงซึ่งบันทึกการสนทนาระหว่างโจทก์และจำเลยพร้อมเอกสารที่ถอดข้อความบันทึกการสนทนาเป็นพยานหลักฐานนั้นนับเป็นพยานหลักฐานซึ่งเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่จำเลยจะนำสืบในประเด็นเรื่องการใช้เงินแม้โจทก์จะไม่ทราบว่ามีการบันทึกเสียงไว้ก็ตาม แต่เมื่อเสียงที่ปรากฏเป็นเสียงของโจทก์จริง และการบันทึกเสียงดังกล่าวเกิดจากการกระทำของจำเลยซึ่งเป็นคู่สนทนาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้บันทึกเสียงไว้เอง ซึ่งโดยปกติจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะเบิกความอ้างถึงการสนทนาในครั้งนั้นได้อยู่แล้ว จึงไม่ถือว่าเทปบันทึกเสียงและเอกสารที่ถอดข้อความนั้นเป็นการบันทึกถ้อยคำซึ่งเกิดจากการกระทำโดยมิชอบอันจะต้องมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 243 วรรคสอง
จำเลยนำสืบว่าในปี 2534 ถึง 2537 โจทก์นำบัตรถอนเงินอัตโนมัติของจำเลยไปเบิกเงินเดือนของจำเลยเป็นเงินประมาณ 300,000 บาทเป็นการนำสืบการใช้เงินโดยวิธีอื่น ว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้
การที่จำเลยอ้างส่งเทปบันทึกเสียงซึ่งบันทึกการสนทนาระหว่างโจทก์และจำเลยพร้อมเอกสารที่ถอดข้อความบันทึกการสนทนาเป็นพยานหลักฐานนั้นนับเป็นพยานหลักฐานซึ่งเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่จำเลยจะนำสืบในประเด็นเรื่องการใช้เงินแม้โจทก์จะไม่ทราบว่ามีการบันทึกเสียงไว้ก็ตาม แต่เมื่อเสียงที่ปรากฏเป็นเสียงของโจทก์จริง และการบันทึกเสียงดังกล่าวเกิดจากการกระทำของจำเลยซึ่งเป็นคู่สนทนาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้บันทึกเสียงไว้เอง ซึ่งโดยปกติจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะเบิกความอ้างถึงการสนทนาในครั้งนั้นได้อยู่แล้ว จึงไม่ถือว่าเทปบันทึกเสียงและเอกสารที่ถอดข้อความนั้นเป็นการบันทึกถ้อยคำซึ่งเกิดจากการกระทำโดยมิชอบอันจะต้องมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 243 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4579/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดร่วมกันครอบครองเมทแอมเฟตามีนเพื่อขาย และการมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีพยานหลักฐานเชื่อมโยงจำเลยที่ 1 เข้าสู่การกระทำความผิด
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 มีอาวุธปืนพกออโตเมติกบราวนิ่งขนาด .32(7.65 มม.) เครื่องหมายเลขประจำปืนถูกขูดลูบแก้ไขไม่อาจยืนยันได้ว่าเลขหมายเดิมคืออะไร 1 กระบอก และมีซองบรรจุกระสุน 1 ซอง กระสุนปืนขนาดเดียวกัน 6 นัด ไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต และจำเลยที่ 2 ได้พาอาวุธปืนดังกล่าวไปในเมืองหมู่บ้าน ตามถนน ซึ่งเป็นทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควรและโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ,72 และ 72 ทวิแต่โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 ด้วย ศาลจะยกมาตราดังกล่าวมาปรับบทลงโทษไม่ได้เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
จำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีน 1,650 เม็ด หนัก 144.375 กรัมคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 13.976 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาตก่อนจับกุมจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชุดสืบสวนจับกุมของตำรวจได้จับกุมผู้ค้าเมทแอมเฟตามีน 5 คน และสอบสวนขยายผลได้ความว่า ยังมีผู้ลักลอบค้าอยู่อีก จึงได้ให้ผู้ต้องหาคนหนึ่งพาไปห้องเกิดเหตุโดยผู้ต้องหาบอกว่าเป็นห้องของจำเลยที่ 1เจ้าพนักงานตำรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางตามที่ผู้ต้องหาบอกเมทแอมเฟตามีนของกลางในคดีนี้พบอยู่บนตู้เสื้อผ้าของจำเลยที่ 1 และก่อนที่จะถูกจับจำเลยที่ 2 ยังได้มอบเมทแอมเฟตามีนให้ผู้ต้องหานำไปส่งให้ลูกค้ามาแล้ว ทั้งจำเลยที่ 1 ก็ถูกจับกุมพร้อมกับจำเลยที่ 2พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นเป็นใจด้วยกับการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีน 1,650 เม็ด หนัก 144.375 กรัมคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 13.976 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาตก่อนจับกุมจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชุดสืบสวนจับกุมของตำรวจได้จับกุมผู้ค้าเมทแอมเฟตามีน 5 คน และสอบสวนขยายผลได้ความว่า ยังมีผู้ลักลอบค้าอยู่อีก จึงได้ให้ผู้ต้องหาคนหนึ่งพาไปห้องเกิดเหตุโดยผู้ต้องหาบอกว่าเป็นห้องของจำเลยที่ 1เจ้าพนักงานตำรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางตามที่ผู้ต้องหาบอกเมทแอมเฟตามีนของกลางในคดีนี้พบอยู่บนตู้เสื้อผ้าของจำเลยที่ 1 และก่อนที่จะถูกจับจำเลยที่ 2 ยังได้มอบเมทแอมเฟตามีนให้ผู้ต้องหานำไปส่งให้ลูกค้ามาแล้ว ทั้งจำเลยที่ 1 ก็ถูกจับกุมพร้อมกับจำเลยที่ 2พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นเป็นใจด้วยกับการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความเป็นเจ้าของรถบรรทุก: พยานหลักฐานต้องน่าเชื่อถือและสอดคล้องกัน
ขณะเกิดเหตุรถบรรทุกของกลางยังมีจำเลยเป็นเจ้าของ ผู้ร้องอ้างว่าซื้อรถบรรทุกคันดังกล่าวมาจากจำเลยเพื่อถมปรับสภาพพื้นดินในการทำบ้านจัดสรรในระยะเวลาประมาณ 10 วันเท่านั้น หลังจากนั้นได้นำไปให้จำเลยเช่า ไม่น่าเชื่อว่าผู้ร้องจะยอมลงทุนถึง 500,000 บาท มาซื้อรถบรรทุกจากจำเลยเพียงเพื่อใช้ในกิจการดังกล่าว เป็นเรื่องผิดปกติวิสัยอย่างยิ่ง แม้ผู้ร้องจะมีสัญญาเช่าสัญญาซื้อขายและเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับการโอนและการรับโอนมาเป็นพยานเอกสารอ้างอิงก็ตาม แต่เอกสารดังกล่าวผู้ร้องและจำเลยสามารถจัดทำขึ้นมาได้ อีกทั้งผู้ร้องอ้างว่าที่ยังไม่มีการโอนทะเบียนรถเพราะไม่พบจำเลยจึงไม่อาจนำรถบรรทุกของกลางไปตรวจสภาพได้นั้น แต่เมื่อจำเลยยืนยันว่า ภายหลังที่จำเลยขายรถบรรทุกของกลางให้แก่ผู้ร้องแล้วจำเลยก็ยังคงรับจ้างขับรถบรรทุกคันดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องมิได้ไปอยู่ที่อื่นข้ออ้างของผู้ร้องในเรื่องนี้จึงเป็นพิรุธอย่างยิ่ง ประกอบกับระหว่างทำการสอบสวนไม่มีผู้ใดมาขอคืนรถบรรทุกของกลาง และผลการสอบสวนก็ได้ความว่ารถบรรทุกคันดังกล่าวเป็นของจำเลยซึ่งจำเลยไม่เคยโต้แย้งในเรื่องนี้แต่อย่างใด ดังนี้ พยานหลักฐานของผู้ร้องจึงไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังว่ารถบรรทุกของกลางเป็นของผู้ร้อง การที่ผู้ร้องมาร้องขอคืนของกลางจึงเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลย