คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลชั้นต้น

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 926 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1373/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์คณะผู้พิพากษาคดีล้มละลาย: คำสั่งศาลชั้นต้นต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนจึงชอบด้วยกฎหมาย
พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 149 ระบุว่า ศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม เว้นแต่ศาลแขวง มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีล้มละลาย และพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรคหนึ่งระบุว่า ศาลชั้นต้น นอกจากศาลแขวงต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคน จึงเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและคดีอาญาทั้งปวง ดังนั้น คำสั่งศาลชั้นต้นของผู้พิพากษานายเดียวที่ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 107 จึงถือว่าไม่ครบองค์คณะ เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 (5) ประกอบ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรังวัดที่ดินพิพาท & ผลของคำท้าที่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามข้อตกลง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีโดยไม่ชอบ
โจทก์และจำเลยแถลงต่อพิพากษาขอให้สั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ไปรังวัดทำแผนที่พิพาทหากทำแผนที่พิพาทแล้วปรากฏว่าหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่8049หรืออยู่นอกเขตที่ดินโฉนดเลขที่8033แล้วโจทก์ยอมแพ้แต่ถ้าอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่8033แล้วจำเลยยอมแพ้โดยคู่ความไม่ติดใจสืบพยานกันต่อไปดังนั้นเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตรวจแผนที่พิพาทกับระวางที่ดินตามรูปโฉนดเดิมแล้วแถลงว่าไม่สามารถให้ความเห็นได้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินแปลงใดแน่เนื่องจากไม่สามารถรังวัดปูโฉนดได้เพราะที่ดินตามโฉนดเดิมไม่มีระวางโยงยึดและหมุดหลักที่แน่นอนดังนี้จึงถือไม่ได้ว่าปรากฏว่าหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของฝ่ายใดตามตกลงท้ากันและศาลจะตรวจดูแผนที่พิพาทเปรียบเทียบกับระวางแผนที่เสียเองก็ไม่ได้ศาลจึงไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้เป็นไปตามคำท้าได้คำท้าเป็นอันตกไปศาลชั้นต้นต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9514/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตประเด็นข้อพิพาท: การกำหนดประเด็นครอบคลุมข้อโต้แย้งทั้งหมด
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าโจทก์ผิดสัญญาจ้างทำของตามฟ้องเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองเสียหายตามฟ้องแย้งหรือไม่ ซึ่งมีความหมายครอบคลุมถึงข้อความที่ว่า 1.โจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา 2.จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เพียงใด และ 3.โจทก์จะต้องรับผิดต่อจำเลยทั้งสองตามฟ้องแย้งหรือไม่ เพียงใด อันเป็นข้อความที่จำเลยทั้งสองประสงค์ให้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทเพิ่มเติมแล้ว จึงไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงแก้ไขประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 918/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการอุทธรณ์หนี้จำนอง: การบังคับคดีเกินกว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์เพียงแต่อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 5 รับผิดในหนี้ที่เหลือซึ่งเป็นหนี้สามัญ นอกเหนือไปจากหนี้จำนองที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 5 รับผิดในวงเงินต้น 2,000,000 บาท เท่านั้น โจทก์หาได้อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 5รับผิดในหนี้จำนองเพิ่มขึ้นไม่ ดังนั้น หากโจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์แล้ว ก็ไม่อาจบังคับจำนองได้มากไปกว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 5 รับผิดในหนี้จำนองจึงไม่มีเหตุที่จะให้งดการไถ่ถอนทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 5 ไว้ในระหว่างอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 708/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการอุทธรณ์ในชั้นบังคับคดี: การอุทธรณ์ต้องไม่เกินเลยจากข้อที่ได้ว่ากล่าวในศาลชั้นต้น
ในชั้นบังคับคดีให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลพิพากษาตามยอมเสร็จเด็ดขาดไปแล้วนั้น เมื่อคำแถลงของโจทก์ระบุถึงความเสียหายที่จำเลยซ่อมแซมตึกแถวผิดไปจากแบบแปลนมาเพียง 4 รายการการที่โจทก์นำสืบถึงความเสียหายอื่นนอกเหนือไปจากความเสียหายที่ระบุมาในคำแถลงแม้จะเป็นการนำสืบตามฟ้อง แต่ก็เป็นการนำสืบนอกเหนือไปจากคำแถลงในชั้นบังคับคดี อุทธรณ์ในความเสียหายอื่นของโจทก์จึงถือได้ว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6971/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผ่านทางจำเป็น: คลองสาธารณะทำให้ที่ดินไม่ถูกล้อม, ประเด็นภาระจำยอมต้องยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้น
เมื่อยังมีการใช้เรือสัญจรไปมาในคลองบางกอกน้อยซึ่งเป็นคลองสาธารณะอยู่ คลองบางกอกน้อยจึงเป็นทางสาธารณะตามความหมายของ ป.พ.พ.มาตรา 1349 ดังนั้นการที่ที่ดินของโจทก์อยู่ติดคลองบางกอกน้อยซึ่งเป็นทางสาธารณะเช่นนี้ จึงไม่เป็นที่ดินที่มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ตามป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะผ่านที่ดินของจำเลยไปสู่ทางสาธารณะได้ ที่ดินของจำเลยไม่เป็นทางจำเป็นของที่ดินของโจทก์
ที่โจทก์ฎีกาในทำนองว่า ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอม โจทก์ได้สิทธิในทางภาระจำยอมโดยอายุความแล้วนั้น ปรากฏว่าในการชี้สองสถานศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทว่าที่ดินของจำเลยเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์หรือไม่ และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้โต้แย้งคำสั่งศาลในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ จึงไม่มีประเด็นว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์หรือไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6843/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำให้การหลังศาลเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ และผลกระทบต่อค่าขึ้นศาล
คดีนี้ไม่มีการชี้สองสถานและการสืบพยานเนื่องจากศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องและคำให้การแล้วเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย ดังนั้นตราบใดที่ศาลชั้นต้นยังมิได้พิพากษา ถือว่าอยู่ในระยะเวลาที่จำเลยที่ 2แก้ไขคำให้การได้ หาเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 180 ไม่ แต่ที่ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นปฏิบัติตาม ป.วิ.พ.มาตรา 181 ซึ่งหมายถึงให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งคำร้องขอแก้ไขคำให้การของจำเลยที่ 2 เสียใหม่นั้น เมื่อโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องขอแก้ไขคำให้การทั้งสองครั้งและมีโอกาสคัดค้านทั้งในชั้นอุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาจึงเห็นควรสั่งคำร้องขอแก้ไขคำให้การของจำเลยที่ 2 ไปเสียทีเดียว โดยไม่ต้องให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งอีก และเมื่อจะต้องรับคำร้องขอแก้ไขคำให้การและดำเนินคดีต่อไปเช่นนี้แล้ว ก็เป็นอันยังไม่รับวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีซึ่งโจทก์ฎีกาขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ตามคำขอท้ายฟ้อง ศาลอุทธรณ์ก็ยังไม่รับวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีเช่นเดียวกัน ดังนั้น ที่จำเลยที่ 2 เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในคดี และโจทก์ก็เสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในคดีเช่นเดียวกัน จึงเป็นการเสียค่าขึ้นศาลเกินมา ซึ่งที่ถูกจะต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงชั้นศาลละ 200 บาท เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6721/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชัดแจ้ง - การแก้ไขค่าทนายความที่ศาลชั้นต้นกำหนดเกินอัตราตามกฎหมาย
คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อ้างเหตุคนละอย่างกับเหตุที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย การที่จำเลยฎีกาโดยคัดลอกเอาข้อความที่อุทธรณ์มาเป็นฎีกาโดยไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไร ที่ถูกแล้วศาลอุทธรณ์ควรวินิจฉัยอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความ 20,000 บาทแทนโจทก์ เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดน่าจะเกิดจากการพิมพ์ผิดพลาด ตามป.วิ.พ. มาตรา 143 จึงให้แก้ไขค่าทนายความในศาลชั้นต้นเป็น 3,000 บาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6721/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากจำเลยไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และศาลแก้ไขค่าทนายความที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อ้างเหตุคนละอย่างกับเหตุที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยการที่จำเลยฎีกาโดยคัดลอกเอาข้อความที่อุทธรณ์มาเป็นฎีกาโดยไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไรที่ถูกแล้วศาลอุทธรณ์ควรวินิจฉัยอย่างไรจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความ20,000บาทแทนโจทก์เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดน่าจะเกิดจากการพิมพ์ผิดพลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา143จึงให้แก้ไขค่าทนายความในศาลชั้นต้นเป็น3,000บาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6570/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ต้องระบุข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ชัดเจนและแจ้งชัด มิฉะนั้นเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ
จำเลยที่ 2 ไม่จำเป็นต้องลอกคำฟ้อง คำให้การและทางพิจารณามาในอุทธรณ์ซ้ำอีก แต่ ป.วิ.พ. มาตรา 225 บัญญัติไว้ว่า ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างในการยื่นอุทธรณ์นั้น คู่ความจะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในอุทธรณ์ เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน 110,622 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยที่ 2 ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวโดยไม่ได้บรรยายข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาไว้โดยชัดแจ้งเลยว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยคดีนี้อย่างไร คงโต้แย้งแต่คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในข้อที่จำเลยที่ 2 ไม่เห็นพ้องด้วยเท่านั้น อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ได้กล่าวไว้โดยแจ้งชัดไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว
of 93