พบผลลัพธ์ทั้งหมด 412 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3504/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยอำนาจศาลแรงงาน: สัญญาจ้างแรงงาน มิใช่สัญญาตัวแทน
คำวินิจฉัยของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางแยกเป็น 2 ประการ คือนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่ และเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างหรือไม่ ปัญหาข้อแรก อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำวินิจฉัยว่า นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงาน โดยพิเคราะห์จากคำฟ้อง คำให้การ ประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์จำเลยและพยานเอกสารและคำสั่งของศาลแรงงานกลาง คำวินิจฉัยดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางได้ฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยได้นำสืบไว้แล้ว การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่านิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามคำวินิจฉัยของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางไม่ใช่สัญญาตัวแทน ถือได้ว่าศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่ว่านิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่แล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3504/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกายืนตามคำวินิจฉัยของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางที่รับว่ามีความสัมพันธ์สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์และจำเลย
คำวินิจฉัยของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางแยกเป็น 2 ประการคือนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่และเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างหรือไม่ ปัญหาข้อแรก อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางมีคำวินิจฉัยว่า นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงาน โดยพิเคราะห์จากคำฟ้อง คำให้การ ประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์จำเลยและพยานเอกสารและคำสั่งของศาลแรงงานกลาง คำวินิจฉัยดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางได้ฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยได้นำสืบไว้แล้ว การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่านิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามคำวินิจฉัยของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางไม่ใช่สัญญาตัวแทน ถือได้ว่าศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่ว่านิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่แล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3400/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนตัวทนายและการหมดอายุความคดีกองทุนเงินทดแทน ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลแรงงานกลาง
การจะอนุญาตให้ทนายความถอนตนจากการตั้งแต่ง เป็นทนายความของตัวความในคดีหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาล ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตัวจากการเป็นทนายความของจำเลย แล้วทนายจำเลยอุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางควรให้ทนายจำเลยนำส่งสำเนาคำร้องขอถอนตัวไปให้จำเลยทราบเสียก่อน และควรมีคำสั่งเลื่อนการพิจารณาคดีไปก่อนนั้น เท่ากับเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งว่าศาลแรงงานกลางใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตนจากการตั้งแต่งเป็นทนายความของจำเลยโดยไม่ชอบ จึงเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
การฟ้องเรียกเงินที่ นายจ้าง ต้องจ่ายเข้าสมทบกองทุนเงินทดแทนไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คือใช้อายุความทั่วไปซึ่งมีกำหนด 10 ปี
การฟ้องเรียกเงินที่ นายจ้าง ต้องจ่ายเข้าสมทบกองทุนเงินทดแทนไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คือใช้อายุความทั่วไปซึ่งมีกำหนด 10 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3400/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนตัวทนาย & อายุความฟ้องเรียกเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน
การจะอนุญาตให้ทนายความถอนตนจากการแต่งตั้งเป็นทนายความหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาล ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทนายจำเลยถอนตัวจากการเป็นทนายความของจำเลย ทนายจำเลยอุทธรณ์ว่าศาลแรงงานควรให้ทนายจำเลยนำส่งสำเนาคำร้องขอถอนตัวไปให้จำเลยทราบเสียก่อน และควรมีคำสั่งเลื่อนการพิจารณาคดีไปก่อนนั้นเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจของศาลแรงงานกลาง จึงเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 การฟ้องเรียกเงินที่นายจ้างต้องจ่ายเข้าสมทบกองทุนเงินทดแทนไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ซึ่งมีกำหนด 10 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3006/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีแรงงาน การรับฟังพยานหลักฐาน และขอบเขตการวินิจฉัยของศาล
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ข้ออ้างของโจทก์ที่อ้างว่าโจทก์ไม่ทราบว่าลูกจ้างคนใดเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานบ้างนั้นไม่น่ารับฟังเพราะโจทก์สามารถตรวจสอบจากรายชื่อลูกจ้างที่ไม่ได้เข้าทำงานในระหว่างนัดหยุดงานได้ ดังนี้การที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยคดีโดยมิได้ถือข้อเท็จจริงตามถ้อยคำสำนวน เพราะข้อเท็จจริงในสำนวนปรากฏว่าโจทก์ไม่ทราบว่าใครบ้างเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน จี.เอส.สตีลนั้น จึงเป็นการอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง อันเป็นการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 54 ส่วนที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยพยานหลักฐานโจทก์โดยหยิบยกเอาคำพยานบุคคลของโจทก์ขึ้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าการเชื่อพยานเพียงใดหรือไม่นั้นเป็นเรื่องการใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน โจทก์อุทธรณ์ข้อนี้เป็นการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2690/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลแรงงานอนุญาตให้ถอนฟ้องคดีแรงงานได้ แม้โจทก์แถลงด้วยวาจา หากจำเลยคัดค้าน
คดีแรงงานมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากคดีแพ่งธรรมดา การดำเนินคดีจะต้องเป็นไปโดยสะดวก ประหยัดและรวดเร็ว ฉะนั้นการที่โจทก์ขอถอนฟ้องโดยแถลงขอถอนฟ้องด้วยวาจาต่อศาล แม้จะเป็นเวลาภายหลังที่จำเลยยื่นคำให้การแล้วก็ตาม แต่จำเลยก็ได้ทราบและได้แถลงคัดค้านต่อศาลแล้ว ซึ่งตรงตามความมุ่งหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 วรรคสอง(1) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานมาตรา 31 ศาลแรงงานย่อมมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2484/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดุลพินิจศาลแรงงานในการไม่อนุญาตเลื่อนคดี: อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามกฎหมาย
คำสั่งศาลแรงงานกลางที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดี เป็นการใช้ดุลพินิจของศาลแรงงานกลางอันเป็นข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2484/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจดุลพินิจศาลแรงงานในการไม่อนุญาตเลื่อนคดี และข้อจำกัดในการอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.ศาลแรงงาน
คำสั่งศาลแรงงานกลางที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดี เป็นการใช้ดุลพินิจของศาลแรงงานกลางอันเป็นข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 54.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2482/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลแรงงานแก้ไขคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ กรณีเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และการชดใช้ค่าเสียหายแทนการรับกลับเข้าทำงาน
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 41(4) ให้อำนาจคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์วินิจฉัยชี้ขาดคำร้องตามมาตรา 125 และในกรณีที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ก็ให้มีอำนาจให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานหรือให้จ่ายค่าเสียหายได้ คำสั่งชี้ขาดดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติใดบัญญัติว่าให้ถึงที่สุด คู่ความที่ไม่พอใจคำสั่งนั้น จึงมีสิทธินำคดีมาฟ้องศาลแรงงานให้วินิจฉัยว่าคำสั่งดังกล่าวชอบหรือไม่อีกได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 8(4) หากศาลแรงงานเห็นว่า คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ใช้อำนาจหน้าที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ศาลแรงงานย่อมมีอำนาจที่จะแก้ไขให้ถูกต้องและเหมาะสมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2482/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลแรงงานแก้ไขคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์กรณีเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และการใช้ค่าเสียหายแทนการรับกลับเข้าทำงาน
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 41(4) ให้อำนาจคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์วินิจฉัยชี้ขาดคำร้องตามมาตรา 125และในกรณีที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ก็ให้มีอำนาจให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานหรือให้จ่ายค่าเสียหายได้ คำสั่งชี้ขาดดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติใดบัญญัติว่าให้ถึงที่สุด คู่ความที่ไม่พอใจคำสั่งนั้น จึงมีสิทธินำคดีมาฟ้องศาลแรงงานให้วินิจฉัยว่าคำสั่งดังกล่าวชอบหรือไม่อีกได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 8(4) หากศาลแรงงานเห็นว่า คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ใช้อำนาจหน้าที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ศาลแรงงานย่อมมีอำนาจที่จะแก้ไขให้ถูกต้องและเหมาะสมได้.