พบผลลัพธ์ทั้งหมด 546 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2174/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเท็จและการเป็นผู้เสียหาย: โจทก์ไม่เสียหายจากการแจ้งความเท็จ เพราะยังมีสิทธิเรียกร้องจากเช็คค้ำประกัน
ปัญหาที่ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองแม้จะไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นก็ตาม
จำเลยนำรถยนต์ ใบทะเบียน และคำแจ้งความเรื่องขอโอนและขอรับโอนทะเบียนรถยนต์ไปประกันเงินกู้ไว้กับโจทก์ ต่อมาจำเลยขอรับรถยนต์คืนเพื่อนำไปให้ผู้ซื้อดูโดยโจทก์ยอมรับเช็คเป็นหลักประกันแทนรถยนต์ และยอมให้จำเลยมีสิทธิขายรถยนต์นั้นได้และมีข้อตกลงว่าถ้าผู้ซื้อไม่ตกลงซื้อให้จำเลยนำรถยนต์คืนโจทก์ ถ้าผู้ซื้อตกลงซื้อให้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อโจทก์จะได้นำเช็คไปขอรับเงินจากธนาคารดังนี้ การที่จำเลยไปแจ้งความว่าใบทะเบียนรถยนต์หาย และเจ้าพนักงานตำรวจได้จดไว้ในรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันซึ่งจำเลยอาจถือเป็นหลักฐานไปขอใบแทนทะเบียนรถยนต์เพื่อใช้โอนให้บุคคลอื่นได้ก็ตาม โจทก์ก็หาได้รับความเสียหายจากการนั้นไม่เพราะเมื่อจำเลยขายหรือโอนรถยนต์ให้คนอื่นไปโจทก์ย่อมมีสิทธินำเช็คไปขอรับเงินจากธนาคารตามที่ตกลงกัน หรือบังคับการชำระเงินตามเช็คนั้นได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย
จำเลยนำรถยนต์ ใบทะเบียน และคำแจ้งความเรื่องขอโอนและขอรับโอนทะเบียนรถยนต์ไปประกันเงินกู้ไว้กับโจทก์ ต่อมาจำเลยขอรับรถยนต์คืนเพื่อนำไปให้ผู้ซื้อดูโดยโจทก์ยอมรับเช็คเป็นหลักประกันแทนรถยนต์ และยอมให้จำเลยมีสิทธิขายรถยนต์นั้นได้และมีข้อตกลงว่าถ้าผู้ซื้อไม่ตกลงซื้อให้จำเลยนำรถยนต์คืนโจทก์ ถ้าผู้ซื้อตกลงซื้อให้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อโจทก์จะได้นำเช็คไปขอรับเงินจากธนาคารดังนี้ การที่จำเลยไปแจ้งความว่าใบทะเบียนรถยนต์หาย และเจ้าพนักงานตำรวจได้จดไว้ในรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันซึ่งจำเลยอาจถือเป็นหลักฐานไปขอใบแทนทะเบียนรถยนต์เพื่อใช้โอนให้บุคคลอื่นได้ก็ตาม โจทก์ก็หาได้รับความเสียหายจากการนั้นไม่เพราะเมื่อจำเลยขายหรือโอนรถยนต์ให้คนอื่นไปโจทก์ย่อมมีสิทธินำเช็คไปขอรับเงินจากธนาคารตามที่ตกลงกัน หรือบังคับการชำระเงินตามเช็คนั้นได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2174/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเท็จและการไม่เป็นผู้เสียหาย: โจทก์ไม่เสียหายจากการแจ้งความเท็จ เพราะยังมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากเช็ค
ปัญหาที่ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองแม้จะไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นก็ตาม
จำเลยนำรถยนต์ ใบทะเบียน และคำแจ้งความเรื่องขอโอนและขอรับโอนทะเบียนรถยนต์ไปประกันเงินกู้ไว้กับโจทก์ ต่อมาจำเลยขอรับรถยนต์คืนเพื่อนำไปให้ผู้ซื้อดูโดยโจทก์ยอมรับเช็คเป็นหลักประกันแทนรถยนต์ และยอมให้จำเลยมีสิทธิขายรถยนต์นั้นได้และมีข้อตกลงว่าถ้าผู้ซื้อไม่ตกลงซื้อ ให้จำเลยนำรถยนต์คืนโจทก์ ถ้าผู้ซื้อตกลงซื้อ ให้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อโจทก์จะได้นำเช็คไปขอรับเงินจากธนาคารดังนี้ การที่จำเลยไปแจ้งความว่าใบทะเบียนรถยนต์หาย และเจ้าพนักงานตำรวจได้จดไว้ในรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันซึ่งจำเลยอาจถือเป็นหลักฐานไปขอใบแทนทะเบียนรถยนต์เพื่อใช้โอนให้บุคคลอื่นได้ก็ตาม โจทก์ก็หาได้รับความเสียหายจากการนั้นไม่ เพราะเมื่อจำเลยขายหรือโอนรถยนต์ให้คนอื่นไปโจทก์ย่อมมีสิทธินำเช็คไปขอรับเงินจากธนาคารตามที่ตกลงกัน หรือบังคับการชำระเงินตามเช็คนั้นได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย
จำเลยนำรถยนต์ ใบทะเบียน และคำแจ้งความเรื่องขอโอนและขอรับโอนทะเบียนรถยนต์ไปประกันเงินกู้ไว้กับโจทก์ ต่อมาจำเลยขอรับรถยนต์คืนเพื่อนำไปให้ผู้ซื้อดูโดยโจทก์ยอมรับเช็คเป็นหลักประกันแทนรถยนต์ และยอมให้จำเลยมีสิทธิขายรถยนต์นั้นได้และมีข้อตกลงว่าถ้าผู้ซื้อไม่ตกลงซื้อ ให้จำเลยนำรถยนต์คืนโจทก์ ถ้าผู้ซื้อตกลงซื้อ ให้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อโจทก์จะได้นำเช็คไปขอรับเงินจากธนาคารดังนี้ การที่จำเลยไปแจ้งความว่าใบทะเบียนรถยนต์หาย และเจ้าพนักงานตำรวจได้จดไว้ในรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันซึ่งจำเลยอาจถือเป็นหลักฐานไปขอใบแทนทะเบียนรถยนต์เพื่อใช้โอนให้บุคคลอื่นได้ก็ตาม โจทก์ก็หาได้รับความเสียหายจากการนั้นไม่ เพราะเมื่อจำเลยขายหรือโอนรถยนต์ให้คนอื่นไปโจทก์ย่อมมีสิทธินำเช็คไปขอรับเงินจากธนาคารตามที่ตกลงกัน หรือบังคับการชำระเงินตามเช็คนั้นได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2054/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความผิดหมิ่นประมาท แจ้งความเท็จ และอำนาจฟ้องในคดีอาญา
คำเบิกความของจำเลยซึ่งเท้าความไปถึงเรื่องระหองระแหงต่าง ๆ ระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีอาญาที่ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายโจทก์นั้น แม้จะเป็นความเท็จ ก็หาใช่ข้อสำคัญในคดีดังกล่าวไม่
คำเบิกความของจำเลยในคดีอาญาซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานเพื่อประโยชน์แก่คดีของตนนั้น ถือว่าเป็นถ้อยคำของคู่ความในกระบวนพิจารณา จึงไม่อาจเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
การเบิกความเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดี มิใช่เรื่องแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน เพราะศาลทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานในการยุติธรรมในการพิจารณาคดี ซึ่งมีบทบัญญัติไว้โดยเฉพาะตามมาตรา 177 มิได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานทั่วไป จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า การแจ้งความเท็จของจำเลยอาจทำให้โจทก์เสียหาย เป็นแต่กล่าวว่าอาจทำให้ผู้อื่นเสียหายโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องในข้อหาฐานนี้
คำเบิกความของจำเลยในคดีอาญาซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานเพื่อประโยชน์แก่คดีของตนนั้น ถือว่าเป็นถ้อยคำของคู่ความในกระบวนพิจารณา จึงไม่อาจเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
การเบิกความเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดี มิใช่เรื่องแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน เพราะศาลทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานในการยุติธรรมในการพิจารณาคดี ซึ่งมีบทบัญญัติไว้โดยเฉพาะตามมาตรา 177 มิได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานทั่วไป จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า การแจ้งความเท็จของจำเลยอาจทำให้โจทก์เสียหาย เป็นแต่กล่าวว่าอาจทำให้ผู้อื่นเสียหายโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องในข้อหาฐานนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2054/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความผิดฐานหมิ่นประมาท แจ้งความเท็จ และการแจ้งความเท็จต่อศาล
คำเบิกความของจำเลยซึ่งเท้าความไปถึงเรื่องระหองระแหงต่างๆระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีอาญาที่ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายโจทก์นั้น แม้จะเป็นความเท็จ ก็หาใช่ข้อสำคัญในคดีดังกล่าวไม่
คำเบิกความของจำเลยในคดีอาญาซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานเพื่อประโยชน์แก่คดีของตนนั้น ถือว่าเป็นถ้อยคำของคู่ความในกระบวนพิจารณา จึงไม่อาจเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
การเบิกความเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดี มิใช่เรื่องแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน เพราะศาลทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานในการยุติธรรมในการพิจารณาคดี ซึ่งมีบทบัญญัติไว้โดยเฉพาะตามมาตรา 177 มิได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานทั่วไป จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า การแจ้งความเท็จของจำเลยอาจทำให้โจทก์เสียหายเป็นแต่กล่าวว่า อาจทำให้ผู้อื่นเสียหายโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องในข้อหาฐานนี้
คำเบิกความของจำเลยในคดีอาญาซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานเพื่อประโยชน์แก่คดีของตนนั้น ถือว่าเป็นถ้อยคำของคู่ความในกระบวนพิจารณา จึงไม่อาจเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
การเบิกความเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดี มิใช่เรื่องแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน เพราะศาลทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานในการยุติธรรมในการพิจารณาคดี ซึ่งมีบทบัญญัติไว้โดยเฉพาะตามมาตรา 177 มิได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานทั่วไป จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า การแจ้งความเท็จของจำเลยอาจทำให้โจทก์เสียหายเป็นแต่กล่าวว่า อาจทำให้ผู้อื่นเสียหายโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องในข้อหาฐานนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1261/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน: โจทก์ต้องเป็นผู้เสียหายโดยตรงจึงมีอำนาจฟ้อง
จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป โดยมอบใบทะเบียนเรือของตนให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน ต่อมาได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 2 ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าใบทะเบียนเรือนั้นหายไป เป็นหลักฐานซึ่งทำให้จำเลยที่ 1 ขอให้กรมเจ้าท่าออกใบทะเบียนเรือให้จำเลยที่ 1 ได้ใหม่ ซึ่งจำเลยที่ 1 จะสามารถขายเรือให้ผู้อื่นได้โดยไม่ต้องใช้ใบทะเบียนเดิมฉบับที่อยู่ที่โจทก์แต่เมื่อการแจ้งความเท็จนั้นเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำต่อเจ้าพนักงานและตามคำแจ้งความนั้น จำเลยมิได้แจ้งเจาะจงกล่าวถึงโจทก์อันจะถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรง โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(4) ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จ
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2517)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2517)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1261/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ผู้เสียหายต้องได้รับความเสียหายโดยตรงจึงมีอำนาจฟ้อง
จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป โดยมอบใบทะเบียนเรือของตนให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน ต่อมาได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 2 ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าใบทะเบียนเรือนั้นหายไป เป็นหลักฐานซึ่งทำให้จำเลยที่ 1 ขอให้กรมเจ้าท่าออกใบทะเบียนเรือให้จำเลยที่ 1 ได้ใหม่ ซึ่งจำเลยที่ 1 จะสามารถขายเรือให้ผู้อื่นได้โดยไม่ต้องใช้ใบทะเบียนเดิมฉบับที่อยู่ที่โจทก์แต่เมื่อการแจ้งความเท็จนั้นเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำต่อเจ้าพนักงานและตามคำแจ้งความนั้น จำเลยมิได้แจ้งเจาะจงกล่าวถึงโจทก์อันจะถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรง โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(4) ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จ
(ประชุมใหญ่ครั้งที่7/2517)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่7/2517)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน: ฟ้องขาดองค์ประกอบความผิด หากเจ้าพนักงานนั้นไม่มีหน้าที่สอบสวนวินัย
ฟ้องหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่สอบสวนทางวินัย โดยเจตนาให้โจทก์ต้องถูกลงโทษทางวินัยแต่ระบุฟ้องว่าจำเลยแจ้งต่อ ส. ปลัดจังหวัด เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองไม่ปรากฏว่า ส. เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่สอบสวนโจทก์ทางวินัยแต่อย่างใด ฟ้องโจทก์จึงขาดสารสำคัญแห่งความผิดอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 137
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดแจ้งความเท็จต้องระบุเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่สอบสวนชัดเจน หากฟ้องไม่ชัดเจนถือเป็นฟ้องไม่ถูกต้อง
ฟ้องหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่สอบสวนทางวินัย โดยเจตนาให้โจทก์ต้องถูกลงโทษทางวินัยแต่ระบุฟ้องว่าจำเลยแจ้งต่อ ส. ปลัดจังหวัดเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองไม่ปรากฏว่า ส. เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่สอบสวนโจทก์ทางวินัยแต่อย่างใด ฟ้องโจทก์จึงขาดสารสำคัญแห่งความผิดอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 137
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารทำโดยผู้มีอำนาจ แม้ไม่ตรงความจริง ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร การแจ้งความเท็จไม่ทำให้เกิดความผิดฐานกักขัง
เอกสารที่บุคคลผู้มีอำนาจหน้าที่กระทำได้ ได้ทำขึ้นนั้น แม้ข้อความในเอกสารนั้นจะไม่ตรงกับความจริง ก็หาเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารไม่
จำเลยไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์ยักยอกทรัพย์ จนโจทก์ถูกพนักงานสอบสวนกักขัง ก็เป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนใช้ดุลพินิจว่าจะกักขังโจทก์หรือไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310
จำเลยไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่า โจทก์ยักยอกทรัพย์ จนโจทก์ถูกพนักงานสอบสวนกักขัง ก็เป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนใช้ดุลพินิจว่าจะกักขังโจทก์หรือไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3107/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งข้อความเท็จและการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าพนักงานตำรวจ กรณีจับกุมและแจ้งความเท็จเกี่ยวกับอาวุธปืน
โจทก์ได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน ได้พกพาอาวุธปืนขณะที่มิได้อยู่ในบ้านของตน แต่อยู่ที่บ้านของพี่โจทก์จำเลยเป็นตำรวจได้ตรวจค้นพบอาวุธปืนนั้นที่ตัวโจทก์จึงจับโจทก์และแจ้งความหาว่าโจทก์เป็นบุคคลอันธพาล และพกพาอาวุธปืนกรณีเป็นเรื่องที่จำเลยแจ้งข้อความตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ การพกพาอาวุธปืนเช่นนี้จะเป็นความผิดต่อกฎหมายตามที่จำเลยแจ้งหรือไม่ ไม่สำคัญเพราะการแจ้งข้อความย่อมหมายถึงการแจ้งข้อเท็จจริง ไม่เกี่ยวกับข้อกฎหมายและการที่จำเลยแจ้งด้วยว่าโจทก์เป็นบุคคลอันธพาลนั้นก็ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความผิดอาญาการ กระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ