คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
โมฆะ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,314 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7833/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนหุ้นโดยการปลอมลายมือชื่อเป็นโมฆะ แม้คดีอาญายกฟ้อง ศาลแพ่งยังสามารถพิจารณาจากหลักฐานอื่นได้
คดีอาญาที่จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องเป็นเรื่องแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ส่วนคดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่านิติกรรมการโอนหุ้นของบริษัทย.โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับโอนเป็นโมฆะ เพราะจำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ผู้โอนหุ้นในหนังสือสัญญาโอนหุ้นในบริษัทจำกัด โอนหุ้นของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์มิได้ยินยอม สิทธิฟ้องคดีในคดีนี้จึงไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาฐานแจ้งความเท็จแต่อย่างใด ทั้งคู่ความในคดีส่วนอาญากับคู่ความในคดีนี้ซึ่งเป็นคดีส่วนแพ่งมิได้เป็นคู่ความรายเดียวกัน เพราะจำเลยที่ 2 ในคดีนี้มิได้เป็นคู่ความในคดีส่วนอาญา และประเด็นแห่งคดีในคดีส่วนอาญามีประเด็นว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครหรือไม่ส่วนคดีนี้มีประเด็นว่าจำเลยร่วมกันปลอมหนังสือสัญญาโอนหุ้นในบริษัทจำกัดโดยปลอมลายมือชื่อโจทก์โอนหุ้นของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2 หรือไม่ อันเป็นคนละประเด็นกัน กรณีจึงมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาการพิพากษาคดีนี้จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46ที่ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7196/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สำคัญผิดในทรัพย์สินสัญญาซื้อขายโมฆะ: การรับมอบและชำระค่าสินค้าโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมอันจะมีผลให้นิติกรรมเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 นั้น จะต้องเป็นการสำคัญผิดในทรัพย์สินที่จะต้องส่งมอบแก่กันตามสัญญาซื้อขาย โดยการทำสัญญาซื้อขายนั้นถือเอาตัวทรัพย์เป็นสาระสำคัญ ฟังได้ว่าโจทก์ขายเครื่องทำน้ำแข็งถ้วยและเครื่องกรองน้ำให้แก่จำเลย ในการส่งมอบและการติดตั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ทักท้วงถึงยี่ห้อของสินค้าว่ามิใช่ยี่ห้อนิวตั้น แต่กลับปรากฏว่าในระยะ 3 ถึง 4 เดือน ภายหลังติดตั้งเครื่องดังกล่าวใช้การได้ดี และเมื่อเครื่องทำงานขัดข้องโจทก์ก็จัดการซ่อมแซมให้พร้อมกับรับชำระค่าสินค้าเป็นประจำทุกเดือน จำเลยได้ชำระค่าสินค้าไปจนถึงงวดที่ 9หลังจากนั้นจำเลยติดต่อ ส. ไปซ่อมเครื่องทำน้ำแข็งถ้วยและเครื่องกรองน้ำถึง 3 ครั้งพฤติการณ์ที่จำเลยรับมอบเครื่องทำน้ำแข็งถ้วยและเครื่องกรองน้ำโดยมิได้โต้แย้งเกี่ยวกับยี่ห้อของสินค้าทั้งได้ครอบครองและใช้ประโยชน์ตลอดมา รวมทั้งได้ชำระค่าสินค้าจนถึงงวดที่ 9 จนกระทั่งโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ จำเลยจึงอ้างว่าเครื่องทำน้ำแข็งถ้วยและเครื่องกรองน้ำที่โจทก์ส่งมอบไม่ใช่ยี่ห้อนิวตั้นตามที่จำเลยตกลงซื้อ ข้อเท็จจริงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยตกลงซื้อเครื่องทำน้ำแข็งถ้วยและเครื่องกรองน้ำโดยสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมอันเป็นสาระสำคัญอันจะเป็นเหตุให้สัญญาซื้อขายตกเป็นโมฆะไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6664/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจดำเนินคดีหลังพิทักษ์ทรัพย์: การดำเนินคดีที่ผิดขั้นตอนหลังมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นโมฆะ
หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โจทก์เด็ดขาดแล้วเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวย่อมมีอำนาจเข้าว่าคดีแพ่งเรื่องนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 22 และ 25 โดยโจทก์ไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาหรือเข้าว่าคดีแพ่งเรื่องนี้ได้อีก แต่ปรากฎว่าโจทก์ยังคงเป็นผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาและเข้าว่าคดีนี้ในศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์จนกระทั่งศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาคดีนี้ไปแล้วแม้ต่อมาศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายของโจทก์แต่โจทก์ก็ได้ทราบถึงข้อที่โจทก์ไม่มีอำนาจดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นรวมตลอดจนคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22และ 25 และปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยที่ 2 จะเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยให้ได้ และให้ยกการดำเนินกระบวนพิจารณาให้ศาลชั้นต้นรวมตลอดจนคำพิพากษาศาลชั้นต้น และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6354/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินตกเป็นสมบัติวัดเมื่อพระภิกษุถึงแก่กรรม การโอนขายโดยวัดจึงเป็นโมฆะ
แม้จำเลยที่ 2 จะได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกับพระภิกษุส. ไว้แล้ว ตั้งแต่ปี 2528 และชำระราคาครบถ้วนแล้วก็ตาม แต่พระภิกษุ ส. ยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 จนพระภิกษุ ส. ถึงแก่มรณภาพในปี 2530 เมื่อชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทยังเป็นของพระภิกษุ ส. อยู่ที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินของพระภิกษุ ส. ที่ได้มาระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศ ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1623ให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาในขณะที่พระภิกษุนั้นถึงแก่มรณภาพ ดังนั้นเมื่อพระภิกษุ ส. ถึงแก่มรณภาพกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นสมบัติของวัดศรีบุญเรืองตามกฎหมายและถือว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดศรีบุญเรืองด้วย ตาม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 33(2)กรณีต้องบังคับตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฯ มาตรา 34ซึ่งบัญญัติให้ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์จะโอนกรรมสิทธิ์ได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติฯ และห้ามมิให้บุคคลใดยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัดในเรื่องสิทธิอันเป็นที่วัดและที่ธรณีสงฆ์ ดังนั้น จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของพระภิกษุ ส.หรือวัดศรีบุญเรืองจึงไม่มีอำนาจทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลใด ๆได้ การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150นิติกรรมดังกล่าวจึงเสียเปล่ามาแต่แรกโดยศาลไม่จำเป็นต้องเพิกถอน และโจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1หรือวัดศรีบุญเรืองจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์โดยอ้างว่าโจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทและชำระราคาแก่พระภิกษุ ส.ครบถ้วนแล้วได้เพราะวัดศรีบุญเรืองซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมามีฐานะเป็นวัดตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฯ จึงเป็นนิติบุคคลตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 72(1)ต่างหากจากพระภิกษุ ส. ผู้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกับพระภิกษุ ส. และชำระราคาที่ดินครบถ้วนแล้วหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6051/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสมรสต่างประเทศและการสมรสซ้อน: โมฆะตามกฎหมายไทย
เมื่อการสมรสระหว่างโจทก์และ ส.ผู้ตายเป็นการสมรสที่ชอบด้วยกฎหมายของรัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา และชอบด้วย ป.พ.พ.มาตรา1459 วรรคหนึ่งแล้ว ต่อมาจำเลยได้จดทะเบียนสมรสกับ ส.ถ้ามีโจทก์ตามกฎหมายไทยอีก จึงเป็นการจดทะเบียนในขณะที่ ส.มีคู่สมรสอยู่ก่อนแล้ว เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งป.พ.พ.มาตรา 1452 ตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1496 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่จำเลยจดทะเบียนสมรสกับ ส.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนหุ้นระบุชื่อต้องทำตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด หากไม่เป็นไปตามนั้น การโอนหุ้นนั้นไม่สมบูรณ์และไม่มีผลผูกพัน
โจทก์รับโอนหุ้นของจำเลยที่1ซึ่งเป็นหุ้นสามัญระบุชื่อบริษัทอ. เป็นผู้ถือหุ้นมาจากย. โดยไม่เป็นไปตามข้อบังคับของจำเลยที่1และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1129ที่กำหนดไว้ว่าจะต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอนและผู้รับโอนโดยมีพยานลงลายมือชื่อรับรองจึงไม่มีผลใช้ยันจำเลยที่1ได้การที่จำเลยที่1และที่2ปฏิเสธการออกใบหุ้นของจำเลยที่1ให้แก่โจทก์ย่อมเป็นสิทธิที่พึงกระทำได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนหุ้นต้องเป็นไปตามข้อบังคับและกฎหมาย หากไม่ถูกต้อง การโอนหุ้นนั้นไม่มีผลผูกพัน
ตามข้อบังคับของจำเลยที่1กำหนดไว้ว่าการโอนหุ้นจะต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอนและผู้รับโอนรวมทั้งระบุชื่อและที่อยู่ของผู้รับโอนให้ชัดแจ้งโดยมีพยานสองคนลงลายมือชื่อรับรองและจดแจ้งการโอนทั้งลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นและตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1129วรรคสองบัญญัติว่าการโอนหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นนั้นถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอนมีพยานคนหนึ่งเป็นอย่างน้อยลงชื่อรับรองลายมือนั้นๆด้วยแล้วท่านว่าเป็นโมฆะอนึ่งตราสารอันนั้นต้องแถลงเลขหมายของหุ้นซึ่งโอนกันนั้นด้วยแต่ตามหลักฐานใบโอนหุ้นตามคำฟ้องโจทก์และใบสำคัญการโอนหลักทรัพย์คงมีแต่ลายมือชื่อกรรมการผู้มีอำนาจและประทับตราสำคัญของบริษัทอ. ไม่มีรายชื่อผู้รับโอนและพยานลงลายมือชื่อรับรองไม่เป็นไปตามข้อบังคับของจำเลยที่1และบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวการโอนหุ้นระหว่างโจทก์กับบริษัทอ.จึงไม่มีผลใช้ยันจำเลยที่1ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5643/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้หลังล้มละลายเป็นโมฆะ ผู้รับชำระต้องคืนเงินและเสียดอกเบี้ย
คำว่า "ศาล" ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 24หมายถึงศาลที่มีคำสั่งหรือความเห็นชอบในการกระทำใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของลูกหนี้เฉพาะในกรณีที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 เท่านั้น
พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มิได้บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งหรือให้ความเห็นชอบในกรณีที่จำเลยผ่อนชำระเงินตามเช็คให้แก่ผู้คัดค้านภายหลังจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเพื่อให้ผู้คัดค้านถอนฟ้องคดีอาญาแก่จำเลย แม้ศาลในคดีอาญาจดรายงานกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านและให้เลื่อนการพิพากษาคดีอาญาไป ก็หาใช่ศาลที่ให้ความยินยอมตามความหมายแห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย มาตรา 24 ไม่
ปัญหาที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483มาตรา 22 และ 24 ไม่ได้บัญญัติให้อำนาจผู้ร้องที่จะร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ของจำเลยได้ ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้นั้นแม้ผู้คัดค้านจะมิได้ยกข้อต่อสู้ดังกล่าวไว้ในคำคัดค้าน และมิได้ยกขึ้นอ้างในศาลชั้นต้นก็ตาม แต่กรณีเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนผู้คัดค้านย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกาได้ และศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาต้องวินิจฉัยให้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 225 วรรคสอง และ 249 วรรคสองประกอบด้วย พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153 ที่ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรไม่รับวินิจฉัยปัญหานี้ให้เป็นการไม่ชอบ และแม้ผู้คัดค้านจะมิได้ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อนี้ แต่กลับยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่
การชำระหนี้ของจำเลยให้แก่ผู้คัดค้านเป็นการชำระหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด ย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ มาตรา22 และ 24 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 จึงตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องซึ่งมีอำนาจในการจัดการและรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยย่อมมีอำนาจร้องขอให้ผู้คัดค้านคืนเงินที่จำเลยชำระได้
ปัญหาที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ผู้คัดค้านชำระดอกเบี้ยจากต้นเงินที่ต้องคืนด้วยนั้นไม่ชอบ เพราะผู้คัดค้านรับชำระหนี้จากจำเลยโดยสุจริต เข้าข้อยกเว้นตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 114 และที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการชำระหนี้ของจำเลยขัดต่อมาตรา 22 และ 24 ไม่ว่าผู้คัดค้านจะทราบว่าจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์หรือไม่นั้น ไม่ชอบด้วยเช่นกัน เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ผู้คัดค้านจะมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นต่อสู้ไว้ในคำคัดค้าน ผู้คัดค้านย่อมมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกาได้ และศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาต้องวินิจฉัยให้
การชำระหนี้ของจำเลยตกเป็นโมฆะ เพราะฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 22 และ 24 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 เงินที่ผู้คัดค้านรับไว้จากจำเลย จะต้องคืนให้แก่จำเลยฐานลาภมิควรได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 412แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าก่อนยื่นคำร้องคดีนี้ ผู้ร้องได้เรียกร้องให้ผู้คัดค้านคืนเงินให้จึงต้องถือว่าผู้ร้องเรียกร้องให้ผู้คัดค้านคืนเงินนับแต่วันยื่นคำร้องในคดีนี้เป็นต้นไป
คดีนี้ผู้คัดค้านจะอ้างว่าได้รับชำระหนี้จากจำเลยโดยสุจริตเข้าข้อยกเว้นตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 114 ไม่ได้ เพราะผู้ร้องมิได้ร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ตามบทมาตราดังกล่าว ทั้งการร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ตามมาตรา 114 จะต้องเป็นการกระทำในระหว่างระยะเวลา 3 ปี ก่อนมีการขอให้ล้มละลายและภายหลังเท่านั้น อันหมายถึงการชำระหนี้ที่กระทำก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ หาใช่เป็นการชำระหนี้ที่กระทำหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดดังเช่นคดีนี้ไม่ ดังนี้ การชำระหนี้ของจำเลยจึงขัดต่อมาตรา 22 และ 24 ไม่ว่าผู้คัดค้านจะทราบว่าจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์หรือไม่และตกเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับ ผู้ร้องย่อมร้องขอให้ผู้คัดค้านคืนเงินในส่วนนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5643/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้หลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เป็นโมฆะ ผู้รับชำระต้องคืนเงินและเสียดอกเบี้ย
คำว่า "ศาล" ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 24 หมายถึงศาลที่มีคำสั่งหรือความเห็นชอบในการกระทำใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของลูกหนี้เฉพาะในกรณีที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เท่านั้น พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มิได้บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งหรือให้ความเห็นชอบในกรณีที่จำเลยผ่อนชำระเงินตามเช็คให้แก่ผู้คัดค้านภายหลังจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเพื่อให้ผู้คัดค้านถอนฟ้องคดีอาญาแก่จำเลย แม้ศาลในคดีอาญาจดรายงานกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านและให้เลื่อนการพิพากษาคดีอาญาไป ก็หาใช่ศาลที่ให้ความยินยอมตามกฎหมายแห่งพระราชบัญญัติล้มละลายมาตรา 24 ไม่ ปัญหาที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 22 และ 24 ไม่ได้บัญญัติให้อำนาจผู้ร้องที่จะร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ของจำเลยได้ ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้นั้น แม้ผู้คัดค้านจะมิได้ยกข้อต่อสู้ดังกล่าวไว้ในคำคัดค้าน และมิได้ยกขึ้นอ้างในศาลชั้นต้นก็ตาม แต่กรณีเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ผู้คัดค้านย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกาได้ และศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาต้องวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคสอง และ 249 วรรคสอง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ที่ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรไม่รับวินิจฉัยปัญหานี้ให้เป็นการไม่ชอบ และแม้ผู้คัดค้านจะมิได้ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อนี้แต่กลับยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ การชำระหนี้ของจำเลยให้แก่ผู้คัดค้านเป็นการชำระหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด ย่อมเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ มาตรา 22 และ 24 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 จึงตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องซึ่งมีอำนาจในการจัดการและรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยย่อมมีอำนาจร้องขอให้ผู้คัดค้านคืนเงินที่จำเลยชำระได้ ปัญหาที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ผู้คัดค้านชำระดอกเบี้ยจากต้นเงินที่ต้องคืนด้วยนั้นไม่ชอบเพราะผู้คัดค้านรับชำระหนี้จากจำเลยโดยสุจริต เข้าข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 114 และที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการชำระหนี้ของจำเลยขัดต่อมาตรา 22และ 24 ไม่ว่าผู้คัดค้านจะทราบว่าจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์หรือไม่นั้น ไม่ชอบด้วยเช่นกัน เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ผู้คัดค้านจะมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นต่อสู้ไว้ในคำคัดค้าน ผู้คัดค้านย่อมมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกาได้ และศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาต้องวินิจฉัยให้ การชำระหนี้ของจำเลยตกเป็นโมฆะ เพราะฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ มาตรา 22 และ 24 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483เงินที่ผู้คัดค้านรับไว้จากจำเลย จะต้องคืนให้แก่จำเลยฐานลาภมิควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 412แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าก่อนยื่นคำร้องคดีนี้ ผู้ร้องได้เรียกร้องให้ผู้คัดค้านคืนเงินให้จึงต้องถือว่าผู้ร้องเรียกร้องให้ผู้คัดค้านคืนเงินนับแต่วันยื่นคำร้องในคดีนี้เป็นต้นไป คดีนี้ผู้คัดค้านจะอ้างว่าได้รับชำระหนี้จากจำเลยโดยสุจริตเข้าข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 114 ไม่ได้ เพราะผู้ร้องมิได้ร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ตามบทมาตราดังกล่าว ทั้งการร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ตามมาตรา 114 จะต้องเป็นการกระทำในระหว่างระยะเวลา 3 ปี ก่อนมีการขอให้ล้มละลายและภายหลังเท่านั้นอันหมายถึงการชำระหนี้ที่กระทำก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์หาใช่เป็นการชำระหนี้ที่กระทำหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดดังเช่นคดีนี้ไม่ ดังนี้ การชำระหนี้ของจำเลยจึงต่อมาตรา 22 และ 24 ไม่ว่าผู้คัดค้านจะทราบว่าจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์หรือไม่ และตกเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับผู้ร้องย่อมร้องขอให้ผู้คัดค้านคืนเงินในส่วนนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5588/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การข่มขู่เพื่อให้ลงลายมือชื่อในบันทึกการชำระหนี้ที่ไม่มีมูล เป็นโมฆะ
โจทก์มิได้สมัครใจซื้อรถบรรทุก 10 ล้อ คันเกิดเหตุจากจำเลย จำเลยมิได้เจ้าของรถคันดังกล่าวแล้วแต่กลับกล่าวหาว่าโจทก์ถอดเอาอุปกรณ์ของรถคันดังกล่าวไปขายอันเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ แล้วบังคับให้โจทก์ซื้อรถคันดังกล่าวในราคา55,000 บาท หากไม่ซื้อก็จะดำเนินคดีแก่โจทก์ในข้อหายักยอกทรัพย์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการข่มขู่โจทก์จนโจทก์ จำต้องยอมลงลายมือชื่อในบันทึกการชำระหนี้พิพาท และยอมมอบเช็คจำนวนเงิน 55,000 บาท ให้แก่จำเลย การกระทำของจำเลย ดังกล่าวมาถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้สิทธิตามปกตินิยม แต่ถือได้ว่าเป็นภัยถึงขนาดที่จะจูงใจให้โจทก์มีมูล ต้องกลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่เสรีภาพของโจทก์ เป็นภัย อันใกล้จะถึงและร้ายแรงเท่ากับที่จะพึงกลัวต่อการอันถูกจำเลย ข่มขู่เอานั้น บันทึกการชำระหนี้ดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ เมื่อโจทก์ได้บอกล้างแล้ว บันทึกการชำระหนี้ดังกล่าว จึงเป็นโมฆะเสียเปล่ามาตั้งแต่ต้นโจทก์ไม่จำต้องรับผิด ตามบันทึกการชำระหนี้ดังกล่าวนั้น
of 132