พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,589 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18520/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานการมีอาวุธปืนในคดีอาญา และข้อจำกัดในการฎีกาประเด็นข้อเท็จจริง
ในวันตรวจพยานหลักฐาน ศาลบันทึกไว้เพียงว่า เอกสารดังกล่าวให้ทนายจำเลยดูแล้วโดยไม่ปรากฏว่าทนายจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงตามเอกสารหมาย จ. 10 ว่าจำเลยไม่เคยได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน คงแถลงรับข้อเท็จจริงว่าพันตำรวจโท ป. เป็นพนักงานสอบสวนจริงและทำการสอบสวนโดยชอบเท่านั้น ดังนั้นจำเลยจึงมิได้แถลงรับข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่เคยได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน เมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่าจำเลยไม่เคยได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนตามฟ้อง พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดต่อ พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสี่ จำคุก 25 ปี จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคหนึ่ง จำคุก 3 ปี เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้วรรคของความผิดในบทมาตราเดียวกัน ไม่ถือเป็นการแก้บทความผิด แม้ศาลอุทธรณ์จะแก้โทษด้วยก็เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และคงให้ลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง โจทก์ฎีกาว่า คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยมีอาวุธปืนในขณะกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 แม้โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการกระทำชำเราเด็กโดยมีอาวุธปืนด้วยก็ตาม แต่ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนว่าจำเลยมีอาวุธปืนในการกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 หรือไม่ ฎีกาของโจทก์จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาข้อนี้ของโจทก์จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสี่ จำคุก 25 ปี จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคหนึ่ง จำคุก 3 ปี เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้วรรคของความผิดในบทมาตราเดียวกัน ไม่ถือเป็นการแก้บทความผิด แม้ศาลอุทธรณ์จะแก้โทษด้วยก็เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และคงให้ลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง โจทก์ฎีกาว่า คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยมีอาวุธปืนในขณะกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 แม้โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการกระทำชำเราเด็กโดยมีอาวุธปืนด้วยก็ตาม แต่ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนว่าจำเลยมีอาวุธปืนในการกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 หรือไม่ ฎีกาของโจทก์จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาข้อนี้ของโจทก์จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18211/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องอาญาฐานเบิกความเท็จต้องระบุให้ชัดเจนว่าข้อความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี
ความผิดฐานเบิกความเท็จและนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จตาม ป.อ. มาตรา 177 และมาตรา 180 นั้น มีองค์ประกอบความผิดสำคัญประการหนึ่งว่า คำเบิกความและพยานหลักฐานอันเป็นเท็จจะต้องเป็นข้อสำคัญในคดีที่เบิกความหรือนำสืบด้วย ดังนั้นประเด็นสำคัญในคดีมีว่าอย่างไร คำเบิกความและพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสามเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร จึงเป็นสาระสำคัญอันเป็นองค์ประกอบของความผิดที่โจทก์จะต้องบรรยายไว้ให้ชัดแจ้งในฟ้อง แต่คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันเบิกความเท็จต่อศาลและนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ร.57/2547 ของศาลชั้นต้น เรื่องร้องขัดทรัพย์ และบรรยายรายละเอียดที่จำเลยทั้งสามเบิกความอันเป็นเท็จและนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ พร้อมกับความเป็นจริงว่าอย่างไร ทั้งคำเบิกความและการนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่า ในคดีดังกล่าวประเด็นและข้อความที่เป็นเท็จและการนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จเป็นข้อสำคัญในคดีนั้นอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยทั้งสามเข้าใจข้อหาได้ดี แม้โจทก์แนบเอกสารท้ายฟ้อง สำเนาภาพถ่ายคำเบิกความของจำเลยทั้งสาม สำเนาภาพถ่ายบัญชีทรัพย์ สำเนาภาพถ่ายสัญญาซื้อขาย สำเนาภาพถ่ายบัญชียึดทรัพย์ สำเนาภาพถ่ายคำร้องขัดทรัพย์ และสำเนาภาพถ่ายคำพิพากษาในคดีดังกล่าวมาท้ายฟ้องซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาเอกสารเหล่านั้นประกอบแล้วก็มิได้แสดงให้เห็นข้อสำคัญในคดีก่อนแต่ประการใด ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15927/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความผิดฐานเสพยาเสพติด จำเป็นต้องมีพยานหลักฐานชัดเจน ไม่ใช่แค่ผลตรวจปัสสาวะเป็นบวก
คดีนี้โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นขณะจำเลยเสพเมทแอมเฟตามีน พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้เพียงว่าตรวจพบสารเสพติดในปัสสาวะของจำเลยเท่านั้น แต่พยานโจทก์ก็ไม่นำสืบให้ชัดแจ้งว่า สารเสพติดนั้นเป็นเมทแอมเฟตามีนหรือไม่ เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธ กรณียังเป็นที่สงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14953/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานจากคำให้การของผู้ต้องหา การแจ้งสิทธิ และการล้างมลทิน
หลังจากเกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจทำการสืบสวนทราบว่า ในช่วงเวลาใกล้กับเวลาเกิดเหตุ จำเลยทั้งสองกับพวกนั่งอยู่ที่บริเวณหน้าบ้านเกิดเหตุ จึงสืบหาที่พักของจำเลยที่ 1 และนำจำเลยทั้งสองกับพวกอีก 2 คน มาสอบถามเหตุการณ์ว่ารู้เห็นเรื่องปล้นทรัพย์หรือไม่ จำเลยทั้งสองกับพวกยอมรับว่าพวกตนเป็นคนร้าย ตามบันทึกคำให้การผู้ให้ถ้อยคำ จากนั้นจำเลยทั้งสองกับพวกพาเจ้าพนักงานตำรวจไปเอาของกลางที่ข้างหลังที่พักของจำเลยที่ 1 ตามบันทึกการตรวจยึด การให้ถ้อยคำของจำเลยทั้งสองรวมทั้งการนำเจ้าพนักงานตำรวจไปเอาของกลาง เชื่อว่าเกิดจากความสมัครใจของจำเลยทั้งสอง การที่จำเลยทั้งสองให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานตำรวจตามบันทึกคำให้การผู้ให้ถ้อยคำ เป็นการกระทำก่อนที่เจ้าพนักงานตำรวจจะจับกุมจำเลยทั้งสองเป็นผู้ต้องหา ซึ่งในกรณีที่มีความผิดอาญาเกิดขึ้นย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจที่จะดำเนินการสืบสวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานในการหาตัวคนร้าย การที่จำเลยทั้งสองให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวจึงหาใช่เป็นการให้ถ้อยคำในฐานะผู้ถูกจับไม่ จึงไม่จำเป็นต้องมีการแจ้งสิทธิแก่จำเลยทั้งสองก่อนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคท้าย และสามารถนำมารับฟังประกอบพยานหลักฐานของโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14660/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษเจ้าพนักงานรัฐในคดียาเสพติด และการรับฟังพยานหลักฐานเพื่อลงโทษจำเลย
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100 บัญญัติว่า "กรรมการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ หรือข้าราชการ หรือพนักงานองค์การหรือหน่วยงานของรัฐผู้ใดผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษ หรือสนับสนุนในการกระทำดังกล่าว อันเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น" การที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใหญ่บ้าน จึงหาใช่บุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตราดังกล่าวไม่ ส่วนจำเลยที่ 3 โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในมาตราดังกล่าวอย่างใด จึงไม่อาจเพิ่มโทษตามบทกฎหมายดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14653-14654/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด: พยานหลักฐานเชื่อมโยงจำเลยถึงการครอบครองและจำหน่ายเฮโรอีน
จำเลยที่ 3 ทำหน้าที่เป็นผู้ติดต่อและประสานงานการขายเฮโรอีนทั้งสองครั้งระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับดาบตำรวจ ณ. ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งส่งมอบเฮโรอีนของกลางและรับเงินค่าเฮโรอีน จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีน
โจทก์มีคำขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ติดต่อกันทั้งสองสำนวน แม้เป็นคดีที่รวมพิจารณาเข้าด้วยกัน และศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิตทั้งสองสำนวนก็นับโทษต่อกันได้
โจทก์มีคำขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ติดต่อกันทั้งสองสำนวน แม้เป็นคดีที่รวมพิจารณาเข้าด้วยกัน และศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิตทั้งสองสำนวนก็นับโทษต่อกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14526/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพประกอบพยานหลักฐาน การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ และการห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงใหม่
ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จำเลยให้การรับสารภาพ และโจทก์สืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลย เมื่อจำเลยอุทธรณ์ว่าพยานโจทก์ที่นำสืบประกอบคำรับสารภาพรับฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชอบที่จะรับวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ
ผู้เสียหายที่ 2 เป็นมารดาผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งอาศัยอยู่ด้วยกัน เป็นผู้พาผู้เสียหายที่ 1 ไปให้แพทย์ตรวจร่างกายพบว่าผู้เสียหายที่ 1 ตั้งครรภ์ และสอบข้อเท็จจริงจนทราบจากผู้เสียหายที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ชั้นพิจารณาจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงว่า ผู้เสียหายที่ 1 ให้การไว้ตามคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งยืนยันว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเรา ศาลรับฟังคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 และคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นพยานบอกเล่าซึ่งมีเหตุผลอันหนักแน่นมารับฟังลงโทษจำเลยได้
ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตนและพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ และโจทก์ไม่ต้องสืบพยานประกอบคำรับสารภาพ ศาลจึงรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องตามคำรับสารภาพ ฎีกาของจำเลยที่ว่าไม่ได้กระทำความผิดจึงเป็นข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นใหม่และขัดแย้งกับคำให้การรับสารภาพของจำเลย และเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เพิ่งมายกขึ้นว่ากันในศาลฎีกา จึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
ผู้เสียหายที่ 2 เป็นมารดาผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งอาศัยอยู่ด้วยกัน เป็นผู้พาผู้เสียหายที่ 1 ไปให้แพทย์ตรวจร่างกายพบว่าผู้เสียหายที่ 1 ตั้งครรภ์ และสอบข้อเท็จจริงจนทราบจากผู้เสียหายที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ชั้นพิจารณาจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงว่า ผู้เสียหายที่ 1 ให้การไว้ตามคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งยืนยันว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเรา ศาลรับฟังคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 และคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นพยานบอกเล่าซึ่งมีเหตุผลอันหนักแน่นมารับฟังลงโทษจำเลยได้
ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตนและพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ และโจทก์ไม่ต้องสืบพยานประกอบคำรับสารภาพ ศาลจึงรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องตามคำรับสารภาพ ฎีกาของจำเลยที่ว่าไม่ได้กระทำความผิดจึงเป็นข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นใหม่และขัดแย้งกับคำให้การรับสารภาพของจำเลย และเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เพิ่งมายกขึ้นว่ากันในศาลฎีกา จึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1365/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามฆ่า จำเลยที่ 4 พยานหลักฐานไม่เพียงพอ ยกฟ้อง
แม้คดีในส่วนแพ่งที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาให้จำเลยที่ 4 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมจะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 4 ไม่ได้กระทำความผิด ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา ต้องรับฟังว่าจำเลยที่ 4 มิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ร่วม จึงไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้ยกคำขอดังกล่าว ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13157/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาเดิมเนื่องจากพยานหลักฐานไม่ครบถ้วน แม้มีข้อจำกัดเรื่องจำนวนทุนทรัพย์ที่อุทธรณ์ได้
ที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้กำหนดค่าเสียหายเพิ่มจากที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางกำหนดไว้ให้เป็นจำนวนตามคำฟ้องของโจทก์นั้น แม้จำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ชำระเพิ่มขึ้นไม่ถึง 200,000 บาท ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 41 แต่เมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับอุทธรณ์ส่งมายังศาลฎีกาแล้ว และปรากฏว่าศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยพยานหลักฐานไม่ครบถ้วน ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและจำเป็นต้องแก้ไขข้อผิดพลาดดังกล่าวจึงรับพิจารณาให้ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 44
จำเลยที่ 5 ยื่นคำแก้อุทธรณ์ แต่อ้างถึงเหตุที่จำเลยที่ 5 ไม่ต้องรับผิดเพื่อให้ยกฟ้อง กรณีเช่นนี้ต้องยื่นอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เมื่อยื่นเป็นคำแก้อุทธรณ์มาโดยไม่ชอบ จึงไม่วินิจฉัยให้
จำเลยที่ 5 ยื่นคำแก้อุทธรณ์ แต่อ้างถึงเหตุที่จำเลยที่ 5 ไม่ต้องรับผิดเพื่อให้ยกฟ้อง กรณีเช่นนี้ต้องยื่นอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เมื่อยื่นเป็นคำแก้อุทธรณ์มาโดยไม่ชอบ จึงไม่วินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12668/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่รอการลงโทษเจ้ามือการพนัน: ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจจากพยานหลักฐานและวงเงินพนันได้ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้ามือที่มีวงเงินในการเล่นการพนันเป็นจำนวนมาก เป็นการวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในบันทึกการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจากับบัญชีของกลางคดีอาญาท้ายบันทึกการฟ้องดังกล่าวว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสิบสามคนพร้อมเงินสด 28,000 บาท และอุปกรณ์ในการเล่นการพนัน นอกจากนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 5 ด้วย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 8 จึงนำบทบัญญัติดังกล่าวมาวินิจฉัยลงโทษจำเลยที่ 1 ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 เป็นการให้เหตุผลถึงการใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 1 ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในบันทึกการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจากับบัญชีของกลางคดีอาญาท้ายบันทึกการฟ้องและคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 186 ประกอบมาตรา 215 พ.ร.บ.ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ.2520 และ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4