คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
พยานหลักฐาน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,589 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10272/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานจากคดีอื่นที่เกี่ยวข้อง แม้มีการแยกฟ้องเนื่องจากจับกุมผู้ต้องหาต่างเวลา
ศาลชั้นต้นให้สืบพยานผู้เสียหาย และ ว. ไว้ก่อนในคดีหมายเลขแดงที่ 895/2546 ของศาลชั้นต้นที่พวกของจำเลยซึ่งร่วมกระทำความผิดกับจำเลยในคดีนี้ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 คดีนี้และคดีดังกล่าวจึงเป็นคดีเดียวกัน ศาลจึงรับฟังคำเบิกความของผู้เสียหาย และ ว. ในการพิจารณาคดีนี้ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 237 ทวิ วรรคห้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10189/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำชำเราเด็กและอนาจาร: พยานหลักฐานสนับสนุนคำเบิกความของผู้เสียหายเชื่อถือได้
จำเลยถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสอง และกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ตาม ป.อ. มาตรา 279 วรรคแรก อันเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน เมื่อมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น บุคคลซึ่งมิใช่ผู้เสียหายสามารถกล่าวโทษต่อเจ้าหน้าที่ว่า มีบุคคลรู้ตัวหรือไม่ก็ดีได้กระทำความผิดขึ้น และเจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินการสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดได้ ดังนั้น ต. เจ้าหน้าที่มูลนิธิคุ้มครองเด็กจึงสามารถกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยกระทำความผิดต่อผู้เสียหายได้ โดยไม่จำต้องอาศัยการมอบอำนาจจาก ภ. และ ฉ. แต่อย่างใดพนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจทำการสอบสวนคดีได้ การสอบสวนชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9775/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานแน่นหนาพิสูจน์จำเลยเป็นผู้ลงมือสังหาร ผู้ตายให้การก่อนเสียชีวิตยืนยันตัวผู้กระทำผิด
แม้คำเบิกความของ ด. เป็นพยานบอกเล่า แต่ถ้อยคำของผู้ตายที่บอกกล่าวขณะรู้สึกว่าตนจะต้องถึงแก่ความตายว่าคนร้ายที่ยิงตนคือจำเลย ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานว่าเป็นความจริงตามคำกล่าวได้ซึ่ง ด. ได้ให้การชั้นสอบสวนในวันถัดจากวันเกิดเหตุว่า ผู้ตายบอกกล่าวกับตนว่า "ไอ้ลอบยิงผมแล้ว" ซึ่งเป็นเวลาใกล้ชิดกับเหตุที่ผู้ตายถูกยิงและขณะนั้น ด. ย่อมจำเหตุการณ์ได้ดีที่สุด ส่วนที่ ด. มาเบิกความในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3731/2544 ของศาลชั้นต้นและเบิกความในคดีนี้เหตุการณ์ได้ผ่านไปประมาณ 12 ปี และ 17 ปี ตามลำดับ ความจำของ ด. อาจคลาดเคลื่อนไปบ้างแต่มีระบุชื่อจำเลยตรงกัน ไม่ปรากฏว่ามีผู้อื่นในหมู่บ้านที่เกิดเหตุชื่อเดียวกับจำเลย และจำเลยกับพี่น้องรวม 3 คน มีเรื่องทะเลาะชกต่อยกับผู้ตายประกอบกับผู้ตายถูกยิงที่แก้มด้านซ้ายในระยะห่างประมาณ 1.50 เมตร แสดงว่าคนร้ายต้องอยู่ต่อหน้าผู้ตายในระยะใกล้เชื่อว่าผู้ตายมีโอกาสเห็นจำเลยได้ชัดเจน จึงสามารถระบุชื่อจำเลยเป็นคนยิงทันที
ส่วนปัญหาว่า ช. ไปแจ้งเหตุให้ ด. ทราบหรือไม่ ไม่ใช่สาระสำคัญแต่ ช. ได้ให้การในชั้นสอบสวนในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3000/2546 ของศาลชั้นต้นเบิกความในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3731/2544 ของศาลชั้นต้นและเบิกความในคดีนี้ตรงกันตลอดมาว่า เมื่อได้ยินเสียงอาวุธปืนดัง พยานเห็นจำเลยถืออาวุธปืนสั้นเดินสวนทางมากับพยาน ทั้งตรงกับคำให้การในชั้นสอบสวนของ ด. ว่าหลังเกิดเหตุ ช. บอกพยานว่า เห็นจำเลยวิ่งถืออาวุธปืนสวนทางไป เป็นการสนับสนุนว่าพยานโจทก์ดังกล่าวเป็นพยานแวดล้อมกรณีที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ที่มีเหตุผลรับฟัง พยานหลักฐานของจำเลยนำสืบปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่ลอยๆ ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9765/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน: พยานหลักฐานจากพยานบุคคลมีน้ำหนักกว่าทะเบียนการครอบครองดินที่ไม่มีเอกสารอ้างอิง
ปัญหาว่าที่ดินเป็นของผู้ใด ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง โจทก์จึงสามารถนำสืบได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินและสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารทะเบียนการครอบครองที่ดินได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7745/2552 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานจากชั้นไต่สวนมูลฟ้องในชั้นพิจารณาคดี: ข้อจำกัดเมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอน
คำเบิกความของ ว. และ ส. พยานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องซึ่งศาลต้องบันทึกไว้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 237 วรรคหนึ่ง เป็นพยานเอกสารอย่างหนึ่งซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่า จำเลยทั้งสองมีผิดหรือบริสุทธิ์ โจทก์จึงชอบที่จะอ้างเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้ตามมาตรา 226 แต่ในการสืบพยานโจทก์ในชั้นพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบ ว. และ ส. เนื่องจากความผิดของโจทก์ที่ละเลยเพิกเฉยไม่เอาใจใส่ในการส่งหมายเรียกให้พยานหรือนำพยานมาศาล จึงไม่ใช่กรณีมีเหตุจำเป็นหรือเหตุอันสมควรที่ศาลอาจรับฟังบันทึกคำเบิกความของ ว. และ ส. ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องประกอบพยานหลักฐานอื่นในชั้นพิจารณาได้ตามมาตรา 226/5

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7745/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานในชั้นพิจารณาคดี: ศาลต้องพิจารณาตามกระบวนการ หากละเลยอาจทำให้การพิพากษาไม่ถูกต้อง
การที่ศาลชั้นต้นรับฟังหรือไม่รับฟังพยานหลักฐานใด จะเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยพยานหลักฐาน ก็เป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยให้ถูกต้อง แล้ววินิจฉัยความผิดของจำเลยทั้งสองตามที่โจทก์อุทธรณ์ ไม่ใช่กรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง อันจะเป็นเหตุให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีอำนาจยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น แล้วให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้วินิจฉัยปัญหาว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษามาหรือไม่ ตามที่โจทก์อุทธรณ์ถือได้ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงมีอำนาจส่งสำนวนคืนศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพื่อให้พิพากษาใหม่ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 15 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 243 (1) และมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7648/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่เพียงพอ ชวนให้สงสัย จำเลยที่ 2 ไม่น่าจะร่วมกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
พยานหลักฐานโจทก์ชวนให้สงสัยว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 300 เม็ด กับฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก 2 ชิ้นหรือไม่ ศาลต้องพิพากษายกฟ้องและถือว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองด้วย แม้ความผิดฐานนี้จะต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6926/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย: การร่วมกระทำผิดและพยานหลักฐาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฯ มาตรา 15 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ประกอบ ป.อ. มาตรา 80, 91 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 16 ปี และปรับ 85,000 บาท ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 รวมจำคุก 18 ปี 6 เดือน และปรับ 85,000 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฯ มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากันให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงบทเดียวตาม ป.อ. มาตรา 90 จำคุก 4 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนนั้นเป็นการแก้ไขเล็กน้อย คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยสถานหนักนั้น เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6815/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกฟ้องคดีข่มขืนใจผู้อื่น เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เชื่อมโยงจำเลยกับเหตุการณ์ และการคืนของกลางแก่เจ้าของ
ตามคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ไม่ปรากฏว่าทั้งก่อนหรือขณะที่ ส. ชักอาวุธปืนพกออกมาจี้ที่หน้าอกของผู้เสียหาย จำเลยทั้งสองซึ่งอยู่ห่าง 3 ถึง 4 เมตร ได้กระทำการอย่างใดที่เห็นได้ว่าจำเลยทั้งสองมีส่วนในการที่ ส. ชักอาวุธปืนพกออกมาจี้ผู้เสียหาย กรณีจึงมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับ ส. กระทำความผิดหรือไม่ แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ฎีกา แต่ข้อเท็จจริงแห่งการกระทำของจำเลยที่ 2 เกี่ยวพันเป็นอันเดียวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่เป็นความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ทั้งปัญหาว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจะไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์ภาค 7 ก็ตาม ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องจำเลยที่ 2 ให้พ้นจากความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการหรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยมีอาวุธได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185, 195 วรรคสอง ประกอบด้วย มาตรา 215 และ 225
สำหรับคำขอคืนของกลางอื่นที่เหลือแก่เจ้าของ ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าเจ้าพนักงานตำรวจยึดเครื่องยนต์ดีเซล 1 เครื่อง หลังคารถขนาดเล็กพับได้ 1 หลัง ท่อไอเสียเฮดเดอร์รถยนต์ 1 ชุด กันชนหน้าและกันชนหลังรถยนต์ 1 ชุด อันเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งของผู้เสียหายที่จำเลยทั้งสองร่วมกันเอาไปเป็นของกลางและขอให้คืนของกลางดังกล่าวแก่เจ้าของ คำขอดังกล่าวเป็นคำขอให้ศาลมีคำสั่งคืนของกลางแก่เจ้าของเมื่อศาลพิพากษาคดีส่วนอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 49 มิใช่คำขอส่วนแพ่งที่ให้พนักงานอัยการเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ กรณีไม่ต้องด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 43 และยกคำขอดังกล่าวจึงไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นควรยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องโดยให้คืนของกลางอื่นแก่เจ้าของตาม ป.วิ.อ. มาตรา 49

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6801/2552

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่เพียงพอต่อการรับฟังว่าจำเลยจำหน่ายยาเสพติด ศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัย
โจทก์มีจ่าสิบตำรวจ จ. สิบตำรวจ ม. และสิบตำรวจ ค. ซึ่งเป็นผู้จับกุมจำเลยมาเบิกความเป็นพยาน แต่พยานโจทก์ทั้งสามปากมิได้รู้เห็นเหตุการณ์ในขณะที่มีการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนระหว่างสายลับกับจำเลย เหตุที่ทราบว่าจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด ในราคาเม็ดละ 70 บาท เพราะสายลับเป็นผู้แจ้งคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามดังกล่าวจึงเป็นพยานบอกเล่า ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้แม้จะพบธนบัตรฉบับละ 20 บาท จำนวน 1 ฉบับ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธนบัตรที่ใช้ล่อซื้ออยู่ในกระเป๋ากางเกงที่จำเลยถอดไว้ในตะกร้าเสื้อผ้า ก็ยังไม่เพียงพอที่จะรับฟังว่าจำเลยรับธนบัตรดังกล่าวไว้ เนื่องจากการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนเพราะสายลับอาจมอบธนบัตรดังกล่าวให้จำเลยหรือจำเลยได้มาด้วยเหตุอื่นก็ได้
คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นเพียงพยานบอกเล่าที่อาจนำมาฟังประกอบพยานอื่นของโจทก์เท่านั้น ไม่มีน้ำหนักรับฟังโดยลำพังเมื่อจำเลยให้การปฏิเสธในชั้นศาล โจทก์จึงต้องนำพยานหลักฐานมาสืบให้มีน้ำหนักมั่นคงเพื่อให้เห็นว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้สายลับจริง แต่โจทก์กลับไม่มีพยานดังกล่าวมาสืบโดยคงมีเพียงผู้จับกุมและพนักงานสอบสวนเท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง
of 259