คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
การครอบครอง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 883 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 963/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องบังคับโอนที่ดินตามสัญญาซื้อขายที่ไม่สมบูรณ์และการยกข้ออ้างเรื่องการครอบครองที่ไม่เข้าข่ายการฟ้องขอแสดงกรรมสิทธิ
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท ข้อที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองที่พิพาทเพราะจำเลยได้มอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์และโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมา อีกทั้งจำเลยมิได้ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากโจทก์ภายในกำหนด1 ปี นั้น จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น ทั้งนี้แม้ว่าความข้อนี้โจทก์ยกขึ้นฎีกาดังกล่าว โจทก์จะได้บรรยายฟ้องไว้ก็ตาม แต่โจทก์ก็มิได้ฟ้องขอแสดงกรรมสิทธิในที่ดินพิพาทมาด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 542/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินจากการรังวัดเขตชลประทาน การครอบครองประโยชน์ตกเป็นของแผ่นดิน
กรมชลประทานจำเลยรังวัดกั้นเขตชลประทานไว้ตามประกาศกระแสร์พระบรมราชโองการ เรื่อง ขยายการหวงห้ามและจัดซื้อที่ดินสำหรับสร้างการทดน้ำไขน้ำบริเวณเชียงรากน้อยและบางเหี้ยพ.ศ. 2467 จำเลยยังไม่ได้จ่ายค่าทดแทนที่พิพาทในสำนวนแรกแต่หลังจากมีการรังวัดกันเขตการชลประทานแล้ว ผ.เจ้าของเดิมก็ไม่ได้ครอบครองทำกิน โดยจำเลยได้ครอบครองดูแลไม่ให้ใครมารุกล้ำตลอดมา ส่วนโจทก์เพิ่งจะเข้าทำกินในปี 2519 ถือได้ว่าผ. ได้สละการครอบครองที่พิพาทสำนวนแรกหลังจากมีการรังวัดกันเขตชลประทานเป็นต้นมา และจำเลยก็ได้ครอบครองดูแลที่ดินในแนวเขตการชลประทานซึ่งรวมถึงที่พิพาทตลอดมาจำเลยใช้ที่ดินในเขตการชลประทานซึ่งรวมถึงที่พิพาทเพื่อทิ้งดินที่ได้จากการขุดลอกคลองชลประทาน ถือได้ว่าเป็นการใช้ที่พิพาทเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะที่พิพาทสำนวนแรกจึงตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3) การที่โจทก์ในสำนวนแรก เข้าทำกินในที่พิพาทจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อจำเลยส่วนที่พิพาทสำนวนหลัง ร. เจ้าของเดิมสละการครอบครองตั้งแต่เมื่อมีการรังวัดกับเขตชลประทานตั้งแต่ปี 2481 และจำเลยได้ครอบครองดูแลที่ดินในเขตการชลประทานมาตั้งแต่มีการรังวัดกันเขตโดยใช้ที่ดินดังกล่าวเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ที่พิพาทสำนวนหลังซึ่งอยู่ในเขตการชลประทานจึงตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3) นับแต่ที่ ร. สละการครอบครองตั้งแต่เมื่อมีการรังวัดกันเขตการชลประทานถึงแม้ ห. และ โจทก์ในสำนวนหลัง จะเข้าครอบครองและแจ้งการครอบครอง ไว้เมื่อปี 2498 ก็ไม่อาจอ้างการครอบครองขึ้นต่อสู้จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4527/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ต้องเริ่มนับระยะเวลาหลังออกโฉนดที่ดิน
การครอบครองที่ดินของผู้อื่นอันจะเป็นเหตุให้ผู้ครอบครองได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นั้นต้องเป็นการครอบครองที่ดินของผู้อื่นที่ได้ออกโฉนดที่ดินแล้วติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีเท่านั้น เมื่อนับแต่วันออกโฉนดครั้งแรกถึงวันยื่นคำร้องขอ ผู้ร้องครอบครองที่ดินมายังไม่ถึงสิบปีผู้ร้องจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4501/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: โต้เถียงข้อเท็จจริงและดุลพินิจศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับอาวุธปืนและการครอบครอง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะบทกฎหมายบางกระทง มิได้แก้โทษจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เอกสารหมาย ปจ.1ไม่เป็นเอกสารสำหรับอาวุธปืนของกลาง และฟังไม่ได้ว่าจำเลยซื้ออาวุธปืนของกลางจากนายสมพงษ์ สวัสดิ์ จำเลยฎีกาว่า จำเลยซื้ออาวุธปืนของกลางจากนายสมพงษ์จำเลยนำอาวุธปืนของกลางพร้อมเอกสารหมาย ปจ.1 มายื่นคำร้องขอซื้ออาวุธปืนของกลางจากพนักงานเจ้าหน้าที่และมีหนังสืออนุญาตให้ไปขอรับโอนซึ่งออกโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ แม้ยังไม่ได้โอนเป็นชื่อของจำเลย อาวุธปืนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเป็นอาวุธปืนที่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายนับว่าเป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยวางอาวุธปืนของกลางในรถคันที่จำเลยขับ ซึ่งจอดอยู่หน้าร้านอาหาร ส่วนจำเลยกับพวกนั่งรับประทานอาหารในร้านดังกล่าว ไม่มีทรัพย์สินมีค่าในรถ การพาอาวุธปืนติดตัวไปถือไม่ได้ว่ามีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามพฤติการณ์ จำเลยฎีกาว่า จำเลยพาอาวุธปืนของกลางไปโดยมิดชิดไม่เปิดเผยเพื่อป้องกันทรัพย์สินของจำเลย จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะสรุปโดยง่ายว่าเป็นความผิดและไม่มีเหตุสมควรเร่งด่วน เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4272/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละสิทธิเครื่องหมายการค้า: การเลิกกิจการส่วนตัวแล้วเปลี่ยนเป็นบริษัทถือเป็นการสละสิทธิ
การที่บิดาโจทก์เลิกประกอบกิจการส่วนตัวในการค้าขาย ใบชา ซึ่งใช้เครื่องหมายการค้าพิพาทที่ตนจดทะเบียน ไว้ มา ประกอบกิจการ ค้า ใบชา โดย ใช้เครื่องหมายการค้า ดังกล่าว ใน รูป ของ บริษัท จำเลยตลอดจน การ ใช้ เครื่องหมายการค้า พิพาท กับ ใบชาของ บริษัท จำเลย ใน ลักษณะ ที่ แสดง ว่า บริษัท จำเลยเป็น เจ้าของ สิทธิ ใน เครื่องหมายการค้า ดังกล่าวดังปรากฏ ที่ กล่อง บรรจุ ใบชา นั้น ถือ ได้ ว่า บิดา โจทก์ได้ สละ สิทธิ ใน เครื่องหมายการค้า พิพาท โดย ยอม ให้เป็น ทรัพย์สิน ของ บริษัท จำเลย แล้ว ตั้งแต่ ขณะ บิดา โจทก์เลิก ประกอบการค้า ใบชา เป็น การ ส่วนตัว มา ประกอบการค้าใบชา ใน รูป บริษัท จำเลย โดย มี ตน เป็น กรรมการผู้จัดการแม้ หลักฐาน การ จดทะเบียน เครื่องหมายการค้า พิพาทจะ ปรากฏ ชื่อ บิดา โจทก์ เป็น เจ้าของ เครื่องหมายการค้า ดังกล่าวโดย บิดา โจทก์ ยัง มิได้ ไป จดทะเบียน โอน สิทธิ ใน เครื่องหมายการค้า นั้น ให้ จำเลย เพื่อ ให้ สมบูรณ์ ตาม มาตรา 33 แห่ง พระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2474 ซึ่ง ใช้บังคับ อยู่ ใน ขณะนั้น ก็ตาม แต่ ก็ ถือ ไม่ได้ ว่า บิดา โจทก์ ยังคง เป็น เจ้าของสิทธิ ใน เครื่องหมายการค้า พิพาท ต่อไปการ ที่ ปรากฏ ชื่อ บิดา โจทก์ เป็น เจ้าของ เครื่องหมายการค้าพิพาท ตาม หลักฐาน การ จดทะเบียน เครื่องหมายการค้ามี ผล เพียง เท่ากับ บิดา โจทก์ เป็น ผู้ถือสิทธิ ใน เครื่องหมายการค้าพิพาท ไว้ แทน จำเลย เท่านั้น เมื่อ ต่อมา บิดา โจทก์ถึงแก่กรรม สิทธิ ใน เครื่องหมายการค้า พิพาท จึงไม่เป็น ทรัพย์ ยืม มรดก ที่ ตกทอด แก่ ทายาท การ ที่ ว.และ โจทก์ ใน ฐานะ ผู้จัดการมรดก ไป ขอ จดทะเบียน ต่อ อายุเครื่องหมายการค้า พิพาท จึง มี ผล เป็น เพียง การ ถือ สิทธิ ใน เครื่องหมายการค้า พิพาท ไว้แทน จำเลย เช่นเดียวกันเมื่อ จำเลย เป็น ผู้ มี สิทธิ ใน เครื่องหมายการค้า พิพาท และ ใช้ เครื่องหมายการค้า ดังกล่าว กับ สินค้า ใบชาที่ จำเลย ผลิต ออก จำหน่าย ตั้งแต่ พ.ศ. 2494 ตลอดมาจนถึง ปัจจุบัน ทั้ง ไม่ ปรากฏ ว่า โจทก์ เคย ทำ การค้าขาย ใบชา โดย ใช้ เครื่องหมายการค้า พิพาท แต่อย่างใดจำเลย จึง มี สิทธิ ใน เครื่องหมายการค้า พิพาท ดีกว่าโจทก์ และ ย่อม เป็น ผู้มีส่วนได้ เสีย ที่ จะ ร้อง ขอ ต่อ ศาล ให้ มี คำสั่ง เพิกถอน ทะเบียน เครื่องหมายการค้าพิพาท ที่ โจทก์ ยื่น จดทะเบียน ต่อ อายุ ดังกล่าว ได้ ตามมาตรา 41(1) แห่ง พระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้าพ.ศ. 2474

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4069/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินมือเปล่า, พินัยกรรมไม่สมบูรณ์, การบุกรุก และอำนาจศาลในการพิจารณาคดี
ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์เฉพาะข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ส่วนข้อหาตามมาตรา 358 และ 362ไม่รับ ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ทั้งสองข้อหาความผิดนั้นอีก การที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 และ 362 จึงไม่ชอบ ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าการซื้อขายย่อมสมบูรณ์โดยการส่งมอบไม่จำต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อเจ้ามรดกขายที่พิพาทให้โจทก์ก่อนเจ้ามรดกตายโดยความรู้เห็นของจำเลยแล้ว การที่เจ้ามรดกทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองยกที่พิพาทให้แก่จำเลย พินัยกรรมส่วนที่เกี่ยวกับที่พิพาทย่อมไม่สมบูรณ์สิทธิครอบครองในที่พิพาทยังเป็นของโจทก์ จำเลยเข้าไปใช้รถไถขุดทำลายบ่อเลี้ยงปลาในที่พิพาทของโจทก์เพื่อถือการครอบครองอันเป็นการรบกวนการครอบครองที่พิพาทของโจทก์โดยปกติสุขทั้งเวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 402/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากรถชน, การระบุชื่อจำเลยผิดพลาดไม่ทำให้ฟ้องเสีย, และการพิสูจน์การครอบครองทรัพย์สิน
ฟ้องโจทก์ระบุชื่อจำเลยที่ 2 ผิดไป แต่รายละเอียดที่บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกที่ทำละเมิดและข้อเท็จจริงในทางนำสืบก็รับฟังได้เช่นนั้น เมื่อบรรยายฟ้องไว้ถูกต้องแต่ระบุชื่อผิดไปจึงไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เสียไปหรือเป็นการฟ้องผิดคน แม้พยานจำเลยที่ 1 คือจำเลยที่ 2 จะเบิกความยอมรับว่าเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกที่ทำละเมิดแต่ผู้เดียวก็ตามแต่ก็ต้องพิจารณาพยานอื่นประกอบด้วย เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 1 ก็เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวเช่นเดียวกัน จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ด้วย โจทก์บรรยายฟ้องว่ารถของโจทก์บรรทุกน้ำปลาเพื่อไปส่งลูกค้าเมื่อรถโจทก์ถูกชน รถโจทก์เสียหายหลายประการรวมทั้งน้ำปลาขวดน้ำปลาและลังบรรจุน้ำปลาแตกหักเสียหาย ถือว่าพอเข้าใจแล้วว่าน้ำปลาและลังซึ่งอยู่ในครอบครองของโจทก์เสียหายเนื่องจากการกระทำละเมิดของลูกจ้างจำเลย ฟ้องโจทก์ส่วนนี้จึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3782/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกที่ดินหลังซื้อขาย: การครอบครองที่ไม่ต่อเนื่อง ไม่เป็นกิจจะลักษณะ ไม่ถือเป็นการครอบครองโดยชอบ
จำเลยเข้าไปปลูกบ้านในที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินตาม น.ส.3ตั้งแต่ปี 2506 แต่เนื่องจากพวกเขมรเข้ามาปล้นชาวบ้านแถวบริเวณที่พิพาทบ่อย ๆ จำเลยจึงทิ้งที่พิพาทไป โดยปีหนึ่งกลับมาดูหนหนึ่งเหตุที่จำเลยปล่อยที่พิพาทรกเป็นป่าเนื่องจากจำเลยเกรงอิทธิพลของบุคคลภายนอกจึงต้องหลบหนี นาน ๆ จึงจะแวะมาดูที่พิพาทครั้งหนึ่ง การครอบครองที่พิพาทของจำเลยไม่เป็นการต่อเนื่องและเป็นกิจจะลักษณะ เมื่อจำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกบ้านในที่พิพาทในปี 2532 ภายหลังที่โจทก์ร่วมได้ซื้อที่พิพาทจาก อ.โดยสุจริตแล้วจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 364/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ สิทธิในที่ดิน การพิสูจน์การครอบครอง และการใช้ดุลพินิจของศาล
แม้ว่าผู้คัดค้านจะมิได้ปฏิเสธข้ออ้างในคำร้องของผู้ร้องที่ว่า ต.ซื้อที่พิพาทโดยใส่ชื่อช. ไว้ก็ตาม แต่ผู้คัดค้านก็ได้บรรยายไว้ในคำร้องคัดค้านว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งในที่ดินอันเป็นกรรมสิทธิที่ผู้คัดค้านได้มาโดยซื้อมาจาก ช. ตามส่วนที่ช.เจ้าของเดิมมีอยู่ช. ได้บอกขายที่พิพาทก่อนผู้คัดค้านซื้อเป็นเวลานาน ถือว่าผู้คัดค้านได้กล่าวไว้ในคำร้องคัดค้านแล้วว่าช. เป็นเจ้าของที่พิพาท ดังนั้น การที่ผู้คัดค้านนำสืบว่า ม.มอบที่ดินให้แก่ ช. เป็นการชำระหนี้ที่กู้ยืมเงินไปนั้น จึงเป็นการนำสืบถึงที่มาแห่งการเป็นเจ้าของที่พิพาทซึ่งผู้คัดค้านมีสิทธิที่จะนำสืบได้ แม้ว่าผู้คัดค้านกล่าวในคำร้องคัดค้านเพียงว่า ช.เจ้าของเดิมได้ใช้สิทธิครอบครองที่พิพาทตลอดมาไม่เคยทอดทิ้งก็ตามผู้คัดค้านก็ชอบที่จะนำสืบได้ว่า ช. ให้ จ. ป. และบุคคลอื่นเช่าที่พิพาทเพราะเป็นการนำสืบว่า ผู้คัดค้านได้ใช้สิทธิครอบครองที่พิพาทโดยให้บุคคลอื่นครอบครองแทน เป็นการนำสืบตามประเด็นที่เกิดจากคำร้องคัดค้าน หาใช่เป็นการนำสืบนอกประเด็นไม่ แม้ว่าผู้คัดค้านอ้างเอกสารหมาย ค.10ค.11ค.15ถึงค.20และ ค.23โดยอ้างว่าอยู่ในความครอบครองของช. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก แต่ทางนำสืบของผู้คัดค้านได้ความว่าเอกสารดังกล่าวอยู่ที่ผู้คัดค้าน และผู้คัดค้านไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน ก็ตาม แต่เมื่อตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองไม่ปรากฏว่าศาลได้รับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานของผู้คัดค้าน คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจะรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ สำหรับเอกสารหมาย ค.10และค.17 แม้ผู้คัดค้านไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารให้แก่ผู้ร้องก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน เป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 ก็ตาม แต่ตามมาตรา 87(2) นั้น ถ้าศาลเห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจรับฟังเอกสารดังกล่าวได้ เมื่อปรากฏว่าเอกสารทั้งสองฉบับนี้เป็นเอกสารสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี เพราะเอกสารหมาย ค.10 เป็นสัญญากู้ทำขึ้นระหว่างผู้ร้องกับ ช. และผู้ร้องก็ได้นำสืบพยานที่เกี่ยวข้องกับเอกสารดังกล่าวด้วย ส่วนเอกสารหมาย ค.17 เป็นใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี 2513 ถึงปี 2525 ของ ช.จำนวน13ฉบับซึ่งช.ได้ส่งศาลตามคำสั่งเรียกก่อนวันสืบพยานนัดแรกเป็นเวลากว่า 1 เดือนผู้ร้องจึงมีโอกาสตรวจดูเอกสารดังกล่าวก่อนวันสืบพยานได้อยู่แล้วการที่ผู้คัดค้านมิได้ส่งสำเนาให้แก่ผู้ร้องก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการเอาเปรียบผู้ร้อง ศาลชอบที่จะใช้ดุลพินิจรับฟังเอกสารทั้งสองฉบับนี้เป็นพยานหลักฐานของผู้คัดค้านได้ ตามบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของผู้คัดค้านอันดับ 8 ระบุว่า"เอกสารเรื่องราวการจดทะเบียนนิติกรรมตลอดจนบันทึกข้อความ แผนที่หรือถ้อยคำบุคคลใด ๆ หรือหนังสือโต้ตอบระหว่างหน่วยงานราชการ หรือบุคคล หรือเอกสารทุกชนิด ทุกฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับโฉนดที่ดินเลขที่ 906 ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการได้จัดทำและเก็บรักษาไว้ในแฟ้มเรื่องราวของโฉนดที่ดินฉบับดังกล่าวทั้งหมดทุกฉบับ อยู่ที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ" เมื่อผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกคำบันทึกของ ส.ช่างแผนที่ที่ได้บันทึกถ้อยคำของ ฮ. ฉบับลงวันที่ 13 พฤศจิกายน2528 คือวันทำการรังวัดทำแผนที่พิพาทที่ดินโฉนดเลขที่ 906หน้าโฉนด 156 ตำบลบางพลีน้อย อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการและเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการได้จัดส่งสำเนาภาพถ่ายเอกสารบันทึกถ้อยคำของ ฮ. ไปให้ศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นได้หมายเอกสารนั้นเป็นเอกสารหมาย ค.49จึงฟังได้ว่าเอกสารหมายค.49เป็นเอกสารฉบับหนึ่ง ซึ่งรวมอยู่ในบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมอันดับที่ 8 ของผู้คัดค้าน ถือได้ว่าผู้คัดค้านได้ระบุอ้างพยานเอกสารฉบับนี้โดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา88 วรรคสอง แล้ว ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นรับเอกสารหมาย ค.49ของผู้คัดค้านไว้เป็นพยานหลักฐานและอนุญาตให้ผู้คัดค้านนำสืบเรื่องราวเกี่ยวกับเอกสารฉบับนี้จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมาย จำนวนเงินค่าทนายความที่ศาลจะกำหนดให้คู่ความฝ่ายหนึ่งใช้แทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเป็นดุลพินิจของแต่ละศาลซึ่งจะกำหนดให้โดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดีของคู่ความทั้งปวง ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 วรรคหนึ่ง โดยศาลต้องกำหนดค่าทนายความระหว่างอัตราขั้นต่ำและอัตราขั้นสูงดังที่ระบุไว้ในตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฎีกาของผู้ร้องมิได้บรรยายว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใด ในข้อไหน เป็นฎีกาที่ไม่ได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่อ้างอิงขึ้นกล่าวให้ชัดแจ้ง จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3631/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากจำเลยยังไม่ได้รบกวนการครอบครอง โจทก์ต้องแสดงการโต้แย้งสิทธิชัดเจน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ส.ขายที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ 2 แปลง ซึ่งเป็นที่พิพาทให้แก่โจทก์ในราคา 75,500 บาทส.ได้รับเงินครบถ้วนแล้ว และมอบการครอบครองที่พิพาทให้โจทก์ตั้งแต่วันทำสัญญา โจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมากว่า 9 ปี จำเลยยื่นคำร้องขอจัดการมรดกของ ส.โดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นมรดกของส.ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าว ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์ หรือแย่งสิทธิครอบครองของโจทก์แต่อย่างใดอันจะถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
of 89