คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ข้อต่อสู้

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 347 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 568/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำให้การเพิ่มเติมต้องยกข้อต่อสู้ใหม่หรือเปลี่ยนแปลงข้ออ้างเดิม จึงจะรับฟังได้ หากเป็นการซ้ำกับข้อต่อสู้เดิม ศาลไม่รับฟัง
จำเลยขอยื่นคำให้การเพิ่มเติมซ้ำกับข้อต่อสู้เดิมคำให้การที่ขอเพิ่มเติมจึงไม่เป็นคำให้การที่ยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้ออ้าง ข้อเถียง ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 179(3)
คำร้องขอเพิ่มเติมคำให้การที่ไม่เป็นสาระแก่คดีศาลไม่อนุญาตให้เพิ่มเติมก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 378/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อต่อสู้และขออ้างพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา และการพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยยื่นคำร้องในชั้นฎีกาว่า ลายมือชื่อในเอกสารปลอม จำเลยได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ถ้าศาลฎีกาเห็นสมควร ก็ขอให้รอการพิพากษาไว้จนกว่าคดีอาญาถึงที่สุด เมื่อทางพิจารณาควรฟังเป็นยุติได้แล้ว ศาลฎีกาก็พิพากษาคดีไปโดยไม่รอคดีอาญาตามคำร้องจำเลย
จำเลยมิได้ยื่นคำร้องขอปฏิเสธและขอบอกเลิกเพิกถอนคำแถลงด้วยวาจาและเอกสารของทนายจำเลยคนแรก และให้ถือตามข้อต่อสู้เดิมแต่ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น เพิ่งจะร้องขอเปลี่ยนแปลงประเด็นในชั้นอุทธรณ์ ย่อมไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา และเมื่อศาลฎีกาสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเพิกถอนคำแถลงการณ์ด้วยวาจาและเอกสารของทนายคนแรกของจำเลยแล้ว การอ้างพยานเพิ่มเติมตามคำร้องนี้ก็ไม่จำเป็นแก่คดีต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 378/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อต่อสู้และอ้างพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา และการพิพากษาคดีแพ่งโดยไม่รอคดีอาญา
จำเลยยื่นคำร้องในชั้นฎีกาว่า ลายมือชื่อในเอกสารปลอม
จำเลยได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ถ้าศาลฎีกาเห็นสมควรก็ขอให้รอการพิจารณาไว้จนกว่าคดีอาญาถึงที่สุดเมื่อทางพิจารณาควรฟังเป็นยุติได้แล้ว ศาลฎีกาก็พิพากษาคดีไปโดยไม่รอคดีอาญาตามคำร้องจำเลย
จำเลยมิได้ยื่นคำร้องขอปฏิเสธและขอบอกเลิกเพิกถอนคำแถลงด้วยวาจาและเอกสารของทนายจำเลยคนแรก และให้ถือตามข้อต่อสู้เดิมแต่ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นเพิ่งจะร้องขอเปลี่ยนแปลงประเด็นในชั้นอุทธรณ์ ย่อมไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาและเมื่อศาลฎีกาสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเพิกถอนคำแถลงการด้วยวาจาและเอกสารของทนายคนแรกของจำเลยแล้วการอ้างพยานเพิ่มเติมตามคำร้องนี้ก็ไม่จำเป็นแก่คดีต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1093/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิไถ่ทรัพย์คืนจากผู้รับซื้อฝาก, อายุความคดีแพ่ง, และข้อจำกัดการยกข้อต่อสู้ใหม่ในชั้นฎีกา
ข้อที่จำเลยฎีกาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย จำเลยซื้อจากนายกองบิดาโจทก์ ส่วนที่ซึ่งนายกองบิดาโจทก์ขายฝากจำเลยเป็นที่คนละแปลงนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับการไถ่โอนที่ดินคืนให้แก่โจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ที่ขายฝาก จึงเป็นคดีที่มีคำขออันคำนวณเป็นราคาเงินได้ เมื่อราคาที่พิพาทไม่เกินห้าพันบาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่นายกองขายฝากอยู่ตรงไหน พร้อมทั้งได้แสดงแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง และมีสำเนาทะเบียนบุริมสิทธิ ฯลฯ แนบมาท้ายฟ้องด้วย เห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ได้แสดงชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 แล้ว
อายุความตามมาตรา 1754 เป็นอายุความห้ามฟ้องคดีมรดกหรือคดีที่เจ้าหนี้ขอบังคับตามสิทธิเรียกร้องอันมีต่อเจ้ามรดก ส่วนคดีที่เจ้ามรดกเป็นเจ้าหนี้มิได้กำหนดอายุความไว้เป็นพิเศษในมาตรา 1754 แต่อย่างใด เมื่อเป็นคดีที่โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของนายกองผู้ขายเดิมฟ้องขอไถ่ทรัพย์คืนจากจำเลยซึ่งเป็นผู้รับซื้อฝากตามมาตรา 497 (1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยหลังจากนายกองผู้ขายเดิมตายเกิน 1 ปี คดีโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ เพราะคดีนี้ไม่เป็นคดีมรดกหรือเป็นคดีที่เจ้าหนี้ขอบังคับตามสิทธิเรียกร้องอันมีต่อเจ้ามรดก จะนำมาตรา 1754 มาใช้บังคับไม่ได้
ข้อที่ว่าสิทธิในการไถ่ทรัพย์ตามมาตรา 497 พึงใช้ได้แก่บุคคลซึ่งในสัญญายอมไว้โดยเฉพาะให้เป็นผู้ไถ่ถอนได้เมื่อนายกองผู้ขายเดิมไม่ได้ทำสัญญายอมให้โจทก์เป็นคนไถ่ถอน โจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่จะไถ่ทรัพย์นั้น เป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1030/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีกรรมสิทธิ์ที่ดิน: ประเด็นทุนทรัพย์และข้อจำกัดการยกข้อต่อสู้ในชั้นฎีกา
ฟ้องว่าจำเลยบุกรุก ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และขอให้ขับไล่จำเลย จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นจำเลย ดังนี้ เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ แม้จะมีคำขอให้ขับไล่รวมอยู่ด้วย ก็เป็นเพียงผลต่อเนื่องในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่พิพาทเท่านั้น ประเด็นสำคัญของคดีอยู่ที่ว่าที่พิพาทเป็นของใคร จึงถือไม่ได้ว่าเป็นคดีมีคำขออันไม่มีทุนทรัพย์แยกกันได้จากคำขอที่เป็นทุนทรัพย์ เมื่อศาอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและที่พิพาทมีราคาไม่เกิน 5,000 บาท คู่ความจึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงมิได้(อ้างคำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ 568/2504)
คดีก่อน โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดก คดีหลังโจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินที่ได้มาจากคดีก่อนเป็นคนละประเด็นไม่เป็นฟ้องซ้ำ
จำเลยต่อสู้ในศาลชั้นต้นว่า ฟ้องเคลือบคลุม แต่มิได้ยกขึ้นอ้างในชั้นศาลอุทธรณ์ ดังนี้ จะมาอ้างในชั้นศาลฎีกามิได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 354/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อต่อสู้ในคดีใหม่ต้องอาศัยการให้การในคดีนั้น การนำข้ออ้างจากคดีเก่ามาใช้โดยไม่ให้การถือเป็นนอกประเด็น
จำเลยจะถือเอาข้ออ้างในคำร้องคัดค้านของคดีเดิมมาเป็นข้อต่อสู้ในคดีใหม่ไม่ได้ เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การในคดีใหม่ว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธฟ้องโจทก์ จำเลยจึงไม่มีข้อต่อสู้ การที่จำเลยนำสืบตามข้ออ้างในคำร้องคัดค้านของคดีเดิมจึงเป็นการนำสืบนอกประเด็น รับฟังไม่ได้
ผู้มีชื่อยกที่พิพาทให้โจทก์และสามี โดยให้โจทก์และสามีไถ่จำนองให้ แล้วโจทก์กับสามีได้ยึดถือครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า10 ปีแล้วโจทก์และสามีย่อมได้กรรมสิทธิ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1470/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเช่าทรัพย์: จำเลยต้องยกข้อต่อสู้ตามกฎหมายพิเศษในคำให้การ มิเช่นนั้น ศาลวินิจฉัยตามกฎหมายสามัญ
โดยปกติการเช่าทรัพย์ไม่ว่าจะใช้ทรัพย์สินนั้นเพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อทำการค้า ย่อมอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะเช่าทรัพย์ หากจำเลยจะอ้างความคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษอย่างไร ก็ต้องยกขึ้นสู้คดี เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 บัญญัติให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น เมื่อจำเลยมิได้อ้างสิทธิหรือความคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษ ก็ต้องวินิจฉัยคดีตามกฎหมายสามัญ เพราะสิทธิหรือความคุ้มครองตามกฎหมายอื่นนั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ให้เป็นประเด็นไว้
พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 มิใช่มีกรณีเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนไปเสียทั้งหมด การที่ผู้เช่ายินยอมเลิกใช้ทรัพย์สินที่เช่าหรือไม่อ้างเอาประโยชน์จากพระราชบัญญัตินี้ ก็หาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1470/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ยกข้อต่อสู้ตามกฎหมายพิเศษในคำให้การ ทำให้ศาลวินิจฉัยตามกฎหมายสามัญ
โดยปกติการเช่าทรัพย์ไม่ว่าจะใช้ทรัพย์สินนั้นเพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อทำการค้าย่อมอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะเช่าทรัพย์ หากจำเลยจะอ้างความคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษอย่างไร ก็ต้องยกขึ้นสู้คดี เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 บัญญัติให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น เมื่อจำเลยมิได้อ้างสิทธิหรือความคุ้มครองตามกฎหมายพิเศษ ก็ต้องวินิจฉัยคดีตามกฎหมายสามัญ เพราะสิทธิหรือความคุ้มครองตามกฎหมายอื่นนั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ให้เป็นประเด็นไว้
พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 มิใช่มีกรณีเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนไปเสียทั้งหมด การที่ผู้เช่ายินยอมเลิกใช้ทรัพย์สินที่เช่าหรือไม่อ้างเอาประโยชน์จากพระราชบัญญัตินี้ ก็หาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 69/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องไม่สมบูรณ์, อายุความละเมิด, อายุความรับสภาพหนี้, ผู้ค้ำประกัน, ข้อต่อสู้เรื่องอายุความ
ฟ้องที่กล่าวเพียงว่า"สินค้าอื่น ๆ ซึ่งโจทก์จะได้เสนอหลักฐานต่อศาลในวันพิจารณาขาดไปคิดเป็นเงิน 57,266.58 บาท" เป็นฟ้องที่มิได้แสดงให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและขาดข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรค 2 โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันคนที่ทำละเมิดต่อโจทก์เพิ่อเรียกค่าเสียหายในการละเมิดนั้นเมื่อเกิน 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน คดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยกข้อต่อสู้เรื่องอายุความของผู้ที่ทำละเมิดต่อโจทก์ขึ้นต่อสู้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 68
อายุความเรียกค่าเสียหายในการละเมิดมี 1 ปี เมื่อจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้จากการละเมิด อายุความก็สะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 ต้องเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 181 วรรค 2 อายุความที่เริ่มนับใหม่ก็คือ 1 ปีเช่นเดิม ไม่ใช่ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการนำสืบข้อต่อสู้เปลี่ยนแปลงสัญญากู้เป็นมัดจำซื้อขาย และประเด็นการชำระหนี้ด้วยการโอนที่ดิน
เมื่อจำเลยให้การรับว่า ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินให้โจทก์ไว้จริง จำเลยจะขอนำสืบตามข้อต่อสู้ว่าหนังสือสัญญากู้นั้นทำขึ้นแทนหนังสือวางเงินมัดจำในการที่จำเลยขายที่ดินให้โจทก์ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
จำเลยฎีกาอ้างว่า จำเลยมีสิทธินำสืบได้ว่า ได้มีการโอนที่ดินใช้หนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ อันเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นแทนเงินกู้ให้แก่โจทก์แล้ว แต่ในคำให้การของจำเลยมิได้กล่าวตั้งเป็นประเด็นข้อนี้ไว้โดยชัดแจ้งก็ไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบในข้อนี้ได้
of 35