คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ค่าขึ้นศาล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 443 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3221/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่นำสืบในคดีภาษี, การยกเว้นภาษีสมาคม, และการคืนค่าขึ้นศาล
ตามบัญชีอัตราภาษีเงินได้ (2) (ค) แห่งประมวลรัษฎากรกำหนดให้เรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากรายได้ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ของสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ด้วยคงยกเว้นให้เฉพาะเงินค่าบำรุงที่ได้รับจากสมาชิกหรือเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการบริจาค หรือการให้โดยเสน่หาตามมาตรา 65 ทวิ (13) เท่านั้น แม้ตามมาตรา 79 ตรี (8) (ข) จะยกเว้นให้ไม่ต้องนำรายรับจากการบริจาคสินค้าเป็นสาธารณประโยชน์มารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีการค้าก็ตาม แต่ก็ยกเว้นให้เฉพาะการบริจาคแก่องค์การ หรือสถานสาธารณกุศลที่รัฐมนตรีกำหนดเท่านั้นประมวลรัษฎากรมิได้ยกเว้นไม่เก็บภาษีจากสมาคมเสียทีเดียว
แม้โจทก์จะมีฐานะเป็นสมาคม ซึ่ง ป.พ.พ. มาตรา 1274 บัญญัติว่า กิจการของโจทก์มิใช่เป็นการประกอบกิจการค้าหากำไรมาแบ่งปันกันก็ตาม แต่ในเรื่องหน้าที่นำสืบประมวลรัษฎากรมิได้มีข้อสันนิษฐานไว้ให้เป็นคุณแก่โจทก์ กรณีจึงต้องเป็นไปตามหลักทั่วไปของมาตรา 84 แห่ง ป.วิ.พ. เมื่อประเด็นข้อพิพาทที่ว่าโจทก์มีรายได้ซึ่งต้องเสียภาษีหรือได้รับยกเว้นการเสียภาษีหรือไม่นั้น โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้าง จำเลยให้การปฏิเสธ หน้าที่นำสืบจึงตกอยู่แก่โจทก์
ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528มาตรา 17 การที่จะนำบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาอนุโลมใช้ได้ก็ต่อเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร และข้อกำหนดคดีภาษีอากรตามมาตรา 20 บัญญัติหรือกำหนดไว้โดยเฉพาะเท่านั้น ดังนี้ เมื่อมีข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ 8 กำหนดว่า คู่ความจะต้องยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน จึงไม่อาจนำบทบัญญัติมาตรา 88 แห่ง ป.วิ.พ.มาอนุโลมใช้ในกรณีการยื่นบัญชีระบุพยานคดีภาษีอากรได้
โจทก์อุทธรณ์เพียงขอให้เพิกถอนคำสั่งเกี่ยวกับหน้าที่นำสืบ กับขอให้สั่งให้โจทก์มีสิทธินำพยานเข้าสืบตามบัญชีระบุพยานที่ยื่นต่อศาล เป็นอุทธรณ์ที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพียง 200 บาท ตามตาราง 1 ท้ายป.วิ.พ. ข้อ (2) (ก) โจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นเงินได้ตามตาราง 1 ข้อ (1) (ก) จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกินแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2651/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟ้องคดีภาษีหลังศาลอุทธรณ์พิพากษา การชำระค่าขึ้นศาล และการพิจารณาคดีใหม่
ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ฟ้องโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลภายใน 7 วัน ให้คู่ความฟังแล้วโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์ไม่มีเจตนาที่จะไม่เสียเงินค่าขึ้นศาล และขอนำเงินค่าขึ้นศาลมาวางต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 30 วัน นับตั้งแต่วันยื่นคำร้องขอเป็นต้นไป ศาลชั้นต้นอนุญาตตามขอต่อมาโจทก์วางเงินค่าขึ้นศาลครบถ้วน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้องของโจทก์ มีความหมายว่าศาลชั้นต้นยอมรับคำฟ้องของโจทก์แล้ว เมื่อจำเลยยื่นคำให้การแก้คดีก็หาได้โต้แย้งการรับฟ้องของศาลแต่อย่างใดการที่โจทก์แก้ไขข้อขัดข้องด้วยการนำเงินค่าขึ้นศาลมาวางครบถ้วนแล้วจึงไม่มีเหตุขัดข้องอะไรที่ศาลจะไม่รับคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2651/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับคำฟ้องหลังชำระค่าขึ้นศาล และการสืบพยานเพื่อวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ขัดแย้ง
ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่ง พิพากษาตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ฟ้องโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลภายใน 7 วัน ให้คู่ความฟังแล้วโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์ไม่มีเจตนาที่จะไม่เสียเงินค่าขึ้นศาลและขอนำเงินค่าขึ้นศาลมาวางต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 30 วัน นับตั้งแต่วันยื่นคำร้องขอเป็นต้นไป ศาลชั้นต้นอนุญาตตามขอต่อมาโจทก์วางเงินค่าขึ้นศาลครบถ้วน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้องของโจทก์ มีความหมายว่าศาลชั้นต้นยอมรับคำฟ้องของโจทก์แล้ว เมื่อจำเลยยื่นคำให้การแก้คดีก็หาได้โต้แย้งการรับฟ้องของศาลแต่อย่างใดการที่โจทก์แก้ไขข้อขัดข้องด้วยการนำเงินค่าขึ้นศาลมาวางครบถ้วนแล้วจึงไม่มีเหตุขัดข้องอะไรที่ศาลจะไม่รับคำฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6187/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลบังคับจำนอง: ศาลฎีกาตัดสินคืนเงินส่วนเกินจากการเรียกค่าขึ้นศาลเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และยืนตามศาลล่างที่ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียม
ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนองได้ยื่นคำร้องขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ถือเสมือนหนึ่งว่าผู้ร้องได้ฟ้องบังคับจำนองจำเลยนั่นเอง ตามข้อ 1(ค) แห่งตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งระบุไว้ว่า ให้เรียกค่าขึ้นศาลในอัตราร้อยละ 1 แต่ไม่ให้เกิน 100,000 บาท ต่อเมื่อจำเลยให้การต่อสู้คดีจึงให้เรียกค่าขึ้นศาลในอัตราร้อยละ 2.5 แต่คดีนี้จำเลยมิได้คัดค้านหรือสู้ คดีแต่อย่างใด การที่โจทก์คัดค้านจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามข้อนี้ ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลเกินมา 100,000 บาท เห็นควรคืนให้แก่ผู้ร้อง แม้ผู้ร้องจะมิได้ฎีกาขึ้นมาโดยตรงก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
ผู้ร้องร้องขอให้เอาเงินที่ขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้ชำระหนี้ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้อื่น เสมือนหนึ่งผู้ร้องฟ้องบังคับจำนองต่อจำเลยแล้ว จำเลยก็มีหน้าที่จะต้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้แทนผู้ร้อง หรือนัยหนึ่งให้ไปเรียกเอาจากกองทรัพย์สินที่ขายทอดตลาดได้ และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 ซึ่งบัญญัติเรื่องความรับผิดชั้นที่สุดในค่าฤชาธรรมเนียมไว้นั้น ก็เป็นดุลพินิจของศาลที่จะให้ใช้ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6187/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลบังคับจำนอง: ศาลเรียกเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และความรับผิดค่าฤชาธรรมเนียม
ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนองได้ยื่นคำร้องขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ถือเสมือนหนึ่งว่าผู้ร้องได้ฟ้องบังคับจำนองจำเลยนั่นเอง ตามข้อ 1(ค) แห่งตาราง 1ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งระบุไว้ว่า ให้เรียกค่าขึ้นศาลในอัตราร้อยละ 1 แต่ไม่ให้เกิน 100,000 บาท ต่อเมื่อจำเลยให้การต่อสู้คดีจึงให้เรียกค่าขึ้นศาลในอัตราร้อยละ 2.5 แต่คดีนี้จำเลยมิได้คัดค้านหรือสู้ คดีแต่อย่างใด การที่โจทก์คัดค้านจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามข้อนี้ ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลเกินมา 100,000 บาท เห็นควรคืนให้แก่ผู้ร้อง แม้ผู้ร้องจะมิได้ฎีกาขึ้นมาโดยตรงก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ผู้ร้องร้องขอให้เอาเงินที่ขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้ชำระหนี้ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้อื่น เสมือนหนึ่งผู้ร้องฟ้องบังคับจำนองต่อจำเลยแล้ว จำเลยก็มีหน้าที่จะต้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้แทนผู้ร้อง หรือนัยหนึ่งให้ไปเรียกเอาจากกองทรัพย์สินที่ขายทอดตลาดได้ และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 ซึ่งบัญญัติเรื่องความรับผิดชั้นที่สุดในค่าฤชาธรรมเนียมไว้นั้น ก็เป็นดุลพินิจของศาลที่จะให้ใช้ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5496/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทิ้งฟ้อง: เพิกเฉยคำสั่งศาลเรื่องค่าขึ้นศาล ทำให้จำหน่ายคดีได้ แม้ใช้คำสั่งคลาดเคลื่อน
เดิมศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องขัดทรัพย์โดยให้ผู้ร้องเสียค่าธรรมเนียมตามทุนทรัพย์ที่ผู้ร้องอ้างว่าเป็นราคาที่เจ้าพนักงานที่ดินประเมินไว้ก่อน ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มโดยให้คำนวณทุนทรัพย์ตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีตีราคาไว้ภายในกำหนด20 วัน ผู้ร้องทราบคำสั่งโดยชอบแล้วไม่ปฏิบัติตาม ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่รับคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องไว้ และจำหน่ายคดีของผู้ร้อง คำสั่งดังกล่าวหาใช่คำสั่งที่ไม่รับหรือให้คืนคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคสุดท้าย เนื่องจากมิใช่คำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (1) ผู้ร้องต้องทำคำคัดค้านโต้แย้งไว้เพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (2) เมื่อผู้ร้องไม่นำเงินค่าขึ้นศาลที่ต้องเสียเพิ่มมาชำระภายในเวลาที่ศาลกำหนด ถือว่าผู้ร้องเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้ เป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา174 (2)
แม้ปรากฏว่าศาลชั้นต้นใช้คำว่า "สั่งไม่รับคำร้องขัดทรัพย์" รวมอยู่ในคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้รับคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องด้วย แต่ก็ได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความไว้ด้วย ถือว่าเป็นการใช้ถ้อยคำคลาดเคลื่อน ซึ่งมีผลเป็นว่าให้จำหน่ายคดีด้วยเหตุที่ผู้ร้องทิ้งคำร้องนั่นเอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5496/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลเรื่องค่าขึ้นศาล และผลของการใช้คำสั่งระหว่างพิจารณา
เดิมศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องขัดทรัพย์โดยให้ผู้ร้องเสียค่าธรรมเนียมตามทุนทรัพย์ที่ผู้ร้องอ้างว่าเป็นราคาที่เจ้าพนักงานที่ดินประเมินไว้ก่อน ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มโดยให้คำนวณทุนทรัพย์ตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีตีราคาไว้ภายในกำหนด 20 วัน ผู้ร้องทราบคำสั่งโดยชอบแล้วไม่ปฏิบัติตาม ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่รับคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องไว้ และจำหน่ายคดีของผู้ร้องคำสั่งดังกล่าวหาใช่คำสั่งที่ไม่รับหรือให้คืนคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคสุดท้าย เนื่องจากมิใช่คำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1) ผู้ร้องต้องทำคำคัดค้านโต้แย้งไว้เพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) เมื่อผู้ร้องไม่นำเงินค่าขึ้นศาลที่ต้องเสียเพิ่มมาชำระภายในเวลาที่ศาลกำหนดถือว่าผู้ร้องเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้ เป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2) แม้ปรากฏว่าศาลชั้นต้นใช้คำว่า "สั่งไม่รับคำร้องขัดทรัพย์"รวมอยู่ในคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้รับคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องด้วย แต่ก็ได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความไว้ด้วยถือว่าเป็นการใช้ถ้อยคำคลาดเคลื่อน ซึ่งมีผลเป็นว่าให้จำหน่ายคดีด้วยเหตุที่ผู้ร้องทิ้งคำร้องนั่นเอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3148/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเรื่องบัญชีระบุพยาน เหตุมิได้ว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ และค่าขึ้นศาล
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับบัญชีระบุพยานของโจทก์และไม่อนุญาตให้โจทก์สืบพยาน เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 แม้โจทก์จะได้ยื่นคำแถลงแจ้งเหตุขัดข้องและจำเป็นที่มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนดและขอยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลชั้นต้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226(2) แล้วก็ตามแต่เมื่อโจทก์มิได้หยิบยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวมาในชั้นอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 แม้ผู้ร้องจะนำสืบพยานฝ่ายเดียว แต่ถ้าเป็นพยานที่มีน้ำหนักและเหตุผลเป็นที่เชื่อถือได้ ศาลก็ย่อมจะรับฟังพยานเช่นว่านั้นแล้ววินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทให้ผู้ร้องเป็นฝ่ายชนะคดีได้ โจทก์ฎีกาเพียงแต่ขอให้พิจารณาคดีใหม่ มิได้ฎีกาขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดี จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลสำนวนละ 200 บาท ตามตารางท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2(ข)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4069/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลฟ้องบังคับจำนอง: ศาลฎีกาตัดสินอัตราค่าขึ้นศาลที่ถูกต้องเมื่อจำเลยไม่ต่อสู้คดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอต่อศาลให้เอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์มาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้อื่น ๆ โดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา289 คำร้องดังกล่าวถือได้ว่าเป็นคำฟ้องบังคับจำนองด้วย เมื่อจำเลยผู้จำนองไม่ให้การต่อสู้คดีหรือคัดค้าน ผู้ร้องก็ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 ข้อ (1) (ค) ในอัตราร้อยละหนึ่ง แต่ไม่เกินหนึ่งแสน บาทแม้โจทก์จะได้ยื่นคำคัดค้านก็ถือว่าเป็นการโต้แย้งในชั้นบังคับคดีเท่านั้น ไม่ใช่ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการบังคับจำนองโดยตรงและถือไม่ได้ว่าคำคัดค้านเป็นคำให้การต่อสู้คดีแทนจำเลยตามความหมายของตาราง 1 ค่าขึ้นศาล แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4069/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลคำฟ้องบังคับจำนอง: ศาลฎีกาวินิจฉัยอัตราค่าขึ้นศาลที่ถูกต้องเมื่อจำเลยไม่ต่อสู้คดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอต่อศาลให้เอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์มาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้อื่น ๆ โดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา289 คำร้องดังกล่าวถือได้ว่าเป็นคำฟ้องบังคับจำนองด้วย เมื่อจำเลยผู้จำนองไม่ให้การต่อสู้คดีหรือคัดค้าน ผู้ร้องก็ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 ข้อ (1)(ค) ในอัตราร้อยละหนึ่ง แต่ไม่เกินหนึ่งแสน บาทแม้โจทก์จะได้ยื่นคำคัดค้านก็ถือว่าเป็นการโต้แย้งในชั้นบังคับคดีเท่านั้น ไม่ใช่ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการบังคับจำนองโดยตรงและถือไม่ได้ว่าคำคัดค้านเป็นคำให้การต่อสู้คดีแทนจำเลยตามความหมายของตาราง 1 ค่าขึ้นศาล แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง.
of 45