คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ค่าใช้จ่าย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 272 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 860/2477

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคืนค่าตัดสินและค่าขึ้นศาล
คืนค่าตัดสิน และค่าขึ้นศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 802/2472

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาหมั้นและการผิดสัญญาเรือนหอ: สิทธิในการเรียกร้องทองหมั้นและการคืนค่าใช้จ่าย
ฝ่ายหญิงรับทองหมั้นของชายไว้แล้วไม่แต่งงานจะยึดทองหมั้นของเขาไว้ไม่ได้ เมื่อจคืนทองหมั้นไม่ได้ต้องคืนเงิน แต่ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ลักษณพะยาน กะประเด็นข้อแพ้ชนะให้ศาลสืบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 343/2472

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดการทรัพย์สินโดยเจตนาทุจริตและการหักค่าใช้จ่ายจากกองมรดก จำเลยต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง
เข้าจัดการของเขาโดยเจตนาทุจจริตแลได้ทดรองเงินไปนั้น ตัวการไม่ต้องชดใช้เงินค่าธรรมเนียมอย่างไร จึงจะหักจากกองมฤดก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2608/2559

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการเพิกถอนคำสั่งเนื่องจากศาลอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ เจ้าหนี้ไม่จำต้องรับผิดค่าใช้จ่าย
ผู้ร้องจำเป็นต้องนำยึดทรัพย์ที่ดินพิพาทเนื่องจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหมายแจ้งไปให้ผู้ร้องดำเนินการ การที่ศาลฎีกามีคำพิพากษากลับเป็นอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่เป็นเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ร้องไม่สุจริตในการดำเนินการบังคับคดีอย่างไร อาศัยอำนาจตาม ป.วิ.พ. มาตรา 161 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 14 ที่กำหนดให้ความรับผิดชั้นที่สุดในค่าฤชาธรรมเนียมอยู่ในดุลพินิจของศาล กรณีจึงมีเหตุสมควรกำหนดให้ผู้ร้องไม่ต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายและค่าใช้จ่ายในคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3804/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดการงานนอกสั่งของอาคารชุด: สิทธิเรียกร้องค่าใช้จ่ายจากการชำระค่าส่วนกลางแทนจำเลย
จัดการงานนอกสั่งนั้น ป.พ.พ. มาตรา 395 บัญญัติว่า "บุคคลใดเข้าทำกิจการแทนผู้อื่นโดยเขามิได้ว่าขานวานใช้ให้ทำก็ดี หรือโดยมิได้มีสิทธิที่จะทำการงานนั้นแทนผู้อื่นด้วยประการใดก็ดี..." ดังนั้น บุคคลใดที่จะเข้าทำกิจการแทนผู้อื่น เช่น โจทก์เข้าไปชำระค่าใช้จ่าย ค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา แทนจำเลยนั้น เข้าทำกิจการแทนได้เลยโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าตัวการจะขอให้ทำหรือมีสิทธิทำแทนหรือไม่ ยิ่งในกรณีคดีนี้เข้าทำกิจการอันเป็นหน้าที่ตามกฎหมายของจำเลย คือเป็นการจัดการดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ.2522 มาตรา 33 และตามข้อบังคับของจำเลยและตาม ป.พ.พ. มาตรา 397 ถ้าโจทก์ไม่เข้าชำระค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้าส่วนกลาง แทนจำเลยแล้ว อาจไม่ทันท่วงทีเป็นเหตุให้ทางการไฟฟ้านครหลวงและการประปานครหลวงตัดน้ำตัดไฟของอาคารชุด การที่เข้าทำนี้ยังเข้าข้อยกเว้นไม่ต้องคำนึงว่าจะขัดกับความประสงค์ของตัวการคือจำเลย โจทก์เข้าทำได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยจะต้องการหรือไม่ และเมื่อโจทก์ทำการตามมาตรา 397 นี้แล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยชดใช้เงินอันตนได้ออกไปคืนแก่โจทก์อย่างเช่นโจทก์เป็นตัวแทนจำเลยได้ตามมาตรา 401

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1908/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รถพยาบาลเอกชนเก็บค่าบริการ ไม่ถือเป็นการรับจ้าง หากมีค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วย และไม่ได้แสวงหากำไรเกินควร
พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 9 (2) และมาตรา 30 บัญญัติให้รถพยาบาลที่มิใช่เป็นรถสำหรับรับจ้างได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมและไม่ต้องเสียภาษีประจำปีนั้น หมายความถึงรถของสถานพยาบาลที่ใช้รับส่งผู้ป่วยในกรณีฉุกเฉิน หรือรถยนต์ขนาดใหญ่ที่มีแพทย์ พยาบาล และเวชภัณฑ์พร้อมสำหรับไปรักษาผู้ป่วยในท้องถิ่นต่าง ๆ คล้ายโรงพยาบาลเคลื่อนที่ การที่โจทก์ซึ่งประกอบกิจการโรงพยาบาลเอกชนเรียกเก็บค่าบริการรถพยาบาลจากผู้ป่วยหาทำให้การใช้รถพยาบาลของโจทก์เป็นการใช้รถพยาบาลสำหรับการรับจ้างไปโดยทันทีไม่ เนื่องจากโจทก์ย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายอันเกิดจากการจัดซื้อรถพยาบาลมาใช้ในการรับส่งผู้ป่วย ค่าบำรุงรักษา ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง พนักงานขับรถ เป็นต้น เมื่อจำเลยไม่มีพยานหลักฐานใดมานำสืบหักล้างพยานโจทก์ให้เห็นได้ว่าการเรียกเก็บค่าบริการรถพยาบาลของโจทก์มีลักษณะเป็นการแสวงหากำไรในเชิงพาณิชย์จากการใช้รถพยาบาลมากกว่าเป็นการช่วยเหลือผู้ป่วย หรือโจทก์นำรถพยาบาลไปดำเนินกิจกรรมอย่างอื่นนอกเหนือจากใช้รับส่งผู้ป่วยในกรณีฉุกเฉิน จึงไม่อาจเป็นข้อแสดงให้เห็นได้ว่าโจทก์ใช้รถพยาบาลสำหรับรับจ้างอันไม่เข้าข่ายที่จะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมและค่าภาษีประจำปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13810/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีของผู้เริ่มก่อการตั้งบริษัทเรียกร้องค่าใช้จ่ายจากบริษัท กรณีจัดสรรที่ดิน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ ธ. พ. จำเลยที่ 1 ก. จำเลยที่ 3 และที่ 4 ตกลงร่วมลงทุนซื้อที่ดินเพื่อนำมาจัดสรรขาย โดยมีหลักการและข้อตกลงว่า ที่ดินที่ร่วมจัดสรรทั้งหมดมีเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ การค้าที่ดินต้องขออนุญาตจัดสรรจากราชการให้ถูกต้อง โดยต้องจัดตั้งบริษัทเพื่อดำเนินการ... หลังจากนั้นได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัท อ. และบริษัท ม. ขึ้น และโจทก์เบิกความเป็นพยานว่า โจทก์ จำเลยที่ 1 ก. จำเลยที่ 3 และที่ 4 ธ. กับ พ. ร่วมลงทุนจัดสรรที่ดินจำหน่าย โดยโจทก์ ธ. และ พ. ลงทุนด้วยเงิน ส่วนจำเลยที่ 1 และ ก. ลงทุนด้วยที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ ก. เนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ ที่ดินที่ ก. ทำสัญญาจะซื้อจะขายจาก ป. และ ท. เนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ กับที่ดินซึ่งจำเลยที่ 1 ให้ อ. กับ ว. บุตรชายถือกรรมสิทธิ์แทน สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ลงหุ้นด้วยที่ดิน ในการนี้ผู้ถือหุ้นทุกคนเห็นว่าการดำเนินการต้องทำในรูปนิติบุคคลตามระเบียบราชการ จึงจะจัดตั้งบริษัทขึ้น 2 บริษัท เพื่อดำเนินกิจการจัดสรรที่ดิน แบ่งเป็นบริษัทละไม่เกิน 500 แปลง จากคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ดังกล่าวย่อมเห็นได้ว่า การตกลงกันระหว่างโจทก์กับผู้ถือหุ้นคนอื่น ๆ ในการจัดสรรที่ดินจำหน่ายตามฟ้องนี้ มีลักษณะเป็นการตกลงกันของผู้เริ่มก่อการตั้งบริษัท หาใช่มีเจตนาร่วมกันประกอบกิจการเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนไม่ เพราะผู้ถือหุ้นทุกคนมีเจตนามาแต่แรกที่จะจัดตั้งบริษัทขึ้นเพื่อดำเนินกิจการจัดสรรที่ดิน การทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่จะนำมาจัดสรรแปลงต่างๆ จึงเป็นไปเพื่อกิจการของบริษัทที่จะจัดตั้งขึ้นมา ดังนั้นเมื่อมีการจดทะเบียนตั้งบริษัทในเวลาต่อมาตามที่ผู้เริ่มก่อการตกลงกันแล้ว บรรดานิติกรรมสัญญาต่างๆ ที่ผู้เริ่มก่อการได้ทำไว้ และค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งผู้เริ่มก่อการได้ออกไปในการเริ่มก่อตั้งบริษัท เมื่อได้ให้สัตยาบันในการประชุมตั้งบริษัทแล้วย่อมผูกพันบริษัท ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1108 (2) ผู้เริ่มก่อการคนใดออกค่าใช้จ่ายไปย่อมต้องไปว่ากล่าวเอาจากบริษัทที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามที่ตกลงกัน
ก่อนที่จะมีการจดทะเบียนตั้งบริษัท อ. และบริษัท ม. โจทก์ในฐานะผู้เริ่มก่อการบริษัทได้จ่ายเงินเป็นค่าที่ดิน ทั้งปรากฏต่อมาว่า บริษัท ม. ขออนุญาตค้าที่ดินแปลงที่ปรากฏในหนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย จึงน่าเชื่อว่ามีการให้สัตยาบันในเรื่องนี้ในที่ประชุมตั้งบริษัทแล้ว ดังนี้ บรรดาค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินมัดจำตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่ผู้เริ่มก่อการทำไว้ เมื่อบริษัทถูกจัดตั้งขึ้นแล้ว ผู้ที่ออกเงินค่าใช้จ่ายย่อมต้องไปว่ากล่าวเอาแก่บริษัททั้งสองเอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เริ่มก่อการด้วยคนหนึ่งให้คืนเงินแก่โจทก์ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3934/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจ่ายเงินค่าใช้จ่ายในการทำงาน ไม่ใช่ค่าจ้าง การย้ายงานไม่ถือเป็นการลดค่าจ้าง การเลิกจ้างเนื่องจากฝ่าฝืนคำสั่งชอบธรรม
เดิมจำเลยจ่ายเงินค่ารับรองลูกค้า ค่าน้ำมันพาหนะ และค่าโทรศัพท์ให้แก่ลูกจ้างในแผนกขายซึ่งรวมถึงโจทก์ด้วยตามยอดเงินในใบเสร็จรับเงินที่ขอเบิก ต่อมาจำเลยจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นประจำตามอัตราที่แน่นอนทุกเดือนโดยไม่ต้องมีใบเสร็จรับเงินมาแสดงอีก แสดงว่าจำเลยมีวัตถุประสงค์ในการจ่ายเงินดังกล่าวให้โจทก์เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการทำงาน ไม่ได้จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานของโจทก์โดยตรง การเปลี่ยนแปลงการจ่ายเงินเป็นไม่ต้องนำใบเสร็จรับเงินมาแสดงอีก เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงวิธีการจ่ายเงินให้สะดวกในการบริหารจัดการเท่านั้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ของการจ่ายเงิน เงินนั้นจึงไม่ใช่ค่าจ้างตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 การที่จำเลยย้ายโจทก์จากตำแหน่งผู้จัดการเขตการขายไปเป็นผู้จัดการประสานงานขายเป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้รับเงินดังกล่าวจึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยลดค่าจ้างโจทก์
จำเลยออกคำสั่งให้โจทก์ไปทำงานในตำแหน่งผู้จัดการประสานงานขาย แต่โจทก์ไม่ยอมไปทำงาน ยังคงทำงานในตำแหน่งผู้จัดการเขตการขายตามเดิม ต่อมาจำเลยมีหนังสือเตือนแล้ว จึงเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยและกระทำผิดซ้ำคำเตือน จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19355-19360/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้ขนส่งทางทะเลร่วมกัน กรณีสินค้าสูญหายเสียหาย และค่าใช้จ่ายในการค้นหาสินค้า
ใบตราส่งที่จำเลยที่ 2 ออกให้แก่ผู้ซื้อทั้งห้าราย จำเลยที่ 2 ตั้งข้อสงวนเกี่ยวกับน้ำหนักของสินค้าตาม พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 23 ไว้มีข้อความเป็นภาษาอังกฤษว่า SAID TO WEIGH และระบุน้ำหนักของสินค้าที่ผู้ซื้อทั้งห้าราย สั่งซื้อตรงกับที่ระบุไว้ในใบกำกับสินค้าของผู้ซื้อแต่ละรายอันแสดงว่าจำเลยที่ 2 ได้รับแจ้งจากบริษัท น. ผู้ส่งสินค้าถึงน้ำหนักของสินค้าของผู้ซื้อแต่ละรายที่บรรทุกลงในระวางเรือบรรทุกสินค้า ซึ่งโดยผลของมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว โจทก์มีภาระการพิสูจน์ว่าผู้ส่งสินค้าได้ส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลยที่ 2 ตามจำนวนน้ำหนักที่แจ้งให้จำเลยที่ 2 ระบุไว้ในใบตราส่งดังกล่าว เมื่อผู้ส่งสินค้าได้แสดงใบรับรองน้ำหนักของสินค้าโดยบริษัท ธ. ซึ่งทำการตรวจสอบน้ำหนักของสินค้าของผู้ซื้อแต่ละรายด้วยเครื่องชั่งก่อนที่จะนำสินค้าบรรทุกสินค้าพร้อมออกใบรับรองไว้ โดยฝ่ายจำเลยทั้งสี่มิได้นำสืบหักล้างเอกสารดังกล่าว คงมีแต่พยานจำเลยที่ 3 มาเบิกความลอยๆ เป็นเพียงความเห็นและการสันนิษฐานเท่านั้น ย่อมไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างใบรับรองน้ำหนักของสินค้าดังกล่าวได้
สำหรับค่าใช้จ่ายในการค้นหาสินค้าขาดจำนวน เมื่อความรับผิดของผู้ขนส่งสินค้าทางทะเลในความเสียหายของสินค้าที่ตนรับขนส่งต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ.2534 มาตรา 39 วรรคหนึ่ง ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวย่อมไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายในการค้นหาสาเหตุที่สินค้าสูญหายด้วย เพราะเป็นค่าเสียหายของโจทก์ซึ่งเกิดขึ้นจากสัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์กับผู้เอาประกันภัยแต่ละรายไม่เกี่ยวกับผู้ขนส่ง จำเลยที่ 2 ผู้ขนส่งจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้แก่โจทก์
แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ผู้ประกอบกิจการรับขนสินค้าระหว่างประเทศและเป็นเจ้าของเรือบรรทุกสินค้า ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ทำสัญญารับขนส่งสินค้ากับผู้ขายหรือผู้ส่งสินค้าหรือร่วมกับจำเลยที่ 2 ออกใบตราส่ง แต่การที่จำเลยที่ 1 นำเรือของตนมารับขนส่งสินค้าโดยมิได้นำสืบพยานหลักฐานว่าไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 เพราะเหตุใดเนื่องจากขาดนัดยื่นคำให้การ คงมีเพียงรายการสำแดงทั่วไปของเรือระบุว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของเรือบรรทุกสินค้ามีจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนเจ้าของเรือ โดยมิได้ระบุชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าเรือหรือเป็นผู้ดำเนินการ อันถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เช่าเรือบรรทุกสินค้าจากจำเลยที่ 1 และเป็นการเช่าประเภทเสมือนผู้เช่าเป็นเจ้าของเรือ (Chatrer Party by Demise) ที่เจ้าของเรือได้โอนการครอบครองและการควบคุมตลอดจนอำนาจสั่งการให้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ขนส่งสินค้าพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16748/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม: การรับรู้รายได้และค่าใช้จ่าย, ข้อจำกัดเครดิตภาษี, และเหตุงดเบี้ยปรับ
บริษัทตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมซึ่งได้รับสัมปทานหรือมีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทานมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้เป็นรายรอบระยะเวลาบัญชีของกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการปิโตรเลียมและยังมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ของเงินกำไรที่เหลือจากการชำระภาษีเงินได้เป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี หรือเงินประเภทอื่นใดที่กันไว้จากกำไรดังกล่าว หรือที่ถือว่าเป็นเงินกำไรดังกล่าว เฉพาะจำนวนที่จำหน่ายออกนอกราชอาณาจักรและจะได้รับเครดิตสำหรับปิโตรเลียมที่ผลิตได้เพื่อใช้ในราชอาณาจักรเป็นจำนวนเงินตามอัตราของยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมหรือมูลค่าของปิโตรเลียมที่จำหน่ายหรือมูลค่าของปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวงตามมาตรา 65 นว วรรคหนึ่ง ทั้งการได้เครดิตหรือไม่ เพียงใดยังต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดตามมาตรา 65 นว วรรคท้าย กล่าวคือ เครดิตที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีใด จะมีได้เป็นจำนวนเท่าที่ไม่เกินภาษีเงินได้เป็นรายรอบระยะเวลาบัญชีและภาษีเงินได้ของเงินกำไรที่เหลือจากการชำระภาษีเงินได้ที่เป็นรายรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวสำหรับกำไรที่ได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นและเครดิตที่จะนำมาหักในรอบระยะเวลาบัญชีใด จะต้องไม่เกินภาษีเงินได้ของเงินกำไรที่เหลือจากการชำระภาษีเงินได้ที่เป็นรายรอบระยะเวลาบัญชีนั้นด้วย การที่โจทก์จะได้รับเครดิตตามมาตรา 65 นว วรรคหนึ่ง หรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาทั้งตามมาตรา 65 นว วรรคหนึ่ง รวมกับข้อจำกัดตามมาตรา 65 นว วรรคสอง ประกอบกัน ซึ่งการจะทราบจำนวนเครดิตที่เกิดขึ้นดังกล่าวได้ ก็ต่อเมื่อมีการคำนวณกำไรหรือขาดทุนสุทธิเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี เพื่อให้ทราบว่าโจทก์มีภาษีเงินได้เป็นรายรอบระยะเวลาบัญชีและมีเงินกำไรที่เหลือจากการชำระภาษีเงินได้เป็นรายรอบระยะเวลาบัญชีตามมาตรา 65 จัตวา เสียก่อน และเครดิตที่เกิดขึ้นจะนำมาหักในรอบระยะเวลาบัญชีใด ต้องใช้บังคับแก่กำไรสุทธิที่ต้องเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียมสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีนั้นเท่านั้น
of 28