คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฎีกาต้องห้าม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 496 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 880/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขับไล่ที่เช่าซึ่งมีค่าเช่าไม่เกิน 5,000 บาท และจำเลยไม่ได้โต้แย้งเรื่องกรรมสิทธิ์หรือสัญญา ทำให้ฎีกาต้องห้าม
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทซึ่งขณะยื่นฟ้องมีค่าเช่า ไม่เกินเดือนละห้าพันบาท และจำเลยมิได้กล่าวแก้ เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิอยู่บนที่พิพาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 ที่จำเลยฎีกาเรื่องอำนาจฟ้องว่าเจ้าของที่ดินมิได้ต่อสัญญาเช่าแก่โจทก์โจทก์อยู่ในที่ดินอย่างละเมิดเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายการเถียงข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยุติและต้องห้ามฎีกาเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย มีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 880/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ฎีกาเรื่องอำนาจฟ้อง หากข้ออ้างต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่ต้องห้าม
คดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แม้จำเลยฎีกาเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่เมื่อข้ออ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยจำต้องอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทตามสัญญาเช่าหรือไม่ซึ่งเป็นที่ยุติและต้องห้ามฎีกา เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลย จึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 872/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: คดีขับไล่และค่าเสียหาย ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น ฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยละเมิดปลูกสร้างร้านค้าและที่อยู่อาศัยของจำเลยในที่ดินพิพาทของโจทก์ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยรื้อถอนร้านค้าและที่อยู่อาศัยออกไปจากที่ดินพิพาท ซึ่งถ้าหากให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่น้อยกว่าเดือนละ 500 บาท จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลภายนอก จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลในกรณีอื่นออกจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท และจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นจึงห้ามคู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 859/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การยกข้อเท็จจริงขัดแย้งกับคำให้การเดิมในศาลชั้นต้น
การที่จำเลยฎีกาโดยอ้างสิทธิในที่พิพาทว่ายังเป็นทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้มีการแบ่งปันกัน ต้องถือว่า ทายาทมีสิทธิครอบครองร่วมกันและแทนกันตลอดทั้งแปลงนั้น เป็นการฎีกาโดยยกข้อเท็จจริงที่ขัดกับคำให้การของจำเลยซึ่งไม่มีประเด็นจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ทั้งมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 859/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การฎีกาขัดกับคำให้การเดิมในประเด็นกรรมสิทธิ์ที่ดิน
จำเลยให้การว่า จำเลยและภริยาจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยตกลงแบ่งการครอบครองกับทายาทอื่นเป็นสัดส่วนและด้วยการครอบครองปรปักษ์ แต่ที่จำเลยฎีกาว่า ที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกยังมิได้แบ่งปันกัน ถือว่าทายาทมีสิทธิครอบครองร่วมกันและแทนกันตลอดทั้งแปลงเป็นฎีกาที่ขัดกับคำให้การซึ่งไม่มีประเด็นและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6553/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: โต้เถียงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกฎหมายต่างประเทศและการรับฟังพยานหลักฐาน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำคุกจำเลย4 เดือน ปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้ 2 ปีคดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ร่วมเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของเมืองฮ่องกงหรือไม่ ทั้งโต้เถียงกฎหมายอื่น ๆ ของต่างประเทศนอกจากนั้นยังโต้เถียงว่าพยานบุคคลและพยานเอกสารของฝ่ายโจทก์รับฟังไม่ได้ พยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด หรือยังมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำผิดหรือไม่นั้น เป็นการโต้เถียงถึงปัญหาข้อเท็จจริงที่คู่ความต้องนำสืบเกี่ยวกับกฎหมายของต่างประเทศและโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอันต้องห้ามตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 565/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในข้อเท็จจริง ทำให้ศาลไม่วินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับการขาดนัด
ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยที่ว่า ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยโดยมิได้ทำการไต่สวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21 เสียก่อนเป็นการไม่ชอบนั้น เมื่อฎีกาของจำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงเสียแล้ว ฎีกาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5302/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: การโต้เถียงดุลพินิจศาลอุทธรณ์
แม้จำเลยทั้งสามจะฎีกาอ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานผิดไปจากสำนวน และมิได้วินิจฉัยว่าจำเลยคนใดกระทำความผิด เพราะจำเลยทั้งสามนำสืบปฏิเสธว่าไม่ทราบว่ามีไม้ของกลางบรรทุกบนรถยนต์คันเกิดเหตุนั้น แต่ฎีกาจำเลยทั้งสามล้วนเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยทั้งสามไม่เกินคนละห้าปี ต้องห้ามฎีกาตามป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3436/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี, ข้อเท็จจริง, ดุลพินิจศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลยเป็นการแก้ไขเล็กน้อยเมื่อศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก จำเลยฎีกาว่า ส. ภริยาจำเลยซึ่งเป็นบุตรของผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยเอาสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายไปจำนำแก่ ค. การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานยักยอกมิใช่ความผิดฐานลักทรัพย์และสัญญายอมใช้ค่าเสียหายระหว่าง จ. บิดาจำเลยกับผู้เสียหายเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความสิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไปเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้นก็เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังนี้ ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2182/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม - สัญญาค้ำประกัน - การปรับตามสัญญา - การรับสภาพหนี้
จำเลยที่ 2 ไม่ได้ยกปัญหาคำสั่งศาลให้ปิดหมายเรียกไม่ชอบขึ้นว่ามาในศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาต้องห้าม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง การวินิจฉัยข้อกฎหมายศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาจากพยานหลักฐานในสำนวน จำเลยที่ 1 ทำสัญญาลาไปศึกษาและดูงานกับโจทก์ว่าต้องกลับมาปฏิบัติงานไม่น้อยกว่า 5 เท่า ของระยะเวลาที่ลามิฉะนั้นยอมชดใช้เงินคืน 5 เท่า ของเงินที่รับไป จำเลยที่ 1กลับมาปฏิบัติงานให้โจทก์ไม่ครบถ้วน โจทก์คิดค่าปรับตามสัญญาแล้วหักเงินที่จำเลยที่ 1 มีสิทธิจะได้รับจากโจทก์ส่วนจำนวนที่ยังไม่ครบค่าปรับได้ให้จำเลยที่ 1 รับสภาพหนี้ไว้นั้นมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
of 50