พบผลลัพธ์ทั้งหมด 507 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1355/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทจากการยึดถือครอบครองโดยเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของ ทำให้จำเลยมีสิทธิฎีกาได้
แม้ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดิน น.ส.3 ที่โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่าเป็นของโจทก์จะมีราคาเพียง 25,000 บาท และการที่โจทก์ขอให้จำเลยทั้งเจ็ดรื้อถอนเขื่อนที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 สมคบกันบุกรุกเข้าไปสร้างในนามของจำเลยที่ 1 โดยละเมิดออกไปจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายจากการละเมิด 5,000 บาท จะเป็นคดีที่มีราคาทรัพย์สินที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท และเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลในกรณีอื่นออกจากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละห้าพันบาทก็ตาม แต่ก็ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ได้ให้การไว้ด้วยว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ได้เข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาให้จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของเป็นเวลากว่า 1 ปีแล้วโจทก์ไม่โต้แย้ง จำเลยที่ 1 จึงได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทอันเป็นการกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1แล้ว จำเลยที่ 1 จึงมิต้องห้ามไม่ให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 120/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินพิพาท การเพิกถอนนิติกรรมโอนมรดก และอำนาจของศาลในการบังคับเจ้าพนักงานที่ดิน
ที่โจทก์ฟ้องขอให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองแต่ผู้เดียวใน น.ส.3 ที่พิพาทเป็นคำขอเพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนที่พิพาทเป็นของโจทก์ แต่เจ้าพนักงานที่ดินเป็นบุคคลภายนอก และกรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่ให้คำพิพากษาของศาลมีผลผูกพันบุคคลภายนอกที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 ศาลจึงไม่อาจสั่งเพื่อบังคับเจ้าพนักงานที่ดินให้กระทำการตามที่โจทก์ประสงค์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 795/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินต่อเนื่องและการฟ้องแย่งการครอบครองเกิน 1 ปี ไม่ขาดอายุความ
ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์ครอบครองตลอดมา การที่จำเลยไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทจึงเป็นเพียงการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ เมื่อจำเลยไม่ได้เข้าไปแย่งการครอบครองที่พิพาท แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยหลังจากจำเลยขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เกินกว่า 1 ปี โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องจำเลยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 777/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินพิพาท: การซื้อขายที่ดิน, ครอบครองปรปักษ์, และภารจำยอม ต้องยกฟ้องหากมิได้บรรยายฟ้องตามประเด็น
ในคดีที่โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยได้กระทำการต่าง ๆ ในที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจากผู้มีชื่อเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์นั้น เมื่อปรากฏว่าที่ดินที่โจทก์ซื้อมาเป็นที่ดินที่จำเลยยังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ โจทก์จึงไม่อาจเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้เพราะการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำในที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง แม้โจทก์จะมีคำขอท้ายฟ้องไว้ในเรื่องทางภารจำยอมด้วยก็ตามแต่เมื่อโจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้ว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ และได้ภารจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และมาตรา 1401ตามลำดับแล้ว การกำหนดประเด็นข้อพิพาทและการนำสืบในประเด็นดังกล่าวย่อมเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น ศาลฎีกามิอาจวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวและพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 70/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเหนือที่ดิน: การจดทะเบียนซื้อขายซ้ำและการครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ผู้ครอบครองมีสิทธิดีกว่า
ม.ได้จดทะเบียนขายที่ดินพิพาทให้แก่บิดาโจทก์ในวันเดียวกับที่ทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ แล้วฝ่ายโจทก์ก็เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา ต่อมาม.ได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซ้ำในที่ดินพิพาทที่ได้ขายให้แก่บิดาโจทก์ไปแล้ว และจดทะเบียนขายให้แก่จำเลยในวันเดียวกับที่ทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับหลังให้ ซึ่งม.ไม่มีสิทธิที่จะกระทำได้ จำเลยซึ่งได้รับโอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับหลังมาจากม. จึงไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาท โจทก์ครอบครองที่พิพาทและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งมีชื่อบิดาโจทก์อยู่จำเลยนำสืบไม่ได้ว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตราบใดที่โจทก์ครอบครองและถือสิทธิตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์อยู่โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ย่อมมีสิทธิดีกว่าผู้อื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในข้อเท็จจริง: คดีขับไล่ที่ดินพิพาทที่ศาลล่างพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงต้องกัน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท ซึ่งในขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละห้าพันบาท และจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์โดยฟังว่าที่พิพาทเป็นของ ท. ให้จำเลยเข้าปลูกบ้าน โจทก์ฎีกาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5709/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีพิพาทที่ดิน: การโต้แย้งสิทธิเดิม และการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอผ่อนผันแจ้งการครอบครองเพื่อขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ต่อที่ดินอำเภอในที่พิพาทต่อมาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ซึ่งดำรงตำแหน่งนายอำเภอ ที่ดินอำเภอ และปลัดอำเภอตามลำดับเป็นผู้รับผิดชอบและมีอำนาจออกเอกสารใบจอง หนังสือรับรองการทำประโยชน์และทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินในเขตอำนาจ ย่อมทราบดีว่าที่ดินแปลงใดเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าหรือไม่ ได้ร่วมกันดำเนินการจัดสรรออกใบจอง และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับที่พิพาทให้จำเลยที่ 4 กับทำนิติกรรมโอนขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 4 กับที่ 6ถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยโดยไม่จำต้องฟังผลคำพิพากษาอีกคดีหนึ่งว่าใครเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท
ปัญหาว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ ศาลได้มีคำพิพากษาในประเด็นข้อนี้แล้วว่าไม่เป็นฟ้องซ้อน ปัญหาข้อนี้จึงยุติ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยที่ 4 บางส่วนได้ออกทับที่ดินของโจทก์ เป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์คลาดเคลื่อนอันกระทบกระเทือนสิทธิของโจทก์ในส่วนที่ไม่ถูกต้องเท่านั้น ซึ่งสามารถแก้ไขให้ถูกต้องตามความเป็นจริงได้ โจทก์จะขอให้เพิกถอนทั้งหมดหาได้ไม่
ปัญหาว่า ที่พิพาทคดีนี้เป็นคนละแปลงกับที่ดินซึ่งศาลพิพากษาว่าเป็นที่ของโจทก์ในอีกคดีหนึ่งนั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
ปัญหาว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ ศาลได้มีคำพิพากษาในประเด็นข้อนี้แล้วว่าไม่เป็นฟ้องซ้อน ปัญหาข้อนี้จึงยุติ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การที่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยที่ 4 บางส่วนได้ออกทับที่ดินของโจทก์ เป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์คลาดเคลื่อนอันกระทบกระเทือนสิทธิของโจทก์ในส่วนที่ไม่ถูกต้องเท่านั้น ซึ่งสามารถแก้ไขให้ถูกต้องตามความเป็นจริงได้ โจทก์จะขอให้เพิกถอนทั้งหมดหาได้ไม่
ปัญหาว่า ที่พิพาทคดีนี้เป็นคนละแปลงกับที่ดินซึ่งศาลพิพากษาว่าเป็นที่ของโจทก์ในอีกคดีหนึ่งนั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5380/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันเมื่อผลรังวัดเป็นไปตามข้อตกลง และเป็นเหตุให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยบุกรุกที่พิพาทต่อมาโจทก์จำเลยบันทึกตกลงกันให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตหากที่พิพาทอยู่นอก น.ส.3ก. ของจำเลย จำเลยยอมยกที่พิพาทให้โจทก์ผลการรังวัดที่พิพาทอยู่นอก น.ส.3ก. ของจำเลย จำเลยไม่ยอมออกจากที่พิพาท อ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ดังนี้ ประเด็นแห่งคดีมีว่าข้อตกลงตามบันทึกดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่
ตามบันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยมีข้อความว่า หากที่พิพาทอยู่นอก น.ส.3ก. ของจำเลย จำเลยยอมยกที่พิพาทให้โจทก์ ดังนี้ข้อความดังกล่าวเป็นการระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับที่พิพาท เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850
คำให้การจำเลยไม่ปรากฏว่า จำเลยได้ให้การว่าได้แย่งการครอบครองที่พิพาทจากโจทก์ จึงไม่มีประเด็นเรื่องกำหนดเวลาการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375.
ตามบันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยมีข้อความว่า หากที่พิพาทอยู่นอก น.ส.3ก. ของจำเลย จำเลยยอมยกที่พิพาทให้โจทก์ ดังนี้ข้อความดังกล่าวเป็นการระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับที่พิพาท เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850
คำให้การจำเลยไม่ปรากฏว่า จำเลยได้ให้การว่าได้แย่งการครอบครองที่พิพาทจากโจทก์ จึงไม่มีประเด็นเรื่องกำหนดเวลาการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5332/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินพิพาท: ศาลต้องสืบพยานเพื่อพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่แท้จริงก่อนตัดสิน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินน.ส.3 ก. เลขที่ 1206 ของโจทก์ซึ่งซื้อจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดิน น.ส.3 ก.เลขที่ 993 ซึ่งจำเลยซื้อจากเจ้าของที่ดินเดิมและครอบครองต่อจากเจ้าของที่ดินเดิม น.ส.3 ก. ของโจทก์ออกภายหลัง เฉพาะตรงที่พิพาททับที่ดินจำเลย โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่พิพาท โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองซึ่งหมายความว่า ที่ดินตาม น.ส.3 ก. ของจำเลยเป็น น.ส.3 ก. ที่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เคยมีการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล โจทก์จะอ้างสิทธิว่าเป็นที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลไม่ได้ ซึ่งโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าน.ส.3ก.ของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะออกทับ น.ส.3ก. ของโจทก์ข้อเท็จจริงยังไม่เป็นที่ยุติทางใดทางหนึ่ง และตามฟ้องโจทก์ไม่ได้กล่าวหาว่าจำเลยรู้ถึงการขายทอดตลาดที่ดินน.ส.3ก.ของโจทก์ ซึ่งมีอาณาเขตมาทับที่ดินตาม น.ส.3ก.ของจำเลย จำเลยจึงไม่ได้ไปร้องขัดทรัพย์หรือไปคัดค้านการขายทอดตลาด อันเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วฟังว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาทจึงไม่ชอบ
จำเลยขอเพิ่มประเด็นว่า ที่พิพาทได้มาโดยสุจริตหรือไม่เพียงใดปรากฏว่าจำเลยให้การไว้ตอนแรกว่า "โจทก์บกพร่องไม่สืบเรื่องราวก่อนซื้อว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ชอบที่จะไปร้องขอคืนเงินจากกองพิทักษ์ทรัพย์..."ซึ่งหมายความว่าโจทก์ไม่ทราบว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยชอบ เพราะความบกพร่องของโจทก์ที่ไม่สืบเรื่องราวก่อนซื้อ แต่ในตอนต่อมาจำเลยกล่าวในคำให้การว่า "โจทก์ทราบดีว่าที่ดินเป็นของจำเลยโดยชอบ โจทก์ได้ร้องต่อผู้อำนวยการกองพิทักษ์ทรัพย์บังคับคดีล้มละลาย กรมบังคับคดีให้กันค่าขายที่ดินไว้ก่อน..." จึงเป็นคำให้การที่ขัดกันเองในตัวไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีประเด็นที่จะสืบในเรื่องความสุจริตของโจทก์ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง ของจำเลยข้อนี้ชอบแล้ว
จำเลยขอเพิ่มประเด็นว่า ที่พิพาทได้มาโดยสุจริตหรือไม่เพียงใดปรากฏว่าจำเลยให้การไว้ตอนแรกว่า "โจทก์บกพร่องไม่สืบเรื่องราวก่อนซื้อว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ชอบที่จะไปร้องขอคืนเงินจากกองพิทักษ์ทรัพย์..."ซึ่งหมายความว่าโจทก์ไม่ทราบว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยชอบ เพราะความบกพร่องของโจทก์ที่ไม่สืบเรื่องราวก่อนซื้อ แต่ในตอนต่อมาจำเลยกล่าวในคำให้การว่า "โจทก์ทราบดีว่าที่ดินเป็นของจำเลยโดยชอบ โจทก์ได้ร้องต่อผู้อำนวยการกองพิทักษ์ทรัพย์บังคับคดีล้มละลาย กรมบังคับคดีให้กันค่าขายที่ดินไว้ก่อน..." จึงเป็นคำให้การที่ขัดกันเองในตัวไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีประเด็นที่จะสืบในเรื่องความสุจริตของโจทก์ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง ของจำเลยข้อนี้ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4911/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำนองที่ดินพิพาทเป็นโมฆะ ผู้รับจำนองไม่มีอำนาจยึด น.ส.3 ต้องส่งมอบให้ผู้ครอบครองที่แท้จริง
เมื่อการจำนองที่ดินพิพาทระหว่าง ล.เจ้าของเดิมผู้จำนองกับจำเลยที่ 1ผู้รับจำนองไม่มีผลตามกฎหมายเสียแล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีอำนาจที่จะยึด น.ส.3 สำหรับที่ดินพิพาทไว้ได้ ต้องส่งมอบแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทที่แท้จริง