พบผลลัพธ์ทั้งหมด 308 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1461/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: การฟ้องขับไล่ซ้ำในประเด็นกรรมสิทธิ์เดียวกันที่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดี
คดีก่อน โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาทของโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยเป็นผู้ออกทุนทรัพย์ปลูกสร้างตึกพิพาทในที่ดินของโจทก์และจำเลยยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ตึกพิพาทให้โจทก์ ตึกพิพาทยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่ากรรมสิทธิ์ตึกพิพาทตกเป็นของโจทก์แล้วแต่สัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยยังไม่ครบกำหนด โจทก์ยังไม่ครบกำหนด โจทก์ยังไม่มีอำนาจพ้องพิพากษายกฟ้องจำเลยอุทธรณ์ว่ากรรมสิทธิ์ในตึกพิพาทเป็นของจำเลย ขณะที่คดีก่อนอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ก็มาฟ้องคดีใหม่ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารโดยอ้างว่าสัญญาเช่าครบกำหนดแล้ว จำเลยคงต่อสู้เช่นเดิมว่าตึกพิพาทเป็นของจำเลย ดังนี้ ทั้งสองคดีย่อมมีประเด็นอย่างเดียวกันว่าตึกพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย การที่โจทก์มาฟ้องคดีใหม่จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 91/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีซ้ำในหนี้เดียวกัน: การฟ้องล้มละลายหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วไม่ถือเป็นฟ้องซ้อน
โจทก์เคยฟ้องคดีแพ่งถึงที่สุดไปแล้ว ศาลชี้ขาดว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ ต่อมาโจทก์ฟ้องคดีในหนี้รายเดียวกันว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวควรตกเป็นบุคคลล้มละลายเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการฟ้องซ้อน หรือฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9066/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน-ระงับสิทธิ: คดีร้านวีดิทัศน์ไม่ได้รับใบอนุญาต แม้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ฟ้องซ้ำเป็นฟ้องซ้อน
โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในความผิดฐานจัดตั้งและประกอบกิจการร้านวีดิทัศน์โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน ตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 มาตรา 82 ประกอบมาตรา 53 วรรคหนึ่ง ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง รวม 3 คดี เมื่อสถานที่เกิดเหตุทั้งสามคดีเป็นสถานที่เดียวกัน คือโรงแรมของจำเลย โดยที่ฐานความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยในทั้งสามคดีเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 มาตรา 82 ประกอบมาตรา 53 วรรคหนึ่ง ฐานจัดตั้งหรือประกอบกิจการร้านวีดิทัศน์โดยทำเป็นธุรกิจหรือได้รับประโยชน์ตอบแทนซึ่งมีสาระสำคัญขององค์ประกอบความผิดอยู่ที่การไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนอันเดียวกัน ข้อเท็จจริงแห่งการกระทำความผิดตามที่โจทก์บรรยายฟ้องจึงเป็นเรื่องเดียวกัน ดังนี้ เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้ขณะที่คดีหมายเลขแดงที่ อ. 1019/2558 ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันอยู่ในระหว่างพิจารณา ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีดังกล่าว ต้องห้ามตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 และ ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังได้ความว่า ต่อมาคดีหมายเลขแดงที่ อ. 4674/2557 และคดีหมายเลขแดงที่ อ. 1019/2558 ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้ว เมื่อความผิดของจำเลยในคดีนี้อาศัยข้อเท็จจริงอันเดียวกันกับคดีดังกล่าวซึ่งถึงที่สุดแล้ว กรณีถือว่าได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้อง ศาลไม่อาจมีการพิจารณาพิพากษาความผิดในคดีนี้ของจำเลยซ้ำอีกได้ เพราะสิทธินำคดีอาญาในข้อหาความผิดดังกล่าวของโจทก์ระงับสิ้นไปตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 879/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: คดีเดิมและคดีใหม่มีประเด็นข้อพิพาทและคู่ความเดียวกัน แม้มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
คดีก่อนโจทก์ที่ 1 ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 แต่ละคนให้ออกจากที่ดินพิพาท คดีทั้งสามอยู่ระหว่างการพิจารณา โจทก์ทั้งสองได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสี่เป็นคดีนี้ แม้โจทก์ที่ 2 ไม่ได้เป็นโจทก์ฟ้องในทั้งสามคดีดังกล่าว แต่โจทก์ทั้งสองมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทร่วมกัน การที่โจทก์ที่ 1 ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นการที่เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ ใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1359 ถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิฟ้องคดีแทนโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมด้วย จึงถือว่าโจทก์ที่ 2 เป็นโจทก์ในคดีก่อน ส่วนจำเลยที่ 4 ได้เข้าเป็นจำเลยร่วมในทั้งสามคดีตามที่จำเลยแต่ละคดีขอให้ศาลมีหมายเรียก ซึ่งมีผลให้จำเลยที่ 4 ในฐานะจำเลยร่วมอาจถูกบังคับตามคำฟ้องได้ มีผลเท่ากับว่าจำเลยที่ 4 ถูกฟ้องเป็นจำเลยทั้งสามคดีด้วย จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 4 ได้เข้าเป็นคู่ความในทั้งสามคดีดังกล่าวแล้วเช่นกัน ดังนั้น คู่ความในคดีนี้กับคู่ความในคดีทั้งสามจึงเป็นคู่ความเดียวกัน เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน และจำเลยทั้งสี่ให้การต่อสู้ทำนองเดียวกันกับคดีทั้งสามว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เช่าจากจำเลยที่ 4 ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้กับคดีทั้งสามจึงมีอย่างเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองหรือเป็นของจำเลยที่ 4 โจทก์คดีก่อนอาจเรียกค่าเสียหายอย่างที่เรียกคดีนี้ได้จากคดีก่อนอยู่แล้ว การที่โจทก์ทั้งสองนำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีนี้ในระหว่างที่คดีทั้งสามยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล อันเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันอีก ฟ้องโจทก์ทั้งสองจึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีทั้งสาม ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2672/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน ทายาทโดยธรรม ทรัพย์มรดก การครอบครองปรปักษ์ อายุความ การแบ่งทรัพย์สิน
คดีก่อน โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้แบ่งทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ในฐานะทายาทโดยธรรม แม้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งเงินฝากในธนาคารต่าง ๆ และที่ดิน แต่สำหรับเงินฝากทั้งเจ็ดบัญชีในคดีนี้ เป็นคนละส่วนกับเงินฝากในคดีดังกล่าว ประกอบกับโจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบว่า จำเลยได้ปิดบังไม่แจ้งให้โจทก์ในฐานะทายาททราบว่ามีบัญชีเงินฝากทั้งเจ็ดบัญชีดังกล่าวอยู่ก่อนที่โจทก์จะได้ยื่นฟ้องจำเลยในคดีก่อน โดยจำเลยก็ไม่ได้ให้การต่อสู้หรือนำสืบหักล้างว่าโจทก์ได้ทราบมาก่อนหน้านั้นแล้วว่าบัญชีเงินฝากต่าง ๆ ที่โจทก์ขอแบ่งในคดีนี้นั้น โจทก์ทราบอยู่แล้วว่ามีอยู่ก่อนที่จะฟ้องคดีก่อน จึงต้องรับฟังว่า โจทก์เพิ่งทราบความมีอยู่ของเงินฝากทั้งเจ็ดบัญชีตามฟ้อง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกร้องให้จำเลยแบ่งเงินในบัญชีเงินฝากทั้งเจ็ดบัญชีดังกล่าวได้ ไม่เป็นฟ้องซ้อน
ตามคำให้การของจำเลยในข้อ 1 กล่าวอ้างว่า เจ้ามรดกยกกรรมสิทธิ์ของเงินฝากตามบัญชีเงินฝากทั้งเจ็ดบัญชีให้แก่จำเลยแล้ว แต่ในข้อ 2 จำเลยกลับกล่าวอ้างว่า จำเลยครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์ในเงินฝากตามบัญชีทั้งเจ็ดบัญชีแล้ว จึงเป็นคำให้การที่ขัดแย้งกันเอง คำให้การของจำเลยในส่วนนี้ไม่ชัดแจ้ง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็น แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อนี้ไว้ก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
โจทก์ไม่เคยทราบถึงเรื่องที่จำเลยเป็นผู้ครอบครองดูแลเงินฝากตามบัญชีทั้งเจ็ดบัญชี ประกอบกับระหว่างที่มีการประชุมทายาทเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก จำเลยเคยพูดยอมรับว่า ทรัพย์มรดกที่ตนเองครอบครองนั้นครอบครองไว้แทนทายาทคนอื่น ๆ โจทก์ในฐานะทายาทโดยธรรมจึงมีสิทธิเรียกร้องให้แบ่งเงินในบัญชีเงินฝากทั้งเจ็ดบัญชีตามฟ้องได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1748 วรรคหนึ่ง แม้จะยื่นฟ้องเกินกว่า 1 ปี นับแต่ทราบว่าเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ
ตามคำให้การของจำเลยในข้อ 1 กล่าวอ้างว่า เจ้ามรดกยกกรรมสิทธิ์ของเงินฝากตามบัญชีเงินฝากทั้งเจ็ดบัญชีให้แก่จำเลยแล้ว แต่ในข้อ 2 จำเลยกลับกล่าวอ้างว่า จำเลยครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์ในเงินฝากตามบัญชีทั้งเจ็ดบัญชีแล้ว จึงเป็นคำให้การที่ขัดแย้งกันเอง คำให้การของจำเลยในส่วนนี้ไม่ชัดแจ้ง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็น แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อนี้ไว้ก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
โจทก์ไม่เคยทราบถึงเรื่องที่จำเลยเป็นผู้ครอบครองดูแลเงินฝากตามบัญชีทั้งเจ็ดบัญชี ประกอบกับระหว่างที่มีการประชุมทายาทเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก จำเลยเคยพูดยอมรับว่า ทรัพย์มรดกที่ตนเองครอบครองนั้นครอบครองไว้แทนทายาทคนอื่น ๆ โจทก์ในฐานะทายาทโดยธรรมจึงมีสิทธิเรียกร้องให้แบ่งเงินในบัญชีเงินฝากทั้งเจ็ดบัญชีตามฟ้องได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1748 วรรคหนึ่ง แม้จะยื่นฟ้องเกินกว่า 1 ปี นับแต่ทราบว่าเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10431/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องร้องค่าเสียหายจากการสูญเสียการได้ยินเนื่องจากสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่ปลอดภัย ไม่ถือเป็นฟ้องซ้อนคดีเลิกจ้าง
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพร้อมกับมีคำขอเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม อ้างเหตุว่าโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด โจทก์ทำงานให้แก่จำเลยจนต้องสูญเสียแก้วหูในส่วนของการได้ยินทั้งสองข้าง การหางานทำใหม่เป็นเรื่องยากเพราะไม่มีบริษัทไหนต้องการรับคนพิการเข้าทำงาน และขณะถูกเลิกจ้างโจทก์มีอายุมาก อันเป็นค่าเสียหายที่มีมูลหนี้หรือสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับการเลิกจ้าง ส่วนคดีนี้ในประเด็นที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่โจทก์เจ็บป่วยต้องสูญเสียโสตประสาทการได้ยินทั้งสองข้างอันเนื่องจากจำเลยกระทำละเมิดโดยจงใจละเลยไม่จัดสถานที่ทำงานให้เหมาะสม ไม่จัดหาอุปกรณ์ป้องกันเสียง และไม่จัดฝึกอบรมเรื่องความปลอดภัยตามกฎหมาย อันเป็นค่าเสียหายที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเมื่อโจทก์ปฏิบัติงานให้แก่จำเลย ซึ่งจำเลยในฐานะนายจ้างมีหน้าที่ดำเนินการในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน จึงเป็นสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ต่างรายกัน มิใช่เรื่องเดียวกันกับคดีก่อน คำฟ้องคดีนี้ในประเด็นที่โจทก์เรียกค่าเสียหายจากการที่โจทก์เจ็บป่วยต้องสูญเสียโสตประสาทการได้ยินทั้งสองข้างจึงไม่ใช่ฟ้องซ้อนกับคดีก่อนข้างต้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายดังกล่าวได้ และคดีต้องมีการฟังข้อเท็จจริงในประเด็นที่โจทก์เรียกค่าเสียหายจากการที่โจทก์เจ็บป่วยต้องสูญเสียโสตประสาทการได้ยินทั้งสองข้างต่อไป เห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 56 วรรคสองและวรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9704/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: คดีเพิกถอนพินัยกรรมซ้ำกับคดีตั้งผู้จัดการมรดก
คดีก่อนโจทก์ซึ่งเป็นผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้ร้องในฐานะทายาทโดยธรรมเป็นผู้จัดการมรดกของ ช. ผู้ตายโดยไม่มีพินัยกรรม จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่าผู้คัดค้านทั้งสองเป็นบุตรของ ช. ซึ่ง ช. ให้การรับรองว่าเป็นบุตร ช. ทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองแต่งตั้งให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกและยกทรัพย์มรดกของ ช. ทั้งหมดให้ผู้คัดค้านทั้งสอง ขอให้ยกคำร้องขอ และมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของ ช. ผู้ตาย คดีดังกล่าวจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าสมควรตั้งผู้ร้องหรือผู้คัดค้านทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย และมีประเด็นต้องวินิจฉัยถึงความสมบูรณ์ของพินัยกรรมตามคำคัดค้านของผู้คัดค้านทั้งสอง ขณะที่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองที่ ช. ทำขึ้นที่สำนักงานเขตวัฒนา โดยอ้างว่า ช. สำคัญผิดหรือถูกจำเลยทั้งสองกับพวกใช้กลฉ้อฉล เนื่องจากขณะทำพินัยกรรมไม่มีแพทย์ตรวจสอบร่างกายและจิตใจของ ช. ซึ่งมีอายุ 92 ปี ระหว่างป่วยเป็นโรคหัวใจและโรคทางสมองผิดปกติ ช. มีสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์และไม่เข้าใจภาษาไทย ล่ามไม่ได้แปลพินัยกรรมให้ถูกต้อง พินัยกรรมดังกล่าวเป็นโมฆะ จึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า มีเหตุจะต้องเพิกถอนพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองที่ ช. ทำไว้หรือไม่ ซึ่งต้องวินิจฉัยถึงความสมบูรณ์ของพินัยกรรมเช่นเดียวกัน ประเด็นของคดีทั้งสองจึงเป็นเรื่องเดียวกัน และเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8546/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสัญญาซื้อขายข้าว, ฟ้องซ้อน, การเป็นผู้ประกอบการค้า
ป.พ.พ. มาตรา 193/34 บัญญัติว่า "สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกำหนดอายุความสองปี (1) ผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรม ผู้ประกอบหัตถกรรม ผู้ประกอบศิลปอุตสาหกรรม หรือช่างฝีมือ เรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบ ค่าการงานที่ได้ทำ หรือค่าดูแลกิจการของผู้อื่น รวมทั้งเงินที่ได้ออกทดรองไป เว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง" และมาตรา 193/33 บัญญัติว่า "สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกำหนดอายุความห้าปี (5) สิทธิเรียกร้องตามมาตรา 193/34 (1) (2) และ (5) ที่ไม่อยู่ในบังคับอายุความสองปี" ซึ่งความหมายของผู้ประกอบการค้า นอกจากเป็นผู้ประกอบธุรกิจการค้าโดยทำการซื้อขายสินค้าแล้ว ยังต้องเป็นผู้ที่ประกอบการค้าเป็นปกติธุระเพื่อหวังผลกำไรในทางการค้าด้วย โจทก์เป็นองค์การของรัฐจัดตั้งตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล พ.ศ.2496 และ พ.ร.ฎ.จัดตั้งองค์การคลังสินค้า พ.ศ.2498 มีวัตถุประสงค์ทำกิจการทั้งปวงเกี่ยวกับสินค้าเกษตร ฯลฯ ทั้งการซื้อขายข้าวเปลือกระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 สืบเนื่องมาจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2548/2549 ของรัฐบาลในสมัยนั้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยสามารถจำนำข้าวได้ในราคาสูง ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง อีกทางหนึ่งก็คงเป็นเพราะเพื่อลดภาระในการดูแลรักษาข้าวเปลือกดังกล่าวของโจทก์ซึ่งฝากไว้ในโกดังเก็บข้าวของจำเลยที่ 1 ซึ่งเข้าร่วมในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2548/2549 โดยให้จำเลยที่ 1 สามารถขายข้าวเปลือกดังกล่าวไปได้ ดังนั้นการขายข้าวเปลือกดังกล่าวของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1 จึงมิได้มุ่งหวังกำไรเพื่อหารายได้เข้ารัฐ โจทก์จึงมิใช่ผู้ประกอบการค้าในอันที่จะนำอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (5) มาใช้บังคับ เมื่อกรณีตามสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 มิได้มีกฎหมายกำหนดเรื่องอายุความไว้ จึงต้องนำกำหนดอายุความ 10 ปี ซึ่งเป็นอายุความทั่วไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 มาใช้บังคับ
คดีอาญาเป็นเรื่องที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสอง ฐานยักยอกทรัพย์คือข้าวเปลือกที่จำเลยทั้งสองรับฝากไว้ตามสัญญาฝากเก็บ แปรสภาพ และจัดจำหน่ายข้าว และขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยักยอกไป แม้จะถือว่าเป็นการขอแทนโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 แต่ก็เป็นกรณีที่เนื่องมาจากการกระทำความผิดอาญาอันเป็นมูลละเมิดเท่านั้น ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ซื้อข้าวเปลือกจากโจทก์และยังคงค้างชำระราคาข้าวเปลือก จึงขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระราคาข้าวเปลือกที่ยังคงค้างชำระแก่โจทก์ อันเป็นมูลหนี้มาจากการผิดสัญญา ถึงแม้คำขอบังคับในคดีอาญาและคดีนี้เป็นอย่างเดียวกัน แต่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามิใช่เป็นอย่างเดียวกัน นอกจากนี้คำฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นเรื่องผิดสัญญา การโต้แย้งสิทธิที่จะนำคดีมาสู่ศาลเป็นเรื่องของคู่สัญญาโดยเฉพาะ พนักงานอัยการที่เป็นโจทก์ในคดีอาญาไม่อาจอาศัยสิทธิในเรื่องจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาซื้อขายข้าวเปลือกมาเป็นข้ออ้างในคำขอส่วนแพ่งได้ เพราะมิได้เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับความผิดอาญาตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 43 กรณีจึงมิใช่เป็นการฟ้องคดีในเรื่องเดียวกันอันจะเป็นฟ้องซ้อนตามความหมายของ ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)
คดีอาญาเป็นเรื่องที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสอง ฐานยักยอกทรัพย์คือข้าวเปลือกที่จำเลยทั้งสองรับฝากไว้ตามสัญญาฝากเก็บ แปรสภาพ และจัดจำหน่ายข้าว และขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยักยอกไป แม้จะถือว่าเป็นการขอแทนโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 แต่ก็เป็นกรณีที่เนื่องมาจากการกระทำความผิดอาญาอันเป็นมูลละเมิดเท่านั้น ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ซื้อข้าวเปลือกจากโจทก์และยังคงค้างชำระราคาข้าวเปลือก จึงขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระราคาข้าวเปลือกที่ยังคงค้างชำระแก่โจทก์ อันเป็นมูลหนี้มาจากการผิดสัญญา ถึงแม้คำขอบังคับในคดีอาญาและคดีนี้เป็นอย่างเดียวกัน แต่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามิใช่เป็นอย่างเดียวกัน นอกจากนี้คำฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นเรื่องผิดสัญญา การโต้แย้งสิทธิที่จะนำคดีมาสู่ศาลเป็นเรื่องของคู่สัญญาโดยเฉพาะ พนักงานอัยการที่เป็นโจทก์ในคดีอาญาไม่อาจอาศัยสิทธิในเรื่องจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาซื้อขายข้าวเปลือกมาเป็นข้ออ้างในคำขอส่วนแพ่งได้ เพราะมิได้เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับความผิดอาญาตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 43 กรณีจึงมิใช่เป็นการฟ้องคดีในเรื่องเดียวกันอันจะเป็นฟ้องซ้อนตามความหมายของ ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 852/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน-คำสั่งถึงที่สุด: ศาลยกฟ้องคดีเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดิน เนื่องจากฟ้องซ้ำและคำสั่งเดิมผูกพัน
โจทก์ฟ้องคดีนี้ในขณะที่คดีของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองกับนิติกรรมการจดทะเบียนโอนขายที่ดินและจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 7524 ทั้งหมด อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์อ้างเหตุและมีคำขอท้ายฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 เป็นอย่างเดียวกันกับคดีของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ จึงเป็นการฟ้องเรื่องเดียวกัน ฟ้องคดีนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 เป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์และขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 7524 และ10625 โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงถึงที่สุดและย่อมผูกพันโจทก์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 เมื่อการขายทอดตลาดที่ดินไม่ได้ถูกเพิกถอน ผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดย่อมมีสิทธิรับโอนที่ดินดังกล่าวตามคำสั่งศาลและมีสิทธิโอนต่อไปได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์และขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 7524 และ10625 โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงถึงที่สุดและย่อมผูกพันโจทก์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 เมื่อการขายทอดตลาดที่ดินไม่ได้ถูกเพิกถอน ผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดย่อมมีสิทธิรับโอนที่ดินดังกล่าวตามคำสั่งศาลและมีสิทธิโอนต่อไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6486/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: คดีเช่าและให้บริการที่ฟ้องร้องค่าเสียหายซ้ำกับคดีเดิม
ในคดีหมายเลขดำที่ 8936/2550 โจทก์ฟ้องจำเลยโดยกล่าวอ้างว่าจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาเช่าและสัญญาให้บริการซึ่งเป็นสัญญาฉบับเดียวกันกับคดีนี้ โจทก์จึงใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ทำให้สัญญาทั้งสองฉบับเป็นอันเลิกกัน และขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต่าง ๆ ที่ค้างชำระพร้อมชดใช้ค่าเสียหายกับขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่เช่าและส่งมอบที่เช่าคืนให้แก่โจทก์ อันเป็นการใช้สิทธิต่าง ๆ ในฐานะคู่สัญญาฝ่ายที่ได้รับความเสียหายจากการเลิกสัญญา ซึ่งโจทก์สามารถเรียกเอาค่าเสียหายต่าง ๆ ในอนาคตได้ด้วยรวมถึงค่าเสียหายต่าง ๆ อันสืบเนื่องมาจากจำเลยไม่ส่งมอบที่เช่าคืนให้แก่โจทก์ภายหลังสัญญาเลิกกัน ซึ่งค่าใช้ทรัพย์ที่ตกเป็นของโจทก์โดยข้อสัญญาก็ดี ค่าปรับที่จำเลยออกจากที่เช่าล่าช้าเกินกว่าที่กำหนดก็ดี ล้วนเป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเลิกสัญญาที่คู่สัญญาได้คาดเห็นอยู่ก่อนแล้วว่าจำเลยอาจส่งมอบที่เช่าคืนให้โจทก์ล่าช้าและยังใช้ประโยชน์ในที่เช่าต่อไป ดังเห็นได้จากการที่มีการระบุไว้ในสัญญาเช่าเป็นใจความสำคัญว่า หากสัญญาเช่าสิ้นสุดลงไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ จำเลยต้องขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่เช่าและส่งมอบที่เช่าให้แก่โจทก์ในสภาพดีภายใน 30 วัน หากพ้นกำหนดดังกล่าวยอมให้โจทก์กลับเข้าครอบครองที่เช่าทันที และให้ทรัพย์สินที่จำเลยมิได้ขนย้ายออกไปตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ และให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะเรียกเอาค่าปรับในกรณีที่จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่เช่าล่าช้าเกินกว่าที่กำหนดอีกด้วย นอกจากนี้ค่าเสียหายที่โจทก์อ้างว่าเป็นค่าใช้ทรัพย์ที่ตกเป็นของโจทก์โดยข้อสัญญา และค่าปรับนับแต่วันที่สัญญาเลิกกัน ยังถือได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องเอาจากจำเลยเป็นรายเดือนนับแต่วันที่สัญญาเลิกกันจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่เช่าและส่งมอบที่เช่าคืนให้โจทก์ ซึ่งโจทก์ฟ้องเรียกร้องเอาจากจำเลยแล้วในคดีหมายเลขดำที่ 8936/2550 ดังนั้นฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นคำฟ้องเรื่องเดียวกันและเป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 8936/2550 เป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)