คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เจ้าของรวม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 275 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 822/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของรวมครอบครองปรปักษ์: ต้องบอกกล่าวเปลี่ยนเจตนาการครอบครองก่อนจึงอ้างได้
ในกรณีที่บุคคลหลายคนมีชื่อยู่ในโฉนดที่ดินซึ่งเรียกว่าเจ้าของรวมนั้นย่อมมีอำนาจจัดการและครอบครองทรัพย์รวมกันและแทนกันได้ บุคคลใดยึดทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครองบุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่เคยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป ตามป.พ.พ. ม.1381 ต่อแต่นั้นจึงจะยกอำนาจครอบครองปรปักษ์มาอ้างได้
ข้อเท็จจริงได้ความว่าพี่ชายโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นสามีของจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการและครอบครองทรัพย์สินพิพาทไว้ตลอดมาจนกระทั่งถึงแก่ความตายรวมเวลาครอบครองเกินกว่า 10 ปี แต่ไม่ปรากฏเลยว่าพี่ชายโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 1 ได้บอกกล่าวไปยังโจทก์ทั้งสองว่าจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือทรัพย์พิพาทจาการครอบครองแทนมาเป็นการครอบครองโดยปรปักษ์ เมื่อเช่นนี้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยาและอยู่ในครัวเรือนเดียวกันจึงยกอำนาจปรปักษ์อ้างแก่โจทก์ทั้งสองไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 822/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของรวม ครอบครองปรปักษ์ ต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือ
ในกรณีที่บุคคลหลายคนมีชื่ออยู่ในโฉนดที่ดินซึ่งเรียกว่าเจ้าของรวมนั้นย่อมมีอำนาจจัดการและครอบครองทรัพย์รวมกันและแทนกันได้บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครองบุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ ครอบครองต่อไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1381 ต่อแต่นั้นจึงจะยกอำนาจครอบครองปรปักษ์มาอ้างได้
ข้อเท็จจริงได้ความว่าพี่ชายโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นสามีของจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการและครอบครองทรัพย์สินพิพาทไว้ตลอดมาจนกระทั่งถึงแก่ความตายรวมเวลาครอบครองเกินกว่า 10ปีแต่ไม่ปรากฏเลยว่าพี่ชายโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 1 ได้บอกกล่าวไปยังโจทก์ทั้งสองว่าจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือทรัพย์พิพาทจากการครอบครองแทนมาเป็นการครอบครองโดยปรปักษ์ เมื่อเช่นนี้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยาและอยู่ในครัวเรือนเดียวกันจึงยกอำนาจปรปักษ์อ้างแก่โจทก์ทั้งสองไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 744/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของรวม & การยึดทรัพย์: สิทธิเจ้าของรวมไม่ตัดสิทธิการบังคับคดีแบ่งทรัพย์สิน
การที่ผู้ร้องขัดทรัพย์อ้างว่าได้แบ่งที่ดินกับจำเลยเป็นสัดส่วนแน่นอนและต่างได้ครอบครองส่วนที่แบ่งกันมาเกิน 10 ปีแล้วนั้นถือว่าผู้ร้องอ้างเจตนาได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์++ทางอื่นนอกจากนิติกรรมซึ่งโดย ม.1299 วรรค 2 สิทธิของผู้ได้มาคือผู้ร้องหากยังมิได้จดทะเบียนแล้วจะยก++เป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกคือโจทก์ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วคือรับจำนองที่ดินตามโฉนดนี้ในส่วนของจำเลยไว้โดยมิได้เจาะจงว่าเป็นส่วนไหน ตอนใด หาได้ไม่
ดังนั้นเมื่อได้ความว่าโจทก์เจ้าหนี้จำนองนำยึดที่ดินมีชื่อจำเลยและผู้ร้องเพื่อชำระหนี้ การที่ผู้ร้องร้องคัดค้านว่าที่ดินเป็นของผู้ร้องครึ่งหนึ่งและผู้ร้องกับจำเลยได้แบ่งที่ดินกันครอบครองเป็นสัดส่วนแน่นอนเกินกว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องจึงขอให้ขายที่ดินที่ยึดมาเฉพาะส่วนของจำเลยนั้น เมื่อข้ออ้างการแบ่งทรัพย์ของผู้ร้องจะยกขึ้นใช้ยันโจทก์ไม่ได้แล้ว ต้องถือว่ากรรมสิทธิของจำเลยผู้ถูกยึดทรัพย์ย่อมครอบไปเหนือที่ดินทั้งหมดและการที่ผู้ร้องร้องขอให้ขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยก็ตาม ก็มีผลเท่ากับขอให้ปล่อยทรัพย์ตาม ป.วิ.แพ่ง ม.288 ผู้ร้องจะต้องอ้างว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษามิใช่เจ้าของทรัพย์ที่ยึด ผู้ร้องจึงดำเนินคดี+างร้องขัดทรัพย์ไม่ได้ โจทก์นำยึดที่ดินแปลงนี้ทั้งหมดได้ แต่ผู้ร้องย่อมมีทางที่จะเรียกขอให้แบ่งส่วนของตนตามสิทธิของเจ้าของรวมได้ในทางบังคับคดีตาม ป.วิ.แพ่ง ม.287 ดังนัยแห่งคำพิพากษาฎีการที่ 481/2492.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 744/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งทรัพย์สินโดยการครอบครองเกิน 10 ปี ไม่สามารถใช้ยันสิทธิโจทก์ผู้รับจำนองได้ ผู้ร้องมีสิทธิเรียกร้องแบ่งทรัพย์ในทางบังคับคดี
การที่ผู้ร้องขัดทรัพย์อ้างว่าได้แบ่งที่ดินกับจำเลยเป็นส่วนสัดแน่นอนและต่างได้ครอบครองส่วนที่แบ่งกันมาเกิน 10 ปีแล้วนั้นถือว่าผู้ร้องอ้างว่าตนได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมซึ่งโดยมาตรา 1299 วรรคสอง สิทธิของผู้ได้มาคือผู้ร้องหากยังมิได้จดทะเบียนแล้วจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกคือโจทก์ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต.และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วคือรับจำนองที่ดินตามโฉนดนี้ในส่วนของจำเลยไว้โดยมิได้เจาะจงว่าเป็นส่วนไหน ตอนใด หาได้ไม่
ดังนั้นเมื่อได้ความว่าโจทก์เจ้าหนี้จำนองนำยึดที่ดินมีชื่อจำเลยและผู้ร้องเพื่อชำระหนี้ การที่ผู้ร้องร้องคัดค้านว่าที่ดินเป็นของผู้ร้องครึ่งหนึ่งและผู้ร้องกับจำเลยได้แบ่งที่ดินกันครอบครองเป็นส่วนสัดแน่นอนเกินกว่า10 ปี แล้วผู้ร้องจึงขอให้ขายที่ดินที่ยึดมาเฉพาะส่วนของจำเลยนั้นเมื่อข้ออ้างการแบ่งทรัพย์ของผู้ร้องจะยกขึ้นใช้ยันโจทก์ไม่ได้แล้วต้องถือว่ากรรมสิทธิ์ของจำเลยผู้ถูกยึดทรัพย์ย่อมครอบไปเหนือที่ดินทั้งหมดและที่การที่ผู้ร้องร้องขอให้ขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยก็ตามก็มีผลเท่ากับขอให้ปล่อยทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ผู้ร้องจะต้องอ้างว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษามิใช่เจ้าของทรัพย์ที่ยึด ผู้ร้องจึงดำเนินคดีทางร้องขัดทรัพย์ไม่ได้โจทก์นำยึดที่ดินแปลงนี้ทั้งหมดได้แต่ผู้ร้องย่อมมีทางที่จะเรียกขอให้แบ่งส่วนของตนตามสิทธิของเจ้าของรวมได้ในทางบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ดังนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 981/2492

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 53/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเรื่องการแบ่งที่ดิน เจ้าของรวมตกลงแบ่งแยกไม่เป็นผล ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
ปรากฏตามฟ้องโจทก์ว่าจำเลยโจทก์ตกลงแบ่งแยกที่ดินกันแล้วแต่ครั้นเวลานำเจ้าพนักงานไปรังวัดกลับรังวัดเปลี่ยนทิศทางไปเสียไม่ตรงตามที่ตกลงกันไว้ ฝ่ายจำเลยว่าไม่ได้รังวัดผิดทิศทางเดิม รังวัดไปตามข้อตกลงแต่เพราะการรังวัดแบ่งแยกเป็นเหตุให้โจทก์ต้องรื้อครัวไฟ ปรากฏตามคำแถลงคู่ความรับกันว่าจำเลยมีสิทธิครึ่งหนึ่งในที่พิพาท อีกครึ่งหนึ่งเป็นของโจทก์ทั้งสองเรือนโจทก์ปลูกมา 10 ปีแล้ว การแบ่งตามที่จำเลยว่าจะต้องผ่ากลางห้องทิศตะวันออกและครัวทั้งหลังของโจทก์ไปโจทก์ว่าที่ลงนามยินยอมแบ่งเพราะเข้าใจผิดไปว่าเป็นไปตามคำขอเดิม คือไม่ต้องรื้อเรือนและว่าตามคำขอเดิมและคำขอใหม่โจทก์จำเลยได้ที่เปลี่ยนทิศทางไปหมด เช่นนี้ถือว่าฟ้องโจทก์และคำให้การของจำเลยโต้แย้งกันอยู่อย่างตรงกันข้ามในเรื่องการตกลงใหม่และการรังวัดแบ่งแยกเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือไม่ประการใดทั้งคำแถลงของคู่ความยังไม่มีอะไรเพียงพอที่จะชี้ขาดพิพากษาคดีเรื่องนี้ได้ ศาลไม่ควรด่วนสั่งงดสืบพยานเพราะคดีจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า โจทก์จำเลยได้ทำความตกลงกันเป็นสัญญาหรือไม่อย่างไรแน่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 283/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาปราณีประนอมยอมความระหว่างเจ้าของรวมบางส่วน ไม่ผูกพันเจ้าของรวมทั้งหมด
เจ้าของรวมในกรรมสิทธิ์ที่ดินผู้หนึ่งไปก่อให้เกิดการติดพันในที่ดินแปลงนั้น โดยทำสัญญาประณีประนอมยอมความให้บุคคลอื่นมามีสิทธิเก็บกินโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมคนอื่น ๆ ด้วย สัญญานั้นหาผูกพันเจ้าของรวมคนอื่น ๆ ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 283/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารติดพันในที่ดินรวม เจ้าของรวมคนอื่นไม่ผูกพันสัญญา
เจ้าของรวมในกรรมสิทธิ์ที่ดินผู้หนึ่งไปก่อให้เกิดภารติดพันในที่ดินแปลงนั้น โดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้บุคคลอื่นมามีสิทธิเก็บกินโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมคนอื่นๆ ด้วยสัญญานั้นหาผูกพันเจ้าของรวมคนอื่นๆ ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของรวม vs. สัญญาซื้อขาย: การแบ่งแยกกรรมสิทธิ์และเงื่อนไขสัญญา
เจ้าของรวมตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1357 นั้นต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินอันรวมกันอยู่ไม่ทราบว่าส่วนของใครเท่าไร ตรงไหนในทรัพย์นั้นๆ กฎหมายจึงให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้เป็นเจ้าของรวมมีส่วนเท่ากัน
โฉนดที่ดินมีชื่อบุคคล 2 คนเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ แต่ได้จดทะเบียนบรรยายส่วนของใครไว้ในโฉนดแล้วว่าของใครอยู่ตอนไหน เป็นจำนวนเนื้อที่เท่าไรชัดแจ้งแล้วเช่นนี้หาใช่เป็นเจ้าของรวมไม่
เงื่อนไขแห่งนิติกรรมนั้นหมายถึงเหตุการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคตและ ไม่แน่นอน
สัญญาจะซื้อขายมีข้อตกลงกันว่าผู้ซื้อผู้ขายจะมาทำการโอนซื้อขายกันในวันมาทำการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินนั้น หาใช่เป็นเงื่อนไขไม่
แม้สัญญาจะซื้อขายที่ดินได้ กำหนดเบี้ยปรับกันไว้ในเมื่อผู้ขายผิดสัญญาก็ดี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 380 บัญญัติให้สิทธิแก่เจ้าหนี้เลือกเรียกเอาเบี้ยปรับหรือเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้แต่อย่างหนึ่งอย่างใดได้ ฉะนั้นถ้าผู้ขายทำผิดสัญญาโดยไม่ยอมขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อผู้ซื้อก็ย่อมมีสิทธิฟ้องร้องผู้ขายขอให้ศาลบังคับให้โอนขายตามสัญญาได้(อ้างฎีกาที่ 131/2489)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 106/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งทรัพย์มรดกโดยวิธีประมูลราคาระหว่างเจ้าของรวมตามพินัยกรรมและสิทธิเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์
ผู้ตายทำพินัยกรรมยกที่ดินบ้านเรือนให้โจทก์จำเลยคนละเท่าๆกัน โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าต่อไปภายหน้าผู้ที่ได้รับที่ดินบ้านเรือนนี้คนใดไม่ต้องการที่ดินบ้านเรือนรายนี้ ต้องขายให้แก่บรรดาผู้ที่ยังคงต้องการ โดยกำหนดราคาไว้ ผู้ใดที่ไม่ต้องการ ก็ให้ได้รับเงินแทนค่าที่ดินบ้านเรือนไปตามส่วนที่ตีราคาไว้ในพินัยกรรมนี้ โดยให้ผู้ต้องการอยู่จ่ายเงินตามส่วนที่กำหนดไว้นี้ให้ไป ผู้ใดไม่ต้องการ จะเรียกร้องเอาราคาที่เกินกว่าที่กำหนดไว้นี้ไม่ได้ ดังนี้ โจทก์ก็ยังมีสิทธิที่จะฟ้องร้องขอให้แบ่งทรัพย์รายนี้โดยวิธีประมูลราคาระหว่างโจทก์จำเลย ซึ่งถ้าไม่ตกลงกันก็ขายทอดตลาด เอาเงินมาแบ่งปันกันได้ เพราะไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ต้องการทรัพย์ที่ยกให้ตามพินัยกรรม อันจะต้องขายให้ผู้รับทรัพย์ร่วมกันตามข้อกำหนดในในพินัยกรรม แต่เป็นเรื่องที่โจทก์เรียกร้องให้แบ่งทรัพย์ที่โจทก์ได้รับมาแล้วร่วมกับจำเลยตามพินัยกรรม์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องละเมิดรื้อเรือน: ศาลยกฟ้องเมื่อพิสูจน์ไม่ได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยบังอาจละเมิดรื้อเรือนของโจทก์โดยโจทก์กล่าวอ้างว่าเรือนพิพาทเป็นของโจทก์แต่ผู้เดียว เมื่อทางพิจารณาไม่ได้ความสมฟ้องว่าเรือนพิพาทเป็นของโจทก์แต่ผู้เดียวทั้งยังได้ความว่าจำเลยยังมีส่วนเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย ดังนี้คดีก็ต้องยกฟ้อง จะให้พิจารณาเลยไปถึงสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของรวมด้วยนั้น เป็นการเกินกว่าโจทก์กล่าวในฟ้อง ไม่มีประเด็นจะพึงพิจารณาให้
of 28