พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,865 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 951/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดผลของหมายอายัดเช็คเมื่อไม่ได้ดำเนินการบังคับคดีตามกำหนด
ภายหลังที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้ศาลไต่สวนบริษัท ย.ที่ปฏิเสธนำเงินตามเช็คมาวางต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี คดีถึงที่สุด และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นคำขอออกหมายบังคับคดีต่อไปภายใน 15 วัน นับแต่วันสิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำบังคับ ดังนั้นหมายอายัดเช็คตามคำขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์ในระหว่างพิจารณานั้น ย่อมยกเลิกไป ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 260 (2) การที่โจทก์ฎีกาเกี่ยวกับคำร้องของโจทก์ที่คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้น โดยอ้างว่าอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ยื่นไม่พ้นกำหนดเวลา 1 เดือน ตามกฎหมายนั้น จึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดีที่จะได้รับการวินิจฉัยอีกต่อไป จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 915/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสลักหลังเช็คโดยกรรมการ, ความรับผิดของนิติบุคคล, ฟ้องเคลือบคลุม, การชำระหนี้
จำเลยที่1ได้กู้เงินโจทก์จำนวน2,000,000บาทและจำเลยที่1ได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทโดยมีบริษัทจำเลยที่3สลักหลังชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ขณะที่จำเลยที่3สลักหลังเช็คพิพาททั้งสองฉบับจำเลยที่1และอ.ยังเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่3อยู่ทั้งเช็คพิพาทก็เป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือโจทก์ในฐานะผู้ครอบครองเช็คทั้งสองฉบับดังกล่าวย่อมเป็นผู้ทรงเช็คเพื่อการชำระหนี้เงินกู้โดยชอบการที่เช็คพิพาททั้งสองฉบับถูกธนาคารตามเช็คปฎิเสธการจ่ายเงินจำเลยที่3ในฐานะผู้สลักหลังเช็คทั้งสองฉบับนั้นจะต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา914ประกอบด้วยมาตรา989โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 86/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องหลังเลิกบริษัท ผู้ชำระบัญชีมีอำนาจกระทำการแทนได้ และเช็คเป็นหลักฐานการชำระหนี้
แม้โจทก์ได้จดทะเบียนเลิกบริษัทแล้วโดยมีส. และพ.เป็นผู้ชำระบัญชีก็ตามแต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1249บัญญัติให้ถือว่าบริษัทโจทก์ยังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชีและตามมาตรา1252บัญญัติให้กรรมการบริษัทมีอำนาจโดยตำแหน่งเดิมเมื่อเป็นผู้ชำระบัญชีก็ยังคงมีอำนาจอยู่ดังนั้นบุคคลทั้งสองซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัทโจทก์และเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ด้วยจึงยังคงมีอำนาจในตำแหน่งกรรมการของบริษัทโจทก์อยู่และมาตรา1259(1)บัญญัติให้ผู้ชำระบัญชีมีอำนาจแก้ต่างว่าต่างในนามของบริษัทในอรรถคดีพิพาทอันเป็นแพ่งหรืออาญาทั้งปวงเมื่อผู้ชำระบัญชีและกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์เป็นบุคคลคนเดียวกันดังนั้นที่บุคคลทั้งสองได้มอบอำนาจให้ก. ฟ้องคดีแทนโจทก์ผู้รับมอบอำนาจจากบุคคลทั้งสองจึงมีสิทธิฟ้องคดีแทนโจทก์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8404/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีเช็คเลิกกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ทำให้สิทธิฟ้องอาญาของโจทก์ระงับ
การที่ศาลชั้นต้นในคดีอาญาเห็นว่าโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่งและศาลได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้วทำให้หนี้ที่จำเลยได้ออกเช็คเพื่อใช้เงินนั้นได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงเป็นอันเลิกกันตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534 มาตรา 7 สิทธิของโจทก์ในการนำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ.มาตรา 39 จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ดังนี้ย่อมมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตาม ป.วิ.อ.มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8404/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีเช็คเลิกกันหลังประนีประนอมยอมความ สิทธิฟ้องอาญาโจทก์ระงับตามกฎหมาย
การที่ศาลชั้นต้นในคดีอาญาเห็นว่าโจทก์และจำเลยได้ทำ สัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่งและศาลได้พิพากษา ตามยอม คดีถึงที่สุดแล้วทำให้หนี้ที่จำเลยได้ออกเช็คเพื่อ ใช้เงินนั้นได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิด จากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธิของโจทก์ในการ นำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ดังนี้ย่อมมีผลเท่ากับศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8226/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญาเช็ค: ต้องระบุ 'หนี้ที่มีอยู่จริง' ตาม พ.ร.บ.เช็ค
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิด อันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 โดยบรรยายไว้เพียงว่า "โดยมีจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้ อันสามารถบังคับได้ตามกฎหมายให้แก่โจทก์ ฯลฯ" ซึ่งขาด องค์ประกอบคำว่า "ที่มีอยู่จริง" ดังนั้น แม้จำเลยจะ สั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้โจทก์อันมีลักษณะบังคับได้หรือ อันสามารถบังคับได้ตามกฎหมายก็ตาม แต่หากไม่มีหนี้ที่มีอยู่จริง การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดเมื่อฟ้องโจทก์บรรยาย องค์ประกอบแห่งความผิดดังกล่าวขาดไป กรณีจึงเป็นฟ้องที่ ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพและมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นฎีกาแต่ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาชอบที่จะหยิบยกขึ้นพิจารณา และพิพากษายกฟ้องโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8046/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้เช็คเพื่อระงับคดีอาญา: เมื่อหนี้สิ้นสุดก่อนมีคำพิพากษา คดีอาญาจึงระงับ
คดีแดงที่ 8046-8047/2540
เช็คพิพาทที่โจทก์อาศัยเป็นมูลฟ้องจำเลยในคดีอาญา เป็นฉบับเดียวกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งเรียกเงินตามเช็ค ดังนั้น ในระหว่างพิจารณาของศาลจำเลยนำเงินตามเช็คพิพาทไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์ก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และขณะคดีอยู่ระหว่างฎีกาจำเลยได้นำเงินอีกจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมไปวางศาลโดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์และเพื่อมิให้ต้องรับโทษทางอาญา หาใช่จำเลยมีเจตนาชำระหนี้โดยมุ่งหมายให้โจทก์ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นอันเป็นกรณีอยู่ในบังคับตามพ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 115 เมื่อหนี้ที่จำเลยได้ออกเช็คเพื่อใช้เงินนั้นได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 7 ซึ่งบัญญัติขึ้นภายหลังจำเลยกระทำความผิดแล้ว และเป็นกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39
เช็คพิพาทที่โจทก์อาศัยเป็นมูลฟ้องจำเลยในคดีอาญา เป็นฉบับเดียวกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งเรียกเงินตามเช็ค ดังนั้น ในระหว่างพิจารณาของศาลจำเลยนำเงินตามเช็คพิพาทไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์ก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และขณะคดีอยู่ระหว่างฎีกาจำเลยได้นำเงินอีกจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมไปวางศาลโดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์และเพื่อมิให้ต้องรับโทษทางอาญา หาใช่จำเลยมีเจตนาชำระหนี้โดยมุ่งหมายให้โจทก์ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นอันเป็นกรณีอยู่ในบังคับตามพ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 115 เมื่อหนี้ที่จำเลยได้ออกเช็คเพื่อใช้เงินนั้นได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 7 ซึ่งบัญญัติขึ้นภายหลังจำเลยกระทำความผิดแล้ว และเป็นกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8046/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้เช็คหลังฟ้องคดีอาญา ทำให้คดีอาญาเป็นอันเลิกกันตามกฎหมายเช็ค
เช็คพิพาทที่โจทก์อาศัยเป็นมูลฟ้องจำเลยในคดีอาญา เป็นฉบับเดียวกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งเรียกเงินตามเช็ค ดังนั้น ในระหว่างพิจารณาของศาลจำเลยนำเงินตามเช็คพิพาทไปวางณ สำนักงานวางทรัพย์ก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และขณะคดีอยู่ระหว่างฎีกาจำเลยได้นำเงินอีกจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมไปวางศาลโดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์และเพื่อมิให้ต้องรับโทษทางอาญา หาใช่จำเลยมีเจตนาชำระหนี้โดยมุ่งหมายให้โจทก์ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นอันเป็นกรณีอยู่ในบังคับตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115เมื่อหนี้ที่จำเลยได้ออกเช็คเพื่อใช้เงินนั้นได้สิ้นผล ผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงเป็น อันเลิกกันตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอัน เกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 ซึ่งบัญญัติขึ้นภายหลังจำเลยกระทำความผิดแล้วและเป็นกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7771/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เช็คชำระหนี้ซื้อขายสินค้า การแก้ไขเช็ค และผลของการปฏิเสธการจ่ายเงิน
เดิมจำเลยชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าผ้าแก่โจทก์ด้วยเช็คหลายฉบับและหลายครั้ง แต่เช็คส่วนใหญ่ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยจึงเปลี่ยนเช็คเป็นเช็คพิพาทและเช็คอื่นเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 15 ฉบับ ให้แก่โจทก์แทน ซึ่งเช็คพิพาทธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนั้นเมื่อเช็คพิพาทที่จำเลยออกให้แก่โจทก์มีมูลหนี้มาจากจำเลยซื้อสินค้าผ้ายืดของโจทก์ การออกเช็คพิพาทของจำเลยจึงเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย และเมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเงินในบัญชีของจำเลยมีไม่พอจ่ายการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 แล้ว
มูลหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นมูลหนี้อันเกิดจากการซื้อขายสินค้าผ้า และเมื่อจำเลยเพียงแต่ชำระมูลหนี้เดิมด้วยเช็คซึ่งโจทก์ยอมรับเอาเช็คพิพาทนั้นแทนการชำระหนี้โดยการใช้เงิน แต่เมื่อเช็คพิพาทและเช็คฉบับอื่น ๆที่มีการเปลี่ยนเช็คแทนกันมาตลอด ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน มูลหนี้เดิมจึงไม่ระงับไปตาม ป.พ.พ.มาตรา 321 วรรคท้าย ประกอบกับโจทก์จำเลยไม่ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ การที่มีการเปลี่ยนเช็คพิพาทให้แทนเช็คเดิมซึ่งธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินแล้วกรณีเช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการระงับมูลหนี้เดิม จึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ยังไม่ระงับ
เช็คพิพาท แม้จะมีการแก้ไขวันเดือนที่สั่งจ่าย แต่ผู้แก้ไขคือศ.ซึ่งเป็นสามีจำเลย โดยจำเลยกับ ศ.สามีจำเลยได้ร่วมกันซื้อสินค้าผ้ายึดจากโจทก์และทั้งจำเลยกับ ศ.มีวัตถุประสงค์ร่วมกันในการชำระหนี้ค่าสินค้าแก่โจทก์ด้วยเช็คพิพาท ประกอบกับบัญชีเงินฝากกระแสรายวันที่ขอเปิดและบัตรตัวอย่างลายมือชื่อที่ทำไว้กับธนาคารตามเช็คพิพาท จำเลยและ ศ. ต่างมีสิทธิสั่งจ่ายเช็คตามบัญชีดังกล่าวได้ ดังนี้ กรณีจึงถือได้ว่าจำเลยได้ยินยอมให้ ศ.เป็นผู้แก้ไขวันที่สั่งจ่ายแทนจำเลยแล้ว เช็คพิพาทจึงยังคงใช้ได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1007 วรรคหนึ่ง
แม้ในระหว่างพิจารณาของศาลจะปรากฏว่า โจทก์ได้ดำเนินคดีทางแพ่งกับจำเลยและ ศ.สามีจำเลยแล้ว โดยโจทก์นำยึดที่ดินโฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างคดีอยู่ระหว่างการขายทอดตลาดก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามเช็คพิพาทเพราะยังไม่มีการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้ดังกล่าว กรณียังถือไม่ได้ว่าเช็คพิพาทสิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงยังไม่เลิกกันตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 7
มูลหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นมูลหนี้อันเกิดจากการซื้อขายสินค้าผ้า และเมื่อจำเลยเพียงแต่ชำระมูลหนี้เดิมด้วยเช็คซึ่งโจทก์ยอมรับเอาเช็คพิพาทนั้นแทนการชำระหนี้โดยการใช้เงิน แต่เมื่อเช็คพิพาทและเช็คฉบับอื่น ๆที่มีการเปลี่ยนเช็คแทนกันมาตลอด ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน มูลหนี้เดิมจึงไม่ระงับไปตาม ป.พ.พ.มาตรา 321 วรรคท้าย ประกอบกับโจทก์จำเลยไม่ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ การที่มีการเปลี่ยนเช็คพิพาทให้แทนเช็คเดิมซึ่งธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินแล้วกรณีเช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการระงับมูลหนี้เดิม จึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ยังไม่ระงับ
เช็คพิพาท แม้จะมีการแก้ไขวันเดือนที่สั่งจ่าย แต่ผู้แก้ไขคือศ.ซึ่งเป็นสามีจำเลย โดยจำเลยกับ ศ.สามีจำเลยได้ร่วมกันซื้อสินค้าผ้ายึดจากโจทก์และทั้งจำเลยกับ ศ.มีวัตถุประสงค์ร่วมกันในการชำระหนี้ค่าสินค้าแก่โจทก์ด้วยเช็คพิพาท ประกอบกับบัญชีเงินฝากกระแสรายวันที่ขอเปิดและบัตรตัวอย่างลายมือชื่อที่ทำไว้กับธนาคารตามเช็คพิพาท จำเลยและ ศ. ต่างมีสิทธิสั่งจ่ายเช็คตามบัญชีดังกล่าวได้ ดังนี้ กรณีจึงถือได้ว่าจำเลยได้ยินยอมให้ ศ.เป็นผู้แก้ไขวันที่สั่งจ่ายแทนจำเลยแล้ว เช็คพิพาทจึงยังคงใช้ได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1007 วรรคหนึ่ง
แม้ในระหว่างพิจารณาของศาลจะปรากฏว่า โจทก์ได้ดำเนินคดีทางแพ่งกับจำเลยและ ศ.สามีจำเลยแล้ว โดยโจทก์นำยึดที่ดินโฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างคดีอยู่ระหว่างการขายทอดตลาดก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามเช็คพิพาทเพราะยังไม่มีการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้ดังกล่าว กรณียังถือไม่ได้ว่าเช็คพิพาทสิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงยังไม่เลิกกันตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 7
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7771/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คไม่สามารถระงับหนี้ได้หากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน แม้มีการเปลี่ยนเช็ค และการแก้ไขวันที่สั่งจ่ายไม่ทำให้เช็คเป็นโมฆะ
จำเลยชำระหนี้เดิมซึ่งเป็นหนี้ค่าซื้อขายผ้าด้วยเช็คซึ่งโจทก์ยอมรับเอาเช็คพิพาทนั้นแทนการชำระหนี้โดยการใช้เงินแต่เมื่อเช็คพิพาทและเช็คฉบับอื่น ๆ ที่มีการเปลี่ยนเช็คแทนกันมาตลอดธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน มูลหนี้เดิมจึงไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคท้ายประกอบการที่มีการเปลี่ยนเช็คพิพาทให้แทนเช็คเดิมซึ่งธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินแล้ว ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการระงับมูลหนี้เดิมจึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ยังไม่ระงับ ศ. แก้ไขวันที่สั่งจ่ายซึ่งเป็นสาระสำคัญและจำเลยไม่ได้ยินยอมด้วย จำเลยกับ ศ.ได้ร่วมกันซื้อสินค้าจากโจทก์และจำเลยกับ ศ. มีวัตถุประสงค์ร่วมกันในการชำระหนี้ค่าสินค้าแก่โจทก์ด้วยเช็คพิพาท จำเลยและศ.มีสิทธิสั่งจ่ายเช็คตามบัญชีที่เปิดร่วมกันได้จึงถือได้ว่าจำเลยยินยอมให้ศ. เป็นผู้แก้ไขวันที่สั่งจ่ายแทนจำเลยแล้ว เช็คพิพาทยังคงใช้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1007 วรรคหนึ่ง และแม้จะมีการบังคับคดีแพ่งโดยมีการยึดทรัพย์ของจำเลยกับ ศ. สามีจำเลย แต่โจทก์ก็ยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามเช็คพิพาทเพราะยังไม่มีการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้ ยังถือไม่ได้ว่าเช็คพิพาทสิ้นผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดคดีจึงยังไม่เกินกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534