พบผลลัพธ์ทั้งหมด 598 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2960/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกค่าก่อสร้างเป็นงวดๆ หลังเลิกสัญญายังสามารถทำได้ ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ
คดีก่อนโจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าก่อสร้างงวดที่ 5 ตามเอกสารหมาย จ.4 และงานงวดที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งจำเลยมิได้ชำระให้โจทก์เป็นการโต้เถียงความรับผิดตามสัญญาและผลงานในงวดดังกล่าว โดยยังไม่ได้เลิกสัญญาต่อกัน แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าก่อสร้างงานงวดที่ 6 ตามเอกสารหมายจ.4 และงานงวดที่ 3 ตามเอกสารหมาย จ.5 กับเงินที่จำเลยหักไว้ร้อยละสิบของเงินค่างวด เป็นการโต้เถียงความรับผิดตามสัญญาและผลงานคนละงวดคนละตอนกันทั้งเงินร้อยละสิบของเงินค่างวดที่จำเลยหักไว้ โจทก์จะได้รับคืนหรือไม่เมื่อเลิกทำงานกันก่อนที่งานจะเสร็จเรียบร้อย เป็นความรับผิดหลังจากเลิกสัญญาแล้ว จึงเป็นการแบ่งแยกความรับผิดเป็นส่วน ๆ ต่างหากจากกัน เมื่อมีการผิดนัดหรือความ-รับผิดในส่วนใด โจทก์ย่อมฟ้องส่วนนั้นได้ทันที และฟ้องในส่วนที่จะต้องรับผิดใหม่ได้อีกต่างหาก ฟ้องโจทก์จึงมิใช่เป็นการฟ้องเรื่องเดียวกัน อันจะเป็นการต้องห้ามตามป.วิ.พ.มาตรา 173 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2960/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีซ้ำซ้อนหลังเลิกสัญญา และการแบ่งแยกความรับผิดตามสัญญา
โจทก์ผู้รับจ้างฟ้องเรียกเงินตามสัญญาก่อสร้างต่อเติมอาคารจากจำเลยเป็น 2 คดี คดีแรกโจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าก่อสร้างงวดที่ 5ตามสัญญาก่อสร้างต่อเติมอาคาร เอกสารหมาย จ.4 และงานงวดที่ 2ตามบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติมรายการก่อสร้างเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งจำเลยมิได้ชำระให้โจทก์ เป็นการโต้เถียงความรับผิดตามสัญญาและผลงานในงวดดังกล่าวซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่ผิดสัญญาในงวดที่ 5 ตามเอกสารหมาย จ.4 และงวดที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.5 แต่คดีนี้โจทก์ได้ฟ้องเรียกเงินค่าก่อสร้างงานงวดที่ 6 ตามเอกสารหมาย จ.4 และงานงวดที่ 3ตามเอกสารหมาย จ.5 กับเงินที่จำเลยหักไว้ร้อยละสิบของเงินค่างวดเป็นการโต้เถียงความรับผิดตามสัญญาและผลงานคนละงวดคนละตอนกันทั้งเงินร้อยละสิบของค่างวดที่จำเลยหักไว้ โจทก์จะได้รับคืนหรือไม่เมื่อได้เลิกทำงานกันไปก่อนที่งานจะเสร็จเรียบร้อย เป็นความรับผิดหลังจากเลิกสัญญาแล้วจึงเป็นการแบ่งแยกความรับผิดเป็นส่วน ๆต่างหากจากกัน เมื่อมีการผิดนัดหรือมีความรับผิดในส่วนใด โจทก์ย่อมฟ้องส่วนที่จำเลยรับผิดได้ทันที และฟ้องในส่วนที่จะต้องรับผิดใหม่ได้อีกต่างหาก การฟ้องของโจทก์ทั้งสองคดีมิใช่เป็นการฟ้องเรื่องเดียวกัน อันจะเป็นการต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2960/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีซ้ำซ้อนหลังเลิกสัญญา: ศาลวินิจฉัยว่าการฟ้องเรียกค่าก่อสร้างแต่ละงวดเป็นการแบ่งแยกความรับผิดเป็นส่วนๆ ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
คดีก่อนโจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าก่อสร้างงวดที่ 5 ตามเอกสารหมาย จ.4 และงานงวดที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งจำเลยมิได้ชำระให้โจทก์เป็นการโต้เถียงความรับผิดตามสัญญาและผลงานในงวดดังกล่าว โดยยังไม่ได้เลิกสัญญาต่อกัน แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าก่อสร้างงานงวดที่ 6 ตามเอกสารหมาย จ.4 และงานงวดที่ 3 ตามเอกสารหมาย จ.5 กับเงินที่จำเลยหักไว้ร้อยละสิบของเงินค่างวดเป็นการโต้เถียงความรับผิดตามสัญญาและผลงานคนละงวดคนละตอนกันทั้งเงินร้อยละสิบของเงินค่างวดที่จำเลยหักไว้ โจทก์จะได้รับคืนหรือไม่เมื่อเลิกทำงานกันก่อนที่งานจะเสร็จเรียบร้อย เป็นความรับผิดหลังจากเลิกสัญญาแล้ว จึงเป็นการแบ่งแยกความรับผิดเป็นส่วน ๆ ต่างหากจากกัน เมื่อมีการผิดนัดหรือความรับผิดในส่วนใดโจทก์ย่อมฟ้องส่วนนั้นได้ทันที และฟ้องในส่วนที่จะต้องรับผิดใหม่ได้อีกต่างหาก ฟ้องโจทก์จึงมิใช่เป็นการฟ้องเรื่องเดียวกันอันจะเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1629/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาบัญชีเดินสะพัด, เบิกเงินเกินบัญชี, ดอกเบี้ยทบต้น, อายุความ 10 ปี, การเลิกสัญญา
จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคารโจทก์ โดยด้านหลังคำขอเปิดบัญชีปรากฏมีระเบียบการฝากเงินกระแสรายวันว่า ถ้าเงินในบัญชีมีไม่พอจ่ายตามเช็ค แต่โจทก์ได้จ่ายให้ไปจำเลยต้องจ่ายเงินส่วนที่เกินคืนให้โจทก์ เสมือนหนึ่งได้ขอเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคาร และโจทก์จะคิดดอกเบี้ยเบิกเงินเกินบัญชีเป็นดอกเบี้ยทบต้นถือได้ว่าเป็นสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระหว่างโจทก์กับจำเลยและการที่จำเลยนำเงินเข้าฝากในบัญชีและเบิกเงินเรื่อยไปโดยวิธีใช้เช็คสั่งจ่ายหลายครั้งเข้าลักษณะสัญญาบัญชีเดินสะพัด จำเลยใช้เช็คสั่งจ่ายเงินครั้งสุดท้ายวันที่ 12 มิถุนายน2522 และนำเงินเข้าฝากครั้งสุดท้าย วันที่ 10 มิถุนายน 2528โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์จำเลยได้ตกลงชำระหนี้เสร็จสิ้นเมื่อใด สิทธิเรียกร้องให้ชำระเงินหนี้เบิกเงินเกินบัญชีจึงเกิดขึ้นเมื่อมีการหักทอนบัญชีกัน และเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลืออันเป็นการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856,859 เมื่อโจทก์มีหนังสือทวงถาม ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2530 ให้จำเลยชำระหนี้คิดเพียงวันที่ 27 เมษายน 2530 ภายในกำหนด 15 วันนับแต่ได้รับหนังสือทวงถาม ถือว่าได้มีการเลิกบัญชีเดินสะพัดและหักทอนบัญชีกันแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ถึงวันที่ 27 เมษายน 2530 มูลหนี้อันเกิดจากสัญญาบัญชีเดินสะพัดมีอายุความ 10 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1434/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการเลิกสัญญาซื้อขายและการเลือกใช้สิทธิเรียกร้องค่าปรับหรือค่าชดใช้ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นตามสัญญา
ตามวัตถุที่ประสงค์แห่งสัญญาซื้อขายทั้งสองฉบับโดยสภาพหรือโดยเจตนาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่อาจระบุได้ว่าจะเป็นผลสำเร็จได้ก็แต่ด้วยการชำระหนี้ ณ เวลาที่กำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 เนื่องจากสัญญาซื้อขายทั้งสองฉบับมิได้ระบุให้ชัดแจ้งและเด็ดขาดว่าหากจำเลยที่ 1ไม่ส่งสินค้าให้โจทก์ภายในกำหนด สัญญาซื้อขายทั้งสองฉบับเป็นอันเลิกกันทันที ฉะนั้น การที่โจทก์จะใช้สิทธิเลิกสัญญาก็ต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 ซึ่งบัญญัติเป็นหลักทั่วไปว่าถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ อีกฝ่ายหนึ่งจะกำหนดระยะเวลาพอสมควร แล้วบอกกล่าวให้ฝ่ายนั้นชำระหนี้ภายในระยะเวลานั้นก็ได้ ถ้าและฝ่ายนั้นไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดให้ไซร้อีกฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาเสียก็ได้ เมื่อจำเลยที่ 1 กระทำผิดสัญญาซื้อขายโดยไม่ส่งมอบสินค้าให้โจทก์ให้ถูกต้อง โจทก์ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 8 วรรคแรก และทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเงินหลักประกันจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 7 และถ้าโจทก์จัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่บอกเลิกสัญญานี้ด้วยตามสัญญาข้อ 8 วรรคสอง นอกจากสิทธิตามสัญญาข้อ 8 โจทก์ยังอาจใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 9 วรรคแรก กล่าวคือในกรณีที่โจทก์ไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 8 โจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับจากจำเลยที่ 1 เป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันที่ถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่จำเลยที่ 1 ผู้ขายได้นำสินค้ามาส่งให้แก่โจทก์ผู้ซื้อและตามสัญญาข้อ 9 วรรคสอง ระบุว่า ในระหว่างที่มีการปรับนั้นถ้าโจทก์เห็นว่าจำเลยที่ 1 ไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้โจทก์จะใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 8 ทั้งสองวรรคนอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วยก็ได้ ดังนี้ เมื่อข้อความตามหนังสือทวงหนี้ และหนังสือบอกเลิกสัญญาทั้งสองฉบับแสดงว่าโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาทั้งสองฉบับข้อ 8 วรรคแรก โจทก์ก็ต้องรับผลของสัญญาข้อ 8 วรรคสอง โจทก์จะเลือกรับผลคนละเหตุโดยอาศัยสัญญาข้อ 9 วรรคแรกกับวรรคสองตามที่โจทก์ต้องการนั้นไม่ได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าปรับเป็นรายวันตามสัญญาซื้อขายทั้งสองฉบับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1288/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระค่าเช่าและการเลิกสัญญาเช่าเมื่อเกิดข้อพิพาทเรื่องสิทธิในทรัพย์สิน ผู้เช่ามีสิทธิไม่ชำระค่าเช่าได้หากมีเหตุอันสมควร
จำเลยเช่าอาคารรวมทั้งอุปกรณ์เครื่องครัวใช้ในการประกอบธุรกิจค้าอาหารจากโจทก์ ต่อมาเจ้าของที่ดินได้ฟ้องขับไล่โจทก์ จำเลยและผู้เกี่ยวข้องออกจากที่เช่าโดยอ้างว่า ที่ดินและอาคารที่เช่าเป็นของตน จำเลยจึงได้นำค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลางเพราะไม่สามารถหยั่งรู้สิทธิอันแท้จริงของเจ้าหนี้ หรือผู้มีสิทธิรับชำระหนี้ได้ แม้ต่อมาอธิบดีกรมบังคับคดีมีคำสั่งให้คืนเงินค่าเช่าแก่จำเลย โดยมีความเห็นว่า เจ้าพนักงานไม่ควรรับการวางทรัพย์จำเลยได้รับคืนและนำไปวางต่อศาลชั้นต้นในคดีที่เจ้าของที่ดินฟ้องขับไล่ และคดีดังกล่าวเจ้าของที่ดินได้ถอนฟ้อง โดยมีข้อตกลงว่าเจ้าของที่ดินยอมชำระเงินชดเชยสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์ผู้เกี่ยวข้องและจำเลยยอมให้ทรัพย์สินทั้งหมดในที่เช่าเป็นของเจ้าของที่ดิน ทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญาต่อกันข้อตกลงในการถอนฟ้องของโจทก์และจำเลยในคดีฟ้องขับไล่นั้น หากจะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความก็จะถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนี้ด้วยหาได้ไม่ เพราะไม่มีข้อตกลงอันใดระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้ที่บ่งชี้ให้เห็นว่าเจตนาให้ข้อพิพาทในคดีนี้ระงับหรือเสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันเมื่อโจทก์คดีนี้ฟ้องว่าจำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าสัญญาเลิกกันให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจึงต้องพิเคราะห์ว่า จำเลยผิดสัญญาและโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายหรือไม่ เมื่อจำเลยนำเงินค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์เพราะถูกเจ้าของที่ดินกล่าวหาว่าอยู่ที่เช่าโดยละเมิดและฟ้องขับไล่และต่อมาได้นำไปวางต่อศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวเช่นนี้จะถือว่าเป็นการผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าอันจะเป็นเหตุให้สัญญาเช่าเลิกกันหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 988/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เลิกสัญญาสัญญาซื้อขายรถยนต์โดยปริยาย ค่าเสียหายจากการยึดคืนและค่าขาดประโยชน์
จำเลยทำสัญญาซื้อรถยนต์จากโจทก์โดยมีเงื่อนไข เมื่อจำเลยผิดนัดชำระเงินโจทก์ได้ใช้สิทธิตามสัญญาเข้ายึดรถคืนมาโดยมิได้มีกบอกเลิกสัญญาก่อน หลังจากนั้นโจทก์ขายรถดังกล่าวไป ซึ่งจำเลยมิได้โต้แย้ง ถือว่าคู่สัญญาได้ตกลงเลิกสัญญากันโดยปริยายแล้ว ทำให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคแรกโจทก์มีหน้าที่ต้องคืนราคารถยนต์ที่รับไปแล้วแก่จำเลย และจำเลยต้องชดใช้เงินค่าใช้ทรัพย์นั้นแก่โจทก์ด้วยโดยถือเป็นค่าขาดประโยชน์ในการใช้รถตามฟ้อง แต่ถือได้ว่าราคารถยนต์ที่โจทก์ได้รับไปแล้วเป็นค่าใช้ทรัพย์ส่วนหนึ่งแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 988/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญากันโดยปริยาย การคืนทรัพย์และค่าเสียหายจากการใช้ทรัพย์
โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 4 ว่า โจทก์ได้รับความเสียหายจากการที่ขาดผลประโยชน์ในการใช้รถยนต์ โดยไม่ได้บรรยายฟ้องว่าได้รับความเสียหายจากการที่รถยนต์เสื่อมราคา แม้โจทก์อาจนำสืบรายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหายดังกล่าวได้ในชั้นพิจารณา แต่ศาลก็ไม่อาจพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้อง เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระราคารถยนต์ โจทก์จึงใช้สิทธิตามข้อสัญญาเข้ายึดรถยนต์โดยที่ยังไม่มีการบอกเลิกสัญญา และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน ถือว่า คู่สัญญาได้ตกลงเลิกสัญญากันโดยปริยายแล้ว กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคแรก คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมเมื่อโจทก์ได้ยึดรถยนต์ไปแล้วโจทก์จึงมีหน้าที่ต้องคืนราคารถยนต์ที่ได้รับชำระแก่จำเลยที่ 1 และการที่จำเลยที่ 1 ครอบครองรถยนต์ไว้ใช้ประโยชน์ นับแต่วันทำสัญญาจนถึงวันที่โจทก์ยึดรถยนต์คืนไปถือว่าเป็นการที่โจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1 ใช้ทรัพย์นั้น ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสาม จำเลยที่ 1ต้องชดใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้นแก่โจทก์โดยถือว่าเป็นค่าขาดผลประโยชน์ในการใช้รถ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 83/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญาซื้อขายและการไม่มีสิทธิเรียกร้องเช็คหลังสัญญาเลิกสิ้นแล้ว
โจทก์ขายรถขุดแม็คโครให้จำเลยซึ่งจำเลยจะต้องชำระค่าเช่าซื้อให้ผู้ให้เช่าซื้ออีก โจทก์ส่งมอบรถขุดแม็คโครให้จำเลย จำเลยชำระเงินสดบางส่วนและสั่งจ่ายเช็ค 3 ฉบับให้โจทก์ ต่อมาจำเลยนำเงินสดไปแลกเช็คคืน 2 ฉบับ ส่วนฉบับที่ 3 ได้เปลี่ยนเช็คใหม่เป็นเช็คพิพาท สัญญาเช่าซื้อรถขุดแม็คโครระหว่างผู้ให้เช่าซื้อกับโจทก์ผู้เช่าซื้อยังไม่เปลี่ยนเป็นชื่อจำเลย จำเลยขาดส่งค่าเช่าซื้อให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ ต่อมาโจทก์ได้ยึดรถขุดแม็คโครจากจำเลยไป ถือว่าโจทก์เลิกสัญญาซื้อขายกับจำเลยแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระราคาตามเช็คพิพาทแม้เช็คนั้นจำเลยจะได้สั่งจ่ายไว้ก่อนสัญญาซื้อขายเลิกกัน โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะนำคดีมาฟ้องจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 83/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญาซื้อขายมีผลให้ผู้ขายหมดสิทธิเรียกร้องเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายก่อนเลิกสัญญา
โจทก์ขายรถขุดซึ่งโจทก์เช่าซื้อจากบริษัทอ. ให้แก่จำเลยโดยจำเลยต้องชำระเงินแก่โจทก์จำนวนหนึ่งและต้องชำระค่าเช่าซื้อแก่ผู้ให้เช่าซื้อต่อไป โจทก์ส่งมอบรถขุดแก่จำเลย จำเลยชำระเงินสดและเช็คพิพาทลงวันที่ 17 พฤษภาคม 2533 แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขาย แต่สัญญาเช่าซื้อยังไม่เปลี่ยนเป็นชื่อจำเลยจำเลยขาดส่งค่าเช่าซื้อแก่ผู้ให้เช่าซื้อ วันที่ 19 มิถุนายน 2533โจทก์กับพวกยึดรถขุดในความครอบครองของจำเลยไป ถือว่าโจทก์เลิกสัญญาซื้อขายกับจำเลยแล้ว ดังนี้ แม้เช็คพิพาทจำเลยจะได้สั่งจ่ายไว้ก่อนสัญญาซื้อขายเลิกกัน โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะนำคดีมาฟ้องเกี่ยวกับเช็คพิพาทที่ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินภายหลังที่สัญญาซื้อขายเลิกกันแล้วได้