พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,615 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19772/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สินสมรส: ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสถือเป็นสินสมรส แม้จะหย่าแล้วต้องแบ่งสินสมรส
การสมรสสิ้นสุดด้วยความตาย การหย่าหรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน เมื่อโจทก์กับผู้ตายจดทะเบียนสมรสกันวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2517 และจดทะเบียนหย่ากันเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2545 ดังนี้ ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2517 ถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2545 การสมรสของโจทก์กับผู้ตายยังมีอยู่ เมื่อคู่ความรับว่าทรัพย์สินตามฟ้องผู้ตายได้มาระหว่างสมรสกับโจทก์ ย่อมเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับผู้ตาย และในทะเบียนหย่าก็ไม่มีบันทึกเป็นหลักฐานลงลายมือชื่อโจทก์ระบุข้อความว่าโจทก์สละสินสมรสที่ตนมีสิทธิได้ ทั้งกรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์สินอย่างหนึ่งเป็นสินสมรสหรือไม่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส เมื่อโจทก์กับผู้ตายจดทะเบียนหย่ากัน ต้องแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวในวันจดทะเบียนหย่าให้โจทก์และผู้ตายคนละครึ่งหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1851/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามรับของโจร: การกระทำความผิดฐานรับของโจรแต่ไม่สำเร็จ และขอบเขตความรับผิดชอบในการคืนทรัพย์สิน
วันเกิดเหตุ เวลากลางคืน รถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายที่ 1 จอดไว้ในห้องทำงาน สถานีบริการน้ำมันของผู้เสียหายที่ 2 และน้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ เครื่องคิดเลข วิทยุ กับกล้องวงจรปิดของผู้เสียหายที่ 2 ถูกคนร้ายลักไป ต่อมาเวลาประมาณ 6 นาฬิกา มีผู้พบเห็นรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวจอดอยู่ที่หน้ามัสยิดของหมู่บ้านโดยมีเสื้อคลุม น้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ เครื่องคิดเลข และวิทยุที่วางไว้ในตะกร้าหน้ารถจึงแจ้งให้ ม. ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านทราบ ม. ไปดูรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว สักครู่หนึ่งจำเลยจะมาเอารถจักรยานยนต์ไป ม. ขอดูบัตรประจำตัวประชาชนและกุญแจรถ จำเลยไม่มี ม. บอกให้จำเลยไปเอากุญแจรถมาก่อน จำเลยจึงกลับไป พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยต้องรู้ดีว่ารถจักรยานยนต์และทรัพย์ที่ตะกร้าหน้ารถที่จำเลยจะไปเอานั้นเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดเข้าลักษณะลักทรัพย์ เมื่อจำเลยจะไปเอาทรัพย์ดังกล่าวอันเป็นการช่วยพาเอาไปเสียตาม ป.อ. มาตรา 357 วรรคแรก แต่ไม่สามารถเอาไปได้เพราะ ม. เข้าขัดขวางโดยให้จำเลยไปเอากุญแจรถมาก่อน การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการลงมือกระทำความผิดฐานรับของโจร แต่กระทำไปไม่ตลอด จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามรับของโจร แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษข้อหารับของโจร แต่เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณารับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพยายามรับของโจร ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยได้
จำเลยกระทำผิดฐานพยายามรับของโจรรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กยน ปัตตานี 484 ของผู้เสียหายที่ 1 ฉะนั้น น้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ เครื่องคิดเลข และวิทยุของผู้เสียหายที่ 2 ที่ถูกคนร้ายลักไปกับกล้องวงจรปิดย่อมไม่ใช่ทรัพย์ที่ผู้เสียหายที่ 2 สูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยที่โจทก์จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ได้
จำเลยกระทำผิดฐานพยายามรับของโจรรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กยน ปัตตานี 484 ของผู้เสียหายที่ 1 ฉะนั้น น้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ เครื่องคิดเลข และวิทยุของผู้เสียหายที่ 2 ที่ถูกคนร้ายลักไปกับกล้องวงจรปิดย่อมไม่ใช่ทรัพย์ที่ผู้เสียหายที่ 2 สูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยที่โจทก์จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18196/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบุริมสิทธิของผู้จัดการมรดกเหนือทรัพย์สินที่ถูกยึดบังคับคดี การใช้สิทธิก่อนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของ ก. ซึ่งออกเงินค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์อันร่วมกันของกองมรดก จึงเป็นผู้มีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของกองมรดกที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้เพื่อขายทอดตลาด การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินดังกล่าวย่อมไม่อาจกระทบถึงสิทธิของผู้ร้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287 แต่ผู้ร้องจะใช้สิทธิได้ต่อเมื่อมีการบังคับคดีโดยนำทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวิธีอื่นเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ผู้รับจำนองก่อน ทั้งบุริมสิทธิของผู้ร้องไม่ปรากฏทางทะเบียน ดังนี้ ผู้ร้องย่อมสามารถร้องขอให้บังคับตามสิทธิของตนได้ก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 318 ถึง 321
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 17245/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประเมินราคาทรัพย์สิน: ความรับผิดชอบของผู้ประเมินต่อความเสียหายจากราคาที่ไม่ถูกต้อง
สัญญารับจ้างสำรวจและประเมินราคาทรัพย์สินเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 มีข้อตกลงในข้อ 6 ว่า จำเลยที่ 1 ยอมรับผิดในการสำรวจและประเมินราคาทรัพย์สินหรือรายงานผลการก่อสร้างอาคาร ไม่ว่าจะเกิดโดยความประมาทเลินเล่อ จงใจ หรือทุจริต ซึ่งมีผลให้มูลค่าทรัพย์สินที่ประเมินราคาสูงขึ้น หรือต่ำกว่าตามปกติที่เป็นจริง หรือผิดไปจากวิชาชีพการประเมินราคา โดยจำเลยที่ 1 ผู้จัดการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือตัวแทนของจำเลยที่ 1 ความรับผิดดังกล่าวนั้นจำเลยที่ 1 ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายตามจำนวนที่โจทก์เป็นผู้กำหนดขึ้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าพนักงานของจำเลยที่ 1 ประเมินราคาหลักประกันลูกค้าของโจทก์ทั้งสามรายไม่ถูกต้อง โดยประเมินราคาหลักประกันลูกค้ารายที่ 1 และที่ 2 สูงกว่าความเป็นจริง และรายที่ 3 ไม่ได้รายงานผลการปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำถนนสาธารณะซึ่งต้องไม่ประเมินราคาสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ทำให้ราคาประเมินสูงกว่าความเป็นจริงอันเป็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญา ถือเป็นการผิดสัญญา จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์
แม้ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า สตอ. ส. จสต. อ. และ ว. ลูกค้าของโจทก์ผิดนัดชำระหนี้ และโจทก์ได้ฟ้องบังคับคดีขายทอดตลาดหลักประกันแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ โดยคณะทำงานดำเนินการเรื่องค่าเสียหายของโจทก์ได้กำหนดวิธีชดใช้ค่าเสียหาย เงื่อนไขหลุดพ้นความรับผิดชอบ และการฟ้องบังคับคดีลูกหนี้ตามเอกสารหมาย จ.16 ข้อ 3.3.1 และข้อ 3.3.2 ว่า กรณีลูกหนี้ผ่อนชำระปกติให้บริษัทประเมินรับสภาพหนี้เอาไว้ก่อน ยังไม่ต้องชำระค่าเสียหาย ถ้าลูกหนี้ผ่อนชำระหนี้ลดลงจนหลักประกันคุ้มยอดหนี้ ให้ถือว่าบริษัทประเมินหลุดพ้นจากการรับสภาพหนี้ และกรณีลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ให้ฟ้องบังคับคดีและเอาหนี้ส่วนที่ขาดจากบริษัทประเมินตามที่ได้รับสภาพหนี้ไว้ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาโดยประเมินราคาหลักประกันสูงกว่าความเป็นจริงและไม่รายงานสภาพที่แท้จริงของหลักประกัน ย่อมทำให้โจทก์ใช้ราคาประเมินดังกล่าวมาเป็นฐานในการคำนวณวงเงินกู้และอนุมัติเงินกู้ให้แก่ลูกค้าสูงกว่ามูลค่า ที่แท้จริงของหลักประกัน ทำให้เกิดความเสี่ยงในการได้รับชำระหนี้คืนในส่วนยอดหนี้ที่เกินกว่าราคาหลักประกันมีผลถึงการประกอบกิจการโดยรวมของโจทก์ กรณีย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากการผิดสัญญาของจำเลยที่ 1 ที่ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้แล้ว หาใช่เป็นกรณีที่ความเสียหายที่แท้จริงยังไม่เกิดขึ้น แต่ที่โจทก์เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 890,000 บาทนั้น ค่าเสียหายดังกล่าวโจทก์กำหนดตามข้อสัญญาที่ว่า จำเลยที่ 1 ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายตามจำนวนที่โจทก์เป็นผู้กำหนดขึ้น และโจทก์กำหนดตามราคาประเมินหลักประกันของลูกค้าทั้งสามรายที่สูงกว่าความเป็นจริง กรณีจึงเป็นค่าเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้ามีลักษณะเป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควร ซึ่งศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้โดยพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง
แม้ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า สตอ. ส. จสต. อ. และ ว. ลูกค้าของโจทก์ผิดนัดชำระหนี้ และโจทก์ได้ฟ้องบังคับคดีขายทอดตลาดหลักประกันแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ โดยคณะทำงานดำเนินการเรื่องค่าเสียหายของโจทก์ได้กำหนดวิธีชดใช้ค่าเสียหาย เงื่อนไขหลุดพ้นความรับผิดชอบ และการฟ้องบังคับคดีลูกหนี้ตามเอกสารหมาย จ.16 ข้อ 3.3.1 และข้อ 3.3.2 ว่า กรณีลูกหนี้ผ่อนชำระปกติให้บริษัทประเมินรับสภาพหนี้เอาไว้ก่อน ยังไม่ต้องชำระค่าเสียหาย ถ้าลูกหนี้ผ่อนชำระหนี้ลดลงจนหลักประกันคุ้มยอดหนี้ ให้ถือว่าบริษัทประเมินหลุดพ้นจากการรับสภาพหนี้ และกรณีลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ให้ฟ้องบังคับคดีและเอาหนี้ส่วนที่ขาดจากบริษัทประเมินตามที่ได้รับสภาพหนี้ไว้ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาโดยประเมินราคาหลักประกันสูงกว่าความเป็นจริงและไม่รายงานสภาพที่แท้จริงของหลักประกัน ย่อมทำให้โจทก์ใช้ราคาประเมินดังกล่าวมาเป็นฐานในการคำนวณวงเงินกู้และอนุมัติเงินกู้ให้แก่ลูกค้าสูงกว่ามูลค่า ที่แท้จริงของหลักประกัน ทำให้เกิดความเสี่ยงในการได้รับชำระหนี้คืนในส่วนยอดหนี้ที่เกินกว่าราคาหลักประกันมีผลถึงการประกอบกิจการโดยรวมของโจทก์ กรณีย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากการผิดสัญญาของจำเลยที่ 1 ที่ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้แล้ว หาใช่เป็นกรณีที่ความเสียหายที่แท้จริงยังไม่เกิดขึ้น แต่ที่โจทก์เรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 890,000 บาทนั้น ค่าเสียหายดังกล่าวโจทก์กำหนดตามข้อสัญญาที่ว่า จำเลยที่ 1 ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายตามจำนวนที่โจทก์เป็นผู้กำหนดขึ้น และโจทก์กำหนดตามราคาประเมินหลักประกันของลูกค้าทั้งสามรายที่สูงกว่าความเป็นจริง กรณีจึงเป็นค่าเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้ามีลักษณะเป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควร ซึ่งศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้โดยพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1676/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์มรดกโดยทายาทโดยธรรม ไม่ถือเป็นการโกงเจ้าหนี้ หากไม่มีเจตนาเพื่อหลีกเลี่ยงหนี้
การโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดอันจะเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา 350 นั้น ผู้กระทำต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ การที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 รับโอนที่ดินตามโฉนดเลขที่ 49394 ซึ่งผู้ตายเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มาเป็นของตนเองนั้น ก็เป็นเพียงการรับโอนทรัพย์มรดกของผู้ตายในฐานะทายาทโดยธรรมผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายตามกฎหมาย แม้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาของผู้ตายจะสละมรดกในที่ดินโฉนดดังกล่าว แต่สิทธิของเจ้าหนี้ในการว่ากล่าวเอาแก่ทรัพย์มรดกที่ตกทอดแก่ทายาทยังคงมีอยู่ตามเดิม มิได้ถูกกระทบกระเทือนเนื่องจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16490/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องยักยอกทรัพย์ต้องระบุทรัพย์สินที่ถูกยักยอกอย่างชัดเจน หากนำสืบข้อเท็จจริงต่างจากที่ฟ้อง ศาลไม่อาจลงโทษได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองครอบครองทรัพย์ของโจทก์ร่วม เช่น อาหาร เครื่องดื่ม สิ่งของที่ใช้ประกอบอาหาร สุรา บุหรี่ และของใช้ทั่วไป แล้วร่วมกันเอาทรัพย์ของโจทก์ร่วมไปขาย และเบียดบังยักยอกเงินค่าขายทรัพย์ดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสอง แต่กลับนำสืบว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันนำทรัพย์ของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารไปใช้ที่ร้านอาหารของจำเลยที่ 1 อันเป็นการยักยอกทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหาร ไม่ใช่ยักยอกเงินค่าขายทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ในสาระสำคัญ ศาลไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16202/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ประกอบการรับซื้อของเก่าต่อความเสียหายจากทรัพย์สินที่ได้มาโดยประมาท
จำเลยที่ 3 มิได้ใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบในฐานะเป็นผู้ประกอบอาชีพรับซื้อของเก่าจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ เสมือนไม่ใส่ใจหรือไม่รับรู้ว่าจะเป็นทรัพย์สินที่ผู้นำมาขายได้มาโดยผิดกฎหมายหรือไม่ จึงเป็นการรับซื้อทรัพย์สินไว้โดยประมาท มีผลทำให้บริษัท ส. เจ้าของทรัพย์สินได้รับความเสียหาย แม้ในคดีอาญาที่จำเลยที่ 3 ถูกฟ้องข้อหารับของโจรจะวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์ในคดีอาญายังไม่พอรับฟังว่า จำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานรับของโจร แต่ก็เป็นข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่าจำเลยที่ 3 มิได้กระทำโดยเจตนาเท่านั้น ยังไม่มีการวินิจฉัยรับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 กระทำโดยประมาทหรือไม่ ศาลย่อมวินิจฉัยรับฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบกันมาในสำนวนคดีนี้ได้ว่า จำเลยที่ 3 รับซื้อทรัพย์สินไว้โดยประมาทเลินเล่อ อันเป็นการกระทำละเมิดต่อบริษัท ส. โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับขนส่งยอมรับผิดชำระค่าเสียหายแก่บริษัท ส. ในการที่ของอันเขาได้มอบหมายแก่ตนให้ขนส่งนั้นสูญหายไป ย่อมรับช่วงสิทธิจากบริษัทดังกล่าวเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้กระทำละเมิดได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 226, 227 และ 616
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16137/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบทรัพย์ในคดียาเสพติด ต้องพิสูจน์ความเชื่อมโยงระหว่างทรัพย์สินกับการกระทำความผิดโดยตรง
การจะริบทรัพย์ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง นั้น ผู้ร้องมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาไต่สวนให้ได้ความว่าทรัพย์สินดังกล่าวเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งเป็นคนละส่วนกับคดีที่ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดถูกฟ้องอันเป็นคดีหลัก แม้ในคดีหลักจำเลยจะให้การรับสารภาพ แต่เมื่อทางนำสืบของผู้ร้องได้ความเพียงว่าเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางได้ที่ตัวจำเลย โดยซุกซ่อนไว้ที่ขอบกางเกงที่จำเลยสวมอยู่ และผู้ร้องไม่นำสืบให้เห็นว่า จำเลยใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะสำหรับการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอย่างไร หรือจำเลยมีเจตนาที่จะใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นประโยชน์ในการกระทำความผิดคดีนี้อย่างไร ดังนั้น รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นเพียงยานพาหนะที่จำเลยใช้เดินทางมายังสถานที่เกิดเหตุ มิใช่เป็นยานพาหนะที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด หรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อันจะพึงริบได้ตามมาตรา 30 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15028/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกล้างนิติกรรมให้ทรัพย์สินระหว่างสมรส: สิทธิเรียกคืนทรัพย์สิน
โจทก์ยกบ้านพิพาทให้จำเลยในระหว่างสมรส เป็นนิติกรรมสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินที่โจทก์จำเลยทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากัน ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1469 บัญญัติให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ ตามทางนำสืบโจทก์ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าโจทก์บอกล้างการให้เมื่อใด แต่เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องหย่าและขอให้เพิกถอนการให้บ้านพิพาท ให้จำเลยคืนบ้านพิพาทแก่โจทก์ ถือได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาบอกล้างในขณะที่ยังเป็นสามีภริยากันอยู่ สัญญาจึงไม่มีผลบังคับอีกต่อไป โจทก์มีสิทธิเรียกคืนบ้านพิพาทจากจำเลยได้โดยไม่จำต้องคำนึงว่าข้อเท็จจริงจะฟังได้หรือไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14275/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์: การแจ้งรายละเอียดทรัพย์ที่ไม่ถูกต้องไม่ทำให้การยึดทรัพย์เป็นโมฆะ หากขั้นตอนการยึดถูกต้องตามกฎหมาย
การยึดอสังหาริมทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจัดทำโดยนำเอาหนังสือสำคัญสำหรับทรัพย์สินนั้นมาและฝากไว้ ณ สถานที่ใด หรือแก่บุคคลใดตามที่เห็นสมควร และแจ้งการยึดนั้นให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษา และเจ้าพนักงานที่ดินผู้มีหน้าที่ทราบ ให้เจ้าพนักงานที่ดินบันทึกการยึดไว้ในทะเบียน ถ้าหนังสือสำคัญยังไม่ได้ออก หรือนำมาแสดงไม่ได้ หรือหาไม่พบ ให้ถือว่าการที่ได้แจ้งการยึดต่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาและเจ้าพนักงานที่ดินนั้น เป็นการยึดตามกฎหมายแล้ว" ดังนั้น การที่ผู้แทนโจทก์แถลงให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 1374 พร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทที่ตั้งอยู่บนที่ดินดังกล่าว โดยผู้แทนโจทก์ระบุว่าเป็นทาวน์เฮาส์เลขที่ 6/8 ซึ่งผิดไปจากความจริง เพราะที่ถูกแล้วจะต้องเป็นทาวน์เฮาส์เลขที่ 6/4 นั้น จึงเป็นกรณีที่ผู้แทนโจทก์แถลงผิดพลาดไป แต่ก็หาทำให้การยึดเสียไปไม่ เพราะขั้นตอนการยึดได้กระทำโดยครบถ้วนตามกฎหมาย