พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,483 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1699/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ในศาลแขวง: อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม พ.ร.บ.ศาลแขวง และการพิจารณาฟ้องเคลือบคลุม
คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยร่วมกันจัดพิมพ์หนังสือออกโฆษณาจริง. แต่ข้อความนั้นไม่ใช่เรื่องดูหมิ่นเจ้าพนักงานหรือศาลหรือละเมิดอำนาจศาล. จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้ร่วมกันจัดพิมพ์หนังสือหมิ่นประมาทตามฟ้อง. และฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น. ถือว่าเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา22. ส่วนที่อุทธรณ์ว่าฟ้องเคลือบคลุมนั้นไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรรับไว้วินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1655/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอฟังว่ามีการพยายามฆ่า ศาลฎีกายกฟ้องจำเลยทั้งสองได้ แม้จำเลยบางส่วนไม่ได้อุทธรณ์
เมื่อคำพยานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า ได้มีการกระทำผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายเกิดขึ้นจริงตามฟ้อง ดังนี้ จึงเป็นเหตุในลักษณะคดี แม้จำเลยอื่นจะมิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องโจทก์ถึงจำเลยนั้นด้วยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213,225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1321/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลาวางค่าฤชาธรรมเนียมอุทธรณ์: ศาลมีอำนาจขยายเวลาได้หากมีเหตุผล และพฤติการณ์สมควร
คู่ความฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2509 โจทก์ยื่นอุทธรณ์วันที่ 28 เดือนต่อมา อันเป็นวันสุดท้ายที่อาจยื่นได้ โดยโจทก์มิได้วางเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนจำเลยในวันเดียวกัน วันนั้นเองศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ วันที่ 1 ธันวาคม 2509 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำค่าฤชาธรรมเนียมมาวางใน 7 วัน โจทก์นำมาชำระวันที่ 6 เดือนเดียวกัน ดังนี้ เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้ศาลมีอำนาจขยายเวลาวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนอีกฝ่ายหนึ่งได้ ทั้งพฤติการณ์แห่งคดีสมควรขยายเวลาให้ (อ้างฎีกา โดยมติที่ประชุมใหญ่ ที่ 1706/2500)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1321/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลาวางค่าฤชาธรรมเนียมอุทธรณ์: ศาลมีอำนาจขยายเวลาได้หากมีเหตุผลและศาลรับอุทธรณ์ไว้แล้ว
คู่ความฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม2509. โจทก์ยื่นอุทธรณ์วันที่ 28 เดือนต่อมา. อันเป็นวันสุดท้ายที่อาจยื่นได้. โดยโจทก์มิได้วางเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนจำเลยในวันเดียวกัน.วันนั้นเองศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ วันที่ 1 ธันวาคม 2509. ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำค่าฤชาธรรมเนียมมาวางใน 7 วัน. โจทก์นำมาชำระวันที่ 6 เดือนเดียวกัน.ดังนี้ เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้. ศาลมีอำนาจขยายเวลาวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนอีกฝ่ายหนึ่งได้. ทั้งพฤติการณ์แห่งคดีสมควรขยายเวลาให้.(อ้างฎีกา โดยมติที่ประชุมใหญ่ ที่ 1706/2500).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1000/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิโจทก์ร่วม, การอุทธรณ์/ฎีกา, การสืบพยานเพิ่มเติม, ความผิดฐานฉุดคร่าและทำร้ายร่างกาย
แม้พนักงานอัยการโจทก์มิได้อุทธรณ์ แต่โจทก์ร่วมได้อุทธรณ์และฎีกาต่อมา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(14) อธิบายคำว่า "โจทก์" ไว้ว่า หมายความถึงพนักงานอัยการหรือผู้เสียหายซึ่งฟ้องคดีอาญาต่อศาล หรือทั้งคู่ในเมื่อพนักงานอัยการและผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมกัน ดังนั้น โจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการต่างจึงมีฐานะเป็นโจทก์ด้วยกัน เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งงดไม่สืบต่อไปให้เสร็จ พนักงานอัยการโจทก์จึงมีสิทธินำสืบต่อไปได้ ศาลอุทธรณ์จึงฟังพยานที่นำสืบต่อไปนั้นวินิจฉัยคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 963/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งข้อกฎหมายเรื่องการซื้อเชื่อและกรรมสิทธิ์ในฐานะผู้รับฝากขาย ไม่ใช่การอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดทางแพ่งหรือทางอาญาเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลชั้นต้นเห็นว่าการติดต่อระหว่างผู้เสียหายเป็นการซื้อเชื่อชนิดพิเศษผิดกับการซื้อเชื่อธรรมดา และทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ โจทก์ร่วมอุทธรณ์รับในข้อเท็จจริง แต่โต้แย้งว่าไม่เป็นการซื้อเชื่อ และจำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์ ถือว่าเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายไม่ใช่ข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าการติดต่อระหว่างผู้เสียหายเป็นการซื้อเชื่อชนิดพิเศษผิดกับการซื้อเชื่อธรรมดา และทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ โจทก์ร่วมอุทธรณ์รับในข้อเท็จจริง แต่โต้แย้งว่าไม่เป็นการซื้อเชื่อ และจำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์ ถือว่าเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายไม่ใช่ข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 963/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อเชื่อพิเศษกับการยักยอกทรัพย์: ศาลฎีกาวินิจฉัยการอุทธรณ์ข้อกฎหมายเรื่องกรรมสิทธิ์และการรับผิดชอบ
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดทางแพ่งหรือทางอาญาเป็นปัญหาข้อกฎหมาย.
ศาลชั้นต้นเห็นว่าการติดต่อระหว่างผู้เสียหายเป็นการซื้อเชื่อชนิดพิเศษผิดกับการซื้อเชื่อธรรมดา และทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์. โจทก์ร่วมอุทธรณ์รับในข้อเท็จจริง แต่โต้แย้งว่าไม่เป็นการซื้อเชื่อ. และจำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์. ถือว่าเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายไม่ใช่ข้อเท็จจริง.
ศาลชั้นต้นเห็นว่าการติดต่อระหว่างผู้เสียหายเป็นการซื้อเชื่อชนิดพิเศษผิดกับการซื้อเชื่อธรรมดา และทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์. โจทก์ร่วมอุทธรณ์รับในข้อเท็จจริง แต่โต้แย้งว่าไม่เป็นการซื้อเชื่อ. และจำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์. ถือว่าเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายไม่ใช่ข้อเท็จจริง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 882/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ภาษีอากรมีผลบังคับเป็นบุริมสิทธิเมื่อใด แม้มีการอุทธรณ์ก็ไม่ทุเลาหากไม่ได้รับการอนุมัติจากอธิบดี
หนี้ค่าภาษีอากรซึ่งมีบุริมสิทธิสามัญนั้นต้องเป็นหนี้ที่ลูกหนี้ยังค้างชำระอยู่ในปีปัจจุบัน และก่อนนั้นขึ้นไปปีหนึ่ง.
หนี้ค่าภาษีอากรปี 2503 ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินตรวจพบและประเมินเพิ่มให้จำเลยชำระเมื่อปี 2505. แม้จำเลยจะอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และอุทธรณ์ต่อไปยังศาลก็ไม่เป็นการทุเลาการเสียภาษีอากร. เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดี(กรมสรรพากร).
เมื่อผู้ร้องมิได้อ้างว่า มีการอนุมัติของอธิบดีให้รอคำวินิจฉัยอุทธรณ์. ย่อมไม่มีเหตุที่จะอ้างว่า.หนี้ค่าภาษีอากรถึงกำหนดชำระเมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุด.
การที่จำเลยยื่นคำร้องขอผัดและผ่อนชำระภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89ทวิ. แต่อธิบดีไม่อนุญาต. ไม่มีผลทำให้หนี้ถึงกำหนดภายหลัง.
หนี้ค่าภาษีอากรปี 2503 ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินตรวจพบและประเมินเพิ่มให้จำเลยชำระเมื่อปี 2505. แม้จำเลยจะอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และอุทธรณ์ต่อไปยังศาลก็ไม่เป็นการทุเลาการเสียภาษีอากร. เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากอธิบดี(กรมสรรพากร).
เมื่อผู้ร้องมิได้อ้างว่า มีการอนุมัติของอธิบดีให้รอคำวินิจฉัยอุทธรณ์. ย่อมไม่มีเหตุที่จะอ้างว่า.หนี้ค่าภาษีอากรถึงกำหนดชำระเมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุด.
การที่จำเลยยื่นคำร้องขอผัดและผ่อนชำระภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89ทวิ. แต่อธิบดีไม่อนุญาต. ไม่มีผลทำให้หนี้ถึงกำหนดภายหลัง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 800/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่ศาลในการรับรองอุทธรณ์และการส่งสำนวนไปยังอธิบดีอัยการ: ผู้ต้องดำเนินการเอง
การอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่ส่งสำนวนและอุทธรณ์ไปให้อธิบดีกรมอัยการพิจารณารับรองตามคำร้องของโจทก์ร่วมนั้น ผู้อุทธรณ์ต้องทำเป็นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 และชอบที่ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยโดยทำเป็นคำพิพากษามิใช่ทำเป็นคำสั่ง แต่โดยที่ศาลอุทธรณ์ได้ทำคำสั่งโดยผู้พิพากษาสองนาย เพียงแต่ผิดแบบเฉพาะการทำเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งจึงไม่จำเป็นที่จะให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ (อ้างฎีกาที่ 1244/2503)
การที่จะให้อธิบดีกรมอัยการรับรองอุทธรณ์นั้น กฎหมายมิได้บัญญัติให้ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งอุทธรณ์ไปให้อธิบดีกรมอัยการรับรอง การรับรองอุทธรณ์เป็นประโยชน์แก่ผู้อุทธรณ์เอง ผู้อุทธรณ์จึงต้องขวนขวายขอร้องไปยังอธิบดีกรมอัยการเอง หาใช่อาศัยศาลเป็นเครื่องมือส่งต่อไปยังอธิบดีกรมอัยการไม่ (อ้างฎีกาที่ 656/2506)
การที่จะให้อธิบดีกรมอัยการรับรองอุทธรณ์นั้น กฎหมายมิได้บัญญัติให้ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งอุทธรณ์ไปให้อธิบดีกรมอัยการรับรอง การรับรองอุทธรณ์เป็นประโยชน์แก่ผู้อุทธรณ์เอง ผู้อุทธรณ์จึงต้องขวนขวายขอร้องไปยังอธิบดีกรมอัยการเอง หาใช่อาศัยศาลเป็นเครื่องมือส่งต่อไปยังอธิบดีกรมอัยการไม่ (อ้างฎีกาที่ 656/2506)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 800/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่ศาลในการรับรองอุทธรณ์และการส่งเรื่องให้อธิบดีอัยการ ผู้ต้องดำเนินการเอง
การอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่ส่งสำนวนและอุทธรณ์ไปให้อธิบดีกรมอัยการพิจารณารับรองตามคำร้องของโจทก์ร่วมนั้นผู้อุทธรณ์ต้องทำเป็นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 และชอบที่ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยโดยทำเป็นคำพิพากษามิใช่ทำเป็นคำสั่งแต่โดยที่ศาลอุทธรณ์ได้ทำคำสั่งโดยผู้พิพากษาสองนาย เพียงแต่ผิดแบบเฉพาะการทำเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งจึงไม่จำเป็นที่จะให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่(อ้างฎีกาที่ 1244/2503)
การที่จะให้อธิบดีกรมอัยการรับรองอุทธรณ์นั้น กฎหมายมิได้บัญญัติให้ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งอุทธรณ์ไปให้อธิบดีกรมอัยการรับรองการรับรองอุทธรณ์เป็นประโยชน์แก่ผู้อุทธรณ์เองผู้อุทธรณ์จึงต้องขวนขวายขอร้องไปยังอธิบดีกรมอัยการเองหาใช่อาศัยศาลเป็นเครื่องมือส่งต่อไปยังอธิบดีกรมอัยการไม่ (อ้างฎีกาที่ 656/2506)
การที่จะให้อธิบดีกรมอัยการรับรองอุทธรณ์นั้น กฎหมายมิได้บัญญัติให้ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งอุทธรณ์ไปให้อธิบดีกรมอัยการรับรองการรับรองอุทธรณ์เป็นประโยชน์แก่ผู้อุทธรณ์เองผู้อุทธรณ์จึงต้องขวนขวายขอร้องไปยังอธิบดีกรมอัยการเองหาใช่อาศัยศาลเป็นเครื่องมือส่งต่อไปยังอธิบดีกรมอัยการไม่ (อ้างฎีกาที่ 656/2506)