พบผลลัพธ์ทั้งหมด 651 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3613/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิพากษาต่างกัน และขอบเขตความรับผิดของผู้สนับสนุน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเป็นตัวการฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดดังกล่าว คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในความผิดฐานเป็นตัวการฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3388/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วัตถุประสงค์บริษัทจำกัด: การซื้อลดเช็คไม่อยู่ในขอบเขต แม้จะอ้างเป็นการให้กู้ยืมเงิน
การซื้อลดเช็คกับการให้กู้ยืมเงินเป็นนิติกรรมคนละประเภทมีกฎหมายรองรับในเรื่องรูปแบบและผลประโยชน์ผิดแผกแตกต่างกันดังนั้น การที่บริษัทโจทก์มีวัตถุประสงค์ให้กู้ยืมเงิน จึงไม่อาจฟังว่า การซื้อลดเช็คอยู่ในขอบวัตถุประสงค์ของบริษัทโจทก์ บริษัทโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ให้ทำการรับซื้อลดเช็ค แต่รับซื้อลดเช็คไว้ ถือว่าบริษัทโจทก์ได้เช็คมาโดยการประกอบกิจการนอกขอบวัตถุประสงค์ ไม่อาจอ้างได้ว่าเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบ และไม่เป็นผู้เสียหายดำเนินคดีแก่จำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3246/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์จำกัดขอบเขต ศาลอุทธรณ์แก้ไขจำนวนหนี้เกินขอบเขตที่อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา แล้วสืบพยานโจทก์และพิพากษาให้โจทก์ได้รับชำระหนี้เต็มตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วให้พิจารณาคดีใหม่เท่านั้น ดังนี้การที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาก้าวล่วงไปถึงจำนวนหนี้แล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดน้อยลง โดยจำเลยมิได้อุทธรณ์ขึ้นมาจึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2799/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว และขอบเขตการแก้ไขโทษที่ไม่เกิน 5 ปี
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 และ 72 ลดมาตราส่วนโทษตามมาตรา75 และลดโทษให้ตามมาตรา 78 แล้วคงจำคุก 8 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นให้จำคุก 2 ปี ตามบทกฎหมายที่ศาลชั้นต้นวางมา เช่นนี้ เป็นการแก้เฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลย ไม่ได้แก้บทมาตราด้วย จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากจำเลยถูกผู้เสียหายชกต่อยผ่านพ้นไปแล้ว จึงไม่มีภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่จำเลยจะต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน จำเลยฎีกาว่าจำเลยแทงผู้เสียหายในขณะถูกชกต่อย แต่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ดังนี้ ฎีกาของจำเลยเท่ากับเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาซึ่งเป็นยุติและต้องห้ามฎีกา เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว.
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากจำเลยถูกผู้เสียหายชกต่อยผ่านพ้นไปแล้ว จึงไม่มีภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่จำเลยจะต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน จำเลยฎีกาว่าจำเลยแทงผู้เสียหายในขณะถูกชกต่อย แต่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ดังนี้ ฎีกาของจำเลยเท่ากับเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาซึ่งเป็นยุติและต้องห้ามฎีกา เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2616/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดอำนาจศาล: การไต่สวนที่ไม่ชอบและขอบเขตการละเมิด
คดีละเมิดอำนาจศาล ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนโดยไม่ชอบ เนื่องจากไม่อนุญาตให้ผู้ถูกกล่าวหาถามค้านพยานที่ศาลหมายเรียกมาไต่สวน และไม่อนุญาตให้ผู้ถูกกล่าวหานำพยานของตนเข้าสืบ การที่ผู้ถูกกล่าวหาฎีกาว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาไม่เป็นการละเมิดอำนาจศาลดังนี้ มิใช่เป็นฎีกาที่คัดค้านข้อชี้ขาดคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 259/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงข้อบังคับสภาพการจ้างและขอบเขตการจ่ายเงินบำเหน็จ: การอุทธรณ์ที่เกินกรอบและข้อจำกัดของข้อบังคับ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จที่ยังขาดอยู่แก่โจทก์โดยอ้างว่าจำเลยมีข้อบังคับให้จ่ายเงินบำเหน็จ แต่อุทธรณ์ว่าเดิมจำเลยมีข้อบังคับโรงพิมพ์ตำรวจว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. 2528 โดยไม่ระบุว่าเงินบำเหน็จสูงกว่าค่าชดเชยจะเป็นอย่างไร ต่อมาจำเลยออกข้อบังคับโรงพิมพ์ตำรวจว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. 2529 ยกเลิกฉบับปี พ.ศ. 2528 เพื่อประโยชน์แก่จำเลยข้อบังคับฉบับหลังนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ อุทธรณ์ของโจทก์เป็นข้อที่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้ ทั้งกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างอันเป็นเรื่องที่ไม่เป็นคุณแก่โจทก์ หากโจทก์ตกลงด้วยก็มีผลใช้บังคับได้อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลางต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
ตามข้อบังคับโรงพิมพ์ตำรวจว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. 2529 กำหนดว่าในกรณีที่พนักงานออกจากงานโดยมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานแล้ว ไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตามข้อบังคับนี้แต่ถ้าค่าชดเชยที่มีสิทธิได้รับต่ำกว่าเงินบำเหน็จที่จะได้รับตามข้อบังคับนี้ก็ให้จ่ายเพิ่มเฉพาะส่วนที่ยังขาดอยู่ ซึ่งมีความหมายว่าพนักงานของจำเลยคนใดที่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานอยู่แล้วหากค่าชดเชยนั้นมีจำนวนต่ำกว่าเงินบำเหน็จ จำเลยก็จะจ่ายค่าชดเชยให้เต็มจำนวนกับยังจ่ายเงินบำเหน็จให้อีกตามจำนวนที่แตกต่างกันเฉพาะส่วนที่มีจำนวนสูงกว่าค่าชดเชยนั้น เมื่อโจทก์มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จจากจำเลยเกินกว่าจำนวนค่าชดเชยที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวเงินที่โจทก์ได้รับจึงเป็นค่าชดเชยเต็มจำนวนแล้ว โจทก์คงมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จเฉพาะส่วนที่ยังขาดอยู่เท่านั้น
ตามข้อบังคับโรงพิมพ์ตำรวจว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ พ.ศ. 2529 กำหนดว่าในกรณีที่พนักงานออกจากงานโดยมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานแล้ว ไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตามข้อบังคับนี้แต่ถ้าค่าชดเชยที่มีสิทธิได้รับต่ำกว่าเงินบำเหน็จที่จะได้รับตามข้อบังคับนี้ก็ให้จ่ายเพิ่มเฉพาะส่วนที่ยังขาดอยู่ ซึ่งมีความหมายว่าพนักงานของจำเลยคนใดที่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานอยู่แล้วหากค่าชดเชยนั้นมีจำนวนต่ำกว่าเงินบำเหน็จ จำเลยก็จะจ่ายค่าชดเชยให้เต็มจำนวนกับยังจ่ายเงินบำเหน็จให้อีกตามจำนวนที่แตกต่างกันเฉพาะส่วนที่มีจำนวนสูงกว่าค่าชดเชยนั้น เมื่อโจทก์มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จจากจำเลยเกินกว่าจำนวนค่าชดเชยที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวเงินที่โจทก์ได้รับจึงเป็นค่าชดเชยเต็มจำนวนแล้ว โจทก์คงมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จเฉพาะส่วนที่ยังขาดอยู่เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2433/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอและการนำสืบพยานนอกประเด็น: ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยขอบเขตการครอบครองที่ดินได้
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท การที่จำเลยนำสืบว่าที่พิพาทเป็นที่ดินราชพัสดุก็เพื่อแสดงว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครอง สิทธิครอบครองเป็นของจำเลย จำเลยชอบที่จะนำสืบได้ไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็นหรือนอกคำให้การ
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมายว่าโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินโจทก์ เมื่อปรากฏว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ดินโจทก์ ศาลชั้นต้นยังพิพากษาขับไล่จำเลยจึงเป็นการเกินคำขอของโจทก์ ในการพิจารณาข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอของโจทก์หรือไม่ศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์หรือไม่ หากที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ไม่เกินคำขอ หากอยู่ในที่ดินแปลงอื่นของบุคคลอื่นคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็เกินคำขอ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุคนละแปลงกับที่ดินโจทก์เพื่อที่จะได้วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอหรือไม่ ก็อยู่ในขอบเขตที่จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ไม่ได้พิพากษาเกินอุทธรณ์แต่อย่างใด
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมายว่าโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินโจทก์ เมื่อปรากฏว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ดินโจทก์ ศาลชั้นต้นยังพิพากษาขับไล่จำเลยจึงเป็นการเกินคำขอของโจทก์ ในการพิจารณาข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอของโจทก์หรือไม่ศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์หรือไม่ หากที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ไม่เกินคำขอ หากอยู่ในที่ดินแปลงอื่นของบุคคลอื่นคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็เกินคำขอ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุคนละแปลงกับที่ดินโจทก์เพื่อที่จะได้วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอหรือไม่ ก็อยู่ในขอบเขตที่จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ไม่ได้พิพากษาเกินอุทธรณ์แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2193/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการลักทรัพย์ในเคหสถาน: ร้านค้าเปิดทำการกลางวัน ไม่ถือเป็นเคหสถาน
ที่เกิดเหตุเป็นร้านค้าซึ่งประชาชนย่อมจะเข้าไปได้ แม้จะเป็นเคหสถานที่ผู้เสียหายใช้อยู่อาศัยด้วย แต่ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันร้านค้ายังคงเปิดขายสินค้าอยู่ การที่จำเลยเข้าไปลักสุราและบุหรี่จึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (8)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1847/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไต่สวนทรัพย์สินลูกหนี้ตามคำพิพากษา: เหตุผลพิเศษ & ขอบเขตการหมายเรียกพยาน
จำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้จำนองที่ดินเป็นเงินจำนวน30 ล้านบาท เงินจำนวนนี้อาจมีเหลืออยู่ อันเป็นเหตุผลพิเศษ ที่โจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเชื่อว่าจำเลยมีทรัพย์สินที่จะต้อง ถูกบังคับมากกว่าที่ตนทราบ จึงมีเหตุให้ศาลทำการไต่สวนและ ออกหมายเรียกจำเลยมาให้ถ้อยคำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 277 โจทก์ทราบเกี่ยวกับทรัพย์สินตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องอยู่แล้วเป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องสืบเสาะหาราคาเองว่าทรัพย์ที่จำนองไว้ราคาเท่าใดและจำนองไว้เท่าใด ทั้งคำร้องของโจทก์ก็ไม่ได้เจาะจง ระบุชื่อนามสกุลบุคคลที่ขอให้ศาลหมายเรียกมา เพื่อให้ศาลได้ พิเคราะห์ถึงเหตุผลว่าบุคคลดังกล่าวจะสามารถให้ถ้อยคำที่เป็นประโยชน์จริงหรือไม่ โจทก์จะขอให้หมายเรียกเจ้าหนี้บุริมสิทธิ ของจำเลย ผู้รับโอนและเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังมาให้ถ้อยคำไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1480/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตพินัยกรรมและการฟ้องร้องนอกเหนือจากพินัยกรรม: ศาลจำกัดสิทธิการโอนมรดกเฉพาะส่วนของพินัยกรรม
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของ พ. โอนที่ดินซึ่งเป็นมรดกของ พ. ให้โจทก์ตามพินัยกรรมที่ พ. ทำไว้ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินส่วนที่เป็นมรดกของบิดาโจทก์จำเลยซึ่งเป็นทรัพย์นอกพินัยกรรมให้แก่โจทก์มิได้ เพราะเป็นการนอกฟ้อง