พบผลลัพธ์ทั้งหมด 541 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1850/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าช่วงและการบังคับคดี: สถานะบริวารของผู้เช่าช่วง และข้อจำกัดการยกเหตุทางกฎหมายใหม่ในชั้นฎีกา
ปัญหาว่าสถานที่เช่าพิพาทเป็นทางเท้าตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องพิสูจน์กันในทางพิจารณาไม่ใช่เรื่องอำนาจฟ้อง ทั้งไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อคำร้องของผู้ร้องมิได้อ้างว่าสถานที่เช่าเป็นทางเท้าตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร จึงเป็นเรื่องนอกประเด็นตามคำร้องและเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ผู้ร้องย่อมไม่มีสิทธิยกปัญหานี้ชั้นฎีกาได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1585/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาอาญา: ข้อจำกัดการฎีกาข้อเท็จจริงในคดีที่ศาลลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และการคำนวณอายุความในคดีอาญา
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยยังไม่ได้ความชัดแจ้งในเรื่องจำนวนเงินที่จะให้จำเลยคืนหรือใช้ตามคำขอของโจทก์ เห็นสมควรให้ไปว่ากล่าวกันในทางแพ่งโจทก์ฎีกาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมาฟังได้แน่ชัดว่าจำเลยยักยอกเอาเงินตามจำนวนที่โจทก์ขอมาจริงฎีกาของโจทก์เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการฟังพยานหลักฐานว่าควรเชื่อได้เพียงใดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลล่างทั้งสองลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก โจทก์ร่วมมีหนังสือร้องทุกข์ถึงหัวหน้าพนักงานสอบสวน ลงวันที่15 สิงหาคม 2529 สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองเชียงใหม่ได้รับเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2529 ถือว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ตั้งแต่วันที่18 สิงหาคม 2529 ส่วนวิธีการของพนักงานสอบสวนจะปฏิบัติอย่างไรในการลงบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งไม่กระทบถึงวันที่มีการร้องทุกข์โดยถูกต้องแล้ว คดีจึงไม่ขาดอายุความ จำเลยมีการศึกษาระดับปริญญาตรี มีวุฒิภาวะพอเพียงที่จะสำนึกว่าการใดควรไม่ควร ก่อนที่จะได้ลงมือกระทำการนั้น จำเลยใช้โอกาสที่ตนมีหน้าที่ที่ได้รับความไว้วางใจให้ดูแลดำเนินกิจการของโจทก์ร่วมในฐานะผู้จัดการ ทำการทุจริตเป็นเวลาหลายเดือนติดต่อกันจึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1524/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกา: ประเด็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นในศาลอุทธรณ์
การโต้เถียงเรื่องวันเวลาในการเข้าแย่งการครอบครองที่พิพาทว่าเมื่อใดเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ อันอาจให้เช่าได้ในขณะที่ยื่นคำฟ้องเดือนละไม่เกิน 10,000 บาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสอง
ปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำเลยสามารถยกปัญหาข้อกฎหมายนั้นขึ้นอุทธรณ์ได้ แต่จำเลยหาได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในอุทธรณ์ของจำเลยไม่ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาล-อุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรก
ปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำเลยสามารถยกปัญหาข้อกฎหมายนั้นขึ้นอุทธรณ์ได้ แต่จำเลยหาได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในอุทธรณ์ของจำเลยไม่ จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาล-อุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1456/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดิน - การรบกวนการครอบครอง - ข้อจำกัดตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการเกษตร - ศาลไม่รับวินิจฉัยประเด็นใหม่
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า น.สละการครอบครองและจำเลยทั้งสองเข้าครอบครองที่พิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตน จำเลยทั้งสองได้สิทธิครอบ-ครองแล้วนั้น ฎีกาประเด็นดังกล่าวจำเลยไม่ได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
แม้การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์จะตกอยู่ในบังคับตามเงื่อนไขห้ามโอนตามที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการเกษตร พ.ศ.2511ก็ตาม โจทก์คงมีสิทธิยึดถือครอบครองที่ดินดังกล่าวได้ ส่วนจะได้กรรมสิทธิหรือไม่เพียง-ใดเป็นเรื่องระหว่างรัฐกับโจทก์ แต่ราษฎรด้วยกัน โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1374 ได้ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ยอมออกจากที่ดินพิพาทอันเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
แม้การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์จะตกอยู่ในบังคับตามเงื่อนไขห้ามโอนตามที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการเกษตร พ.ศ.2511ก็ตาม โจทก์คงมีสิทธิยึดถือครอบครองที่ดินดังกล่าวได้ ส่วนจะได้กรรมสิทธิหรือไม่เพียง-ใดเป็นเรื่องระหว่างรัฐกับโจทก์ แต่ราษฎรด้วยกัน โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1374 ได้ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ยอมออกจากที่ดินพิพาทอันเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1456/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินแม้มีข้อจำกัด โจทก์ยังมีสิทธิขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองได้
แม้การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์จะตกอยู่ในบังคับตามเงื่อนไขห้ามโอนที่ระบุไว้ใน พระราชบัญญัติ จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ก็ตาม แต่โจทก์ยังคงมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท และย่อมมีสิทธิขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1447/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาเมื่อทุนทรัพย์ไม่เกินเกณฑ์ และการไม่ฎีกาประเด็นค่าเสียหาย
แม้โจทก์จะเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาตามทุนทรัพย์280,000 บาท ซึ่งเป็นการรวมเอาราคาที่ดินพิพาทจำนวน 80,000 บาทกับค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องเรียกจากจำเลยจำนวน 200,000 บาท เข้าด้วยกันก็ตามแต่ฎีกาของโจทก์มิได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องค่าเสียหายว่าโจทก์ยังประสงค์จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยตามฟ้อง จึงเท่ากับว่าโจทก์ไม่ได้ฎีกาในประเด็นนี้ฎีกาของโจทก์มีเพียงประเด็นว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ เมื่อราคาที่ดินพิพาทไม่เกิน 200,000 บาท คดีโจทก์ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1142/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจำคุกโดยศาลอุทธรณ์ และข้อจำกัดในการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย 2 กระทง จำคุกกระทงละ 10 ปี เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมจำคุก 20 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 10 ปีเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้จำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1140/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีมีทุนทรัพย์เมื่อราคาที่ดินพิพาทไม่ชัดเจน
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่ออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่า ที่ดินเฉพาะส่วนที่พิพาทเป็นของจำเลย จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ แม้จะไม่ปรากฏราคาที่ดินพิพาท แต่ก็ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์โดยจำเลยมิได้โต้แย้งว่าที่ดินมีเนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 25 ตารางวา โจทก์ซื้อมาในราคา 61,093.75 บาทแต่ที่ดินพิพาทเป็นเพียงส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์ซื้อมา มีเนื้อที่เพียง 75 ตารางวาย่อมมีราคาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1080/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ที่แก้ไขใหม่
ขณะศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 แม้บทบัญญัติตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18ยังไม่ใช้บังคับก็ตาม แต่ขณะที่โจทก์ทั้งสามยื่นฎีกาบทบัญญัติมาตราดังกล่าวมีผลใช้บังคับแล้ว คู่ความจะฎีกาได้หรือไม่ ต้องพิเคราะห์ตามบทกฎหมายที่ใช้บังคับขณะยื่นฎีกา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 80,627 บาท โจทก์ที่ 2 ฎีกาว่า ค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดให้น้อยไปขอให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 273,342 บาท ดังนี้ จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาสำหรับจำเลยที่ 1 จึงไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ที่แก้ไขใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1013/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีล้มละลายเมื่อทุนทรัพย์น้อยกว่าสองหมื่นบาท และการฎีกาประเด็นสัญญาจ้างว่าความ
คดีชั้นเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ ครั้งแรกยื่นคำขอรับชำระหนี้ 1,940,000 บาท ต่อมาได้ถอนไปเสีย 1,930,000 บาทคงเหลือ 10,000 บาทอันเป็นทุนทรัพย์ในคดี เมื่อไม่เกินสองหมื่นบาทจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224ก่อนแก้ไข อันเป็นกฎหมายในขณะที่เจ้าหนี้ยื่นอุทธรณ์ประกอบด้วยพระราชบัญญัติ ล้มละลาย มาตรา 153 ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยหากวินิจฉัยให้ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จึงไม่มีสิทธิยกข้อดังกล่าวขึ้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 ที่แก้ไขแล้วประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 153 ส่วนฎีกาที่ว่าสัญญาว่าความต้องทำเป็นหนังสือหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้เจ้าหนี้มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะฎีกาได้นั้น เจ้าหนี้มิได้กล่าวโดยแจ้งชัดในฎีกาว่า เป็นการโต้แย้งข้อกฎหมายข้อใดอย่างไรจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ที่แก้ไขแล้ว ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 153