พบผลลัพธ์ทั้งหมด 610 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 703/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อ, การค้ำประกัน, การแปลงหนี้ใหม่, ความรับผิดของผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกัน
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ จำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาสามีจำเลยที่ 2 ได้ตกลงกับจำเลยที่ 1ขอรับรถยนต์ดังกล่าวไปไว้ในครอบครอง และตกลงจะไปเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ ข้อตกลงระหว่างสามีจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 1 ดังกล่าวไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ เพราะการแปลงหนี้ใหม่จะต้องมีการทำสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้คนใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 350 ดังนี้ หนี้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์จึงยังไม่ระงับ เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ยังต้องรับผิดต่อโจทก์อยู่ตามสัญญาเช่าซื้อ ส่วนจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1ตามสัญญาค้ำประกัน เมื่อคำฟ้องและคำให้การพอที่จะรับฟังและวินิจฉัยได้ การที่ศาลอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานหลังจากที่สืบพยานจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายที่นำสืบก่อนเสร็จแล้วก็ไม่เป็นข้อสำคัญในคดี เพราะจะอนุญาตหรือไม่ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาจำเลยที่ว่าการยื่นบัญชีระบุพยานโจทก์ไม่ชอบจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับวินิจฉัย ปัญหาว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่ามอบอำนาจให้ ป. แต่กลับนำว. เข้ามาเบิกความโดยมิได้แก้ฟ้องหรือบรรยายฟ้องกล่าวอ้างถึงว. จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นนั้น เมื่อประเด็นนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างกันมาในศาลอุทธรณ์ เพิ่งมายกขึ้นในชั้นฎีกาศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำนอง/ค้ำประกันครอบคลุมหนี้ต่อเนื่อง การชำระหนี้เดิมไม่ถึงแก่การระงับสิทธิของจำเลย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้รับเงินตามสัญญาขายลดตั๋วแลกเงินไปแล้ว แต่ทางพิจารณากลับนำสืบว่าไม่มีการจ่ายเงินกัน แต่โจทก์โอนเงินเข้าบัญชีแทน ดังนี้ การนำสืบของโจทก์เป็นการนำสืบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการรับเงินของจำเลย ไม่เป็นการนำสืบข้อเท็จจริงต่างฟ้อง ไม่ต้องห้ามการนำสืบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94
ข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองมีว่า ผู้จำนองได้จำนองเป็นประกันหนี้ซึ่งผู้จำนองเป็นหนี้อยู่แล้วและในเวลานี้หรือในเวลาใดเวลาหนึ่งในภายหน้า ในเรื่องการกู้ยืมเงิน การเบิกเงินเกินบัญชีและหนี้ในลักษณะอื่น ๆ ทุกประเภทที่เป็นหนี้แก่ผู้รับจำนองทั้งหมด รวมทั้งการขอรับเงินสินเชื่อประเภทหมุนเวียนอันเป็นประเพณีการให้สินเชื่อของผู้รับจำนอง ซึ่งผู้รับจำนองทราบดีอยู่แล้วด้วย รวมวงเงิน10,000,000 บาท ดังนี้ การจำนองย่อมมีผลเป็นการประกันหนี้ที่จำเลยก่อขึ้นและเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ไม่ว่าจะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นแล้ว หรือหนี้ที่เกิดขึ้นในอนาคตในวงเงินไม่เกิน 10,000,000 บาท
สัญญาค้ำประกันมีข้อตกลงระบุถึงลักษณะของหนี้ที่ค้ำประกัน โดยไม่มีข้อตกลงว่าค้ำประกันการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินคราวใดคราวหนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อฟังว่าหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วแลกเงินที่จำเลยค้ำประกันยังไม่ได้มีการชำระ จำเลยไม่หลุดพ้นจากความรับผิด แม้จำเลยได้มีหนังสือบอกเลิกการค้ำประกันการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน และโจทกได้รับหนังสือบอกเลิกแล้วแต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยบอกเลิก จำเลยจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน
ข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองมีว่า ผู้จำนองได้จำนองเป็นประกันหนี้ซึ่งผู้จำนองเป็นหนี้อยู่แล้วและในเวลานี้หรือในเวลาใดเวลาหนึ่งในภายหน้า ในเรื่องการกู้ยืมเงิน การเบิกเงินเกินบัญชีและหนี้ในลักษณะอื่น ๆ ทุกประเภทที่เป็นหนี้แก่ผู้รับจำนองทั้งหมด รวมทั้งการขอรับเงินสินเชื่อประเภทหมุนเวียนอันเป็นประเพณีการให้สินเชื่อของผู้รับจำนอง ซึ่งผู้รับจำนองทราบดีอยู่แล้วด้วย รวมวงเงิน10,000,000 บาท ดังนี้ การจำนองย่อมมีผลเป็นการประกันหนี้ที่จำเลยก่อขึ้นและเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ไม่ว่าจะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นแล้ว หรือหนี้ที่เกิดขึ้นในอนาคตในวงเงินไม่เกิน 10,000,000 บาท
สัญญาค้ำประกันมีข้อตกลงระบุถึงลักษณะของหนี้ที่ค้ำประกัน โดยไม่มีข้อตกลงว่าค้ำประกันการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินคราวใดคราวหนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อฟังว่าหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วแลกเงินที่จำเลยค้ำประกันยังไม่ได้มีการชำระ จำเลยไม่หลุดพ้นจากความรับผิด แม้จำเลยได้มีหนังสือบอกเลิกการค้ำประกันการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน และโจทกได้รับหนังสือบอกเลิกแล้วแต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยบอกเลิก จำเลยจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำนองและค้ำประกันครอบคลุมหนี้ต่อเนื่องจากการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน แม้มีการบอกเลิกค้ำประกัน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้รับเงินตามสัญญาขายลดตั๋วแลกเงินไปแล้ว แต่ทางพิจารณากลับนำสืบว่าไม่มีการจ่ายเงินกัน แต่โจทก์โอนเงินเข้าบัญชีแทน ดังนี้ การนำสืบของโจทก์เป็นการนำสืบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการรับเงินของจำเลย ไม่เป็นการนำสืบข้อเท็จจริงต่างฟ้อง ไม่ต้องห้ามการนำสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองมีว่า ผู้จำนองได้จำนองเป็นประกันหนี้ซึ่งผู้จำนองเป็นหนี้อยู่แล้วและในเวลานี้หรือในเวลาใดเวลาหนึ่งในภายหน้า ในเรื่องการกู้ยืมเงิน การเบิกเงินเกินบัญชีและหนี้ในลักษณะอื่น ๆ ทุกประเภทที่เป็นหนี้แก่ผู้รับจำนองทั้งหมด รวมทั้งการขอรับเงินสินเชื่อประเภทหมุนเวียนอันเป็นประเพณีการให้สินเชื่อของผู้รับจำนอง ซึ่งผู้รับจำนองทราบดีอยู่แล้วด้วย รวมวงเงิน10,000,000 บาท ดังนี้ การจำนองย่อมมีผลเป็นการประกันหนี้ที่จำเลยก่อขึ้นและเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ไม่ว่าจะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นแล้ว หรือหนี้ที่เกิดขึ้นในอนาคตในวงเงินไม่เกิน 10,000,000 บาท สัญญาค้ำประกันมีข้อตกลงระบุถึงลักษณะของหนี้ที่ค้ำประกันโดยไม่มีข้อตกลงว่าค้ำประกันการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงินคราวใดคราวหนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อฟังว่าหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วแลกเงินที่จำเลยค้ำประกันยังไม่ได้มีการชำระ จำเลยไม่หลุดพ้นจากความรับผิด แม้จำเลยได้มีหนังสือบอกเลิกการค้าประกันการขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน และโจทก์ได้รับหนังสือบอกเลิกแล้วแต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยบอกเลิก จำเลยจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 656/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญารับทุนการศึกษา: ขอบเขตผูกพันระดับปริญญาโท การปฏิบัติราชการ และการคืนเงินค้ำประกัน
สัญญารับทุนการศึกษาระบุว่า ให้มีความผูกพันระดับปริญญาโดยไม่ระบุว่าระดับปริญญาตรี โท หรือ เอก เมื่อจำเลยที่ 1 เรียนจบปริญญาตรีแล้วขอเรียนต่อระดับปริญญาโทจนต้นสังกัดเห็นชอบ รัฐบาลออสเตรเลียเจ้าของทุนขยายทุนให้จำเลยที่ 1 รับทุนจนเรียนจบ แม้สัญญาค้ำประกันระบุให้ผูกพันระดับปริญญาตรีก็เป็นเรื่องระหว่าง โจทก์กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่สัญญาไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 สัญญา รับทุนจึงมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 ในระดับปริญญาโทด้วย ระหว่างจำเลยที่ 1 รับราชการใช้ทุนอยู่ จำเลยที่ 1 สอบ ชิงทุนไปดูงานที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นความต้องการของจำเลยที่ 1เอง การที่ทางราชการมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ไปดูงานฝึกอบรมและได้รับเงินเดือนเป็นการอนุเคราะห์ของทางราชการ ซึ่งถ้าเป็น การปฏิบัติราชการแล้วทางราชการคงไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ลา จึง ถือไม่ได้ว่าเป็นการปฏิบัติราชการ อันจะนำเอาระยะเวลาที่ไป ฝึกอบรมดูงานดังกล่าวมาหักลดจำนวนเงินที่จำเลยทั้งสองต้องชดใช้ ตามสัญญารับทุน การที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า เงินที่จำเลยที่ 2 ชำระให้โจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันควรคิดอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเฉลี่ยธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยคือ 1 เหรียญออสเตรเลียควรคิดให้ 19.03 บาทไม่ใช่ 19.96 บาท แต่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ในเรื่องนี้จึงเป็นการนอกประเด็น ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4174/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันหนี้ที่จำกัดวงเงินและความรับผิดตามสัญญาอุปกรณ์
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่เคยตกลงผูกพันตามสัญญาโอนขายลดเช็คฉบับเดิม ในการที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาขายลดเช็คที่ได้กระทำขึ้นใหม่ภายหลัง เมื่อสัญญาค้ำประกันระบุให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดในหนี้สินที่มีอยู่แล้ว และที่จะเกิดขึ้นในภายหลังผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาขายลดเช็คที่คู่สัญญาได้กระทำขึ้นต่อมาอีกภายหลัง แต่ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดเกินกว่าจำนวนเงินที่ต้องรับผิดตามสัญญาโอนขายลดเช็คที่สัญญาค้ำประกันได้ทำขึ้นเป็นสัญญาอุปกรณ์อยู่เดิม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4041/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันการศึกษาต่างประเทศ, อายุความดอกเบี้ย, และขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกัน
จำเลยทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาของข้าราชการที่ไปศึกษาหรือฝึกอบรม ณ ต่างประเทศที่ ย.ทำกับโจทก์ซึ่งข้อความในสัญญาที่ ย.ทำกับโจทก์มีว่าเมื่อย.เสร็จการศึกษาที่ย.ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาหรือถูกเรียกตัวกลับ และ ย.ไม่กลับมารับราชการกับโจทก์หรือกระทรวงทบวงกรมอื่นที่ทางราชการเห็นสมควรเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองเท่าของเวลาที่ได้รับทุน หรือที่ได้รับเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่ม สุดแต่เวลาใดจะมากกว่ากัน หรือ ย.กลับมารับราชการบ้างแต่ไม่ครบกำหนดเวลาดังกล่าว จำเลยสัญญาว่าหาก ย.ไม่ชดใช้ทุนและหรือเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มและเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยยินยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามความรับผิดของ ย.ทั้งสิ้นเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าหลังจากครบกำหนด 3 ปี9 เดือน ที่ ย.ได้รับทุนไปศึกษาต่อย.ได้ขอลาศึกษาต่อด้วยทุนส่วนตัวหลายครั้ง และโจทก์ก็อนุมัติให้ ย.ลาศึกษาต่อโดยไม่แจ้งให้จำเลยทราบ และจำเลยมิได้ทำสัญญาค้ำประกันการลาศึกษาต่อของย.ต่อโจทก์อีก จำเลยคงรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันเดิมสำหรับการปฏิบัติตามสัญญาของ ย.ในการลาไปศึกษาต่อเป็นเวลา3 ปี 9 เดือน เท่านั้น สำหรับทุนที่ ย.จะต้องรับผิดคืนแก่โจทก์นั้น ปรากฏตามระเบียบว่าด้วยการให้ข้าราชการไปศึกษา ฝึกอบรมและดูงาน และเพื่อการครองชีพระหว่างศึกษา ฝึกอบรมและดูงาน ณ ต่างประเทศ พ.ศ. 2512ว่า หมายความถึงเงินค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษา ฝึกอบรมหรือดูงานและเพื่อการครองชีพระหว่างศึกษา ฝึกอบรมหรือดูงาน และหมายความรวมตลอดถึงเงินค่าพาหนะเดินทางด้วย ย.จึงต้องรับผิดใช้คืนเงินทุนที่ได้รับจากรัฐบาลฝรั่งเศสและค่าเครื่องบินทั้งขาไปและขากลับจากการศึกษาต่อ รวมทั้งเงินเดือนที่ ย.ได้รับไปจากโจทก์ในระหว่างเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อแก่โจทก์พร้อมทั้งเบี้ยปรับอีกหนึ่งเท่า ที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่โจทก์มีหนังสือทวงถาม ย.จนถึงวันฟ้องนั้นเป็นการฟ้องให้จำเลยชำระดอกเบี้ยค้างส่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 เดิมซึ่งมีกำหนดอายุความ 5 ปี แม้จำเลยไม่ได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ก่อนโจทก์นำคดีขึ้นสู่ศาล แต่จำเลยก็ได้ให้การต่อสู้ในชั้นศาลว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับดอกเบี้ยดังกล่าวขาดอายุความ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะเรียกดอกเบี้ยค้างส่งนับถึงวันฟ้องเกินกว่า5 ปีจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3736/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีค้ำประกัน และการให้การปฏิเสธฟ้องที่ไม่ชัดเจน
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้รับ ส. เข้าทำงาน โดยมีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันว่า หากส.ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ไม่ว่าทางแพ่งและทางอาญา จำเลยยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์โดยไม่จำกัดจำนวน ต่อมา ส. ได้ลักเอาสินค้าของโจทก์ไปคิดเป็นเงินจำนวน 17,789 บาท ขอให้จำเลยใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ดังนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำไว้แก่โจทก์ หาใช่เป็นเรื่องที่ฟ้องอ้างว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์อันจะมีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 ไม่ และการใช้สิทธิเรียกร้องให้ผู้ค้ำประกันรับผิดในกรณีเช่นนี้ ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164 จำเลยให้การว่า ส. จะได้ลักเอาสินค้าของโจทก์ไปและทำให้โจทก์เสียหายตามฟ้องหรือไม่ จำเลยไม่ทราบและไม่อาจรับรองได้เป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3121/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การค้ำประกันหนี้: แม้จำหน่ายคดีลูกหนี้ ผู้ค้ำประกันยังต้องรับผิดหากหนี้ยังไม่ระงับสิ้น
ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีจำเลยที่ 1 แล้ว เนื่องจากโจทก์ไม่ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การแต่เมื่อหนี้ของจำเลยที่ 1 ยังไม่ระงับสิ้นไป กรณีดังกล่าวก็มิได้ทำให้จำเลยที่ 1 หลุดพ้นจากการชำระหนี้ที่มีต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงยังไม่หลุดพ้นจากความรับผิด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2252/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกวดราคา, การผิดสัญญา, หนังสือค้ำประกัน, ความรับผิดของผู้เสนอราคาและผู้ค้ำประกัน, อายุความค้ำประกัน
จำเลยที่ 3 ได้ออกหนังสือค้ำประกันการยื่นซองประกวดราคาก่อสร้างอาคารของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ว่า จำเลยที่ 3 ขอรับเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของโจทก์ในการยื่นซองประกวดราคาเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และโจทก์ไม่สามารถเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 1 ได้แล้วจำเลยที่ 3 จะเป็นผู้ชำระเงินค่าเสียหายแทนจำเลยที่ 1 หนังสือค้ำประกันฉบับนี้มีกำหนดอายุค้ำประกัน120 วัน โดยโจทก์จะต้องแจ้งการผิดสัญญาของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 3 ทราบภายในกำหนดดังกล่าวด้วย ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ยอมไปทำสัญญาก่อสร้างกับโจทก์ตามที่ยื่นซองประกวดราคาได้ โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 3 ชำระหนี้ที่ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้แม้จำเลยที่ 3 ไม่ได้ยกข้อต่อสู้ในข้อที่โจทก์ไม่ได้บอกเรื่องจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาประกวดราคา ให้จำเลยที่ 3 ทราบภายในระยะเวลาที่ค้ำประกันเพียงแต่ขอให้ไปเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 1 ก่อนก็ตามก็ไม่เป็นการสละข้อต่อสู้ในเรื่องระยะเวลาค้ำประกันดังนั้น ภายหลังเมื่อถูกโจทก์ฟ้องแล้ว จำเลยที่ 3 ย่อมมีสิทธิให้การต่อสู้คดีโดยยกข้อต่อสู้ต่าง ๆ ที่มีอยู่รวมทั้งเหตุดังกล่าวขึ้นเป็นข้อเถียงเพื่อปฏิเสธความรับผิดของตนได้ เมื่อจำเลยที่ 3 ได้ยกเหตุดังกล่าวให้ขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การแล้วและข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ไม่ได้แจ้งให้จำเลยที่ 3 ทราบภายในกำหนดระยะเวลาที่ค้ำประกันว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาประกวดราคาต่อโจทก์ โจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยที่ 3 รับผิดตามสัญญาค้ำประกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2220/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการยึดทรัพย์สินของผู้กู้เมื่อมีการค้ำประกันด้วยทรัพย์สิน และสิทธิของผู้รับประกัน
ทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทั้ง 7 รายการ เป็นของจำเลยจำเลยเพียงแต่มอบทรัพย์ดังกล่าวให้ผู้ร้องเพื่อเป็นประกันเงินกู้ที่จำเลยกู้ยืมเงินไปจากผู้ร้องเท่านั้น โจทก์จึงมีสิทธิยึดทรัพย์ดังกล่าวของจำเลยออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ได้ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่โจทก์นำยึด.