พบผลลัพธ์ทั้งหมด 823 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2633/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องและอายุความแจ้งความเท็จ กรณีแจ้งสัญชาติเท็จเพื่อออกบัตรประชาชน
ฟ้องของโจทก์ที่อ้างว่าจำเลยแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานและให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จโดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยแจ้งต่อเจ้าพนักงานว่าเป็นคนสัญชาติไทยในการยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนกับแจ้งต่อเจ้าพนักงานให้จดข้อความลงในเอกสารราชการว่าจำเลยมีสัญชาติไทยอันเป็นความเท็จนั้นหาเป็นการขัดแย้งกันไม่เพราะต่างก็เป็นการกระทำอันเป็นความผิดในตัวแยกต่างหากจากกันได้จำเลยก็เข้าใจข้อหาได้ดี และให้การรับสารภาพโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 ปัญหาเรื่องคดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 95 เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2447/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์โดยใช้กุญแจปลอมและการลงโทษที่ไม่ตรงกับฟ้อง: ศาลฎีกายกเลิกโทษฐานแปลงตัวและรับของโจร
การที่จำเลยใช้ลูกกุญแจปลอมไขกุญแจประตูรถและติดเครื่องยนต์มิใช่เป็นการทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์ และกุญแจประตูรถเป็นส่วนหนึ่งของรถ จำเลยลักรถยนต์ไปทั้งคัน ถือไม่ได้ว่าเป็นการลักทรัพย์โดยผ่านสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์ตาม มาตรา 335(3)
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยลักรถยนต์โดยลวงว่าเป็นเจ้าพนักงานยศร้อยตรี อันเป็นการมุ่งประสงค์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(3) ฐานลักทรัพย์โดยลวงว่าเป็นเจ้าพนักงานมิได้ประสงค์ให้ลงโทษฐานลักทรัพย์โดยแปลงหรือปลอมตัวเป็นผู้อื่นตามมาตรา 335(5) การที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยตาม มาตรา 335(5) จึงเป็นการลงโทษในเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ แต่เมื่อศาลชั้นต้นไม่ปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตรา 335(6) โจทก์ก็มิได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาจึงคงลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ตาม มาตรา 334 เท่านั้น
ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มีพระราชบัญญัติล้างมลทินในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปีพ.ศ. 2526 มาตรา 4 ใช้บังคับบัญญัติให้ล้างมลทินแก่บรรดาผู้ต้องโทษในกรณีความผิดต่าง ๆ ซึ่งได้กระทำก่อนหรือในวันที่ 6 เมษายน 2525 และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับโดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษในความผิดนั้น ๆ ปรากฏว่าความผิดฐานรับของโจรที่โจทก์ถือเป็นเหตุขอเพิ่มโทษจำเลยนั้น จำเลยได้กระทำก่อนวันที่ 6 เมษายน 2525 และได้พ้นโทษไปแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2525 จึงเพิ่มโทษจำเลยไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยลักรถยนต์โดยลวงว่าเป็นเจ้าพนักงานยศร้อยตรี อันเป็นการมุ่งประสงค์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(3) ฐานลักทรัพย์โดยลวงว่าเป็นเจ้าพนักงานมิได้ประสงค์ให้ลงโทษฐานลักทรัพย์โดยแปลงหรือปลอมตัวเป็นผู้อื่นตามมาตรา 335(5) การที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยตาม มาตรา 335(5) จึงเป็นการลงโทษในเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ แต่เมื่อศาลชั้นต้นไม่ปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตรา 335(6) โจทก์ก็มิได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาจึงคงลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ตาม มาตรา 334 เท่านั้น
ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มีพระราชบัญญัติล้างมลทินในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปีพ.ศ. 2526 มาตรา 4 ใช้บังคับบัญญัติให้ล้างมลทินแก่บรรดาผู้ต้องโทษในกรณีความผิดต่าง ๆ ซึ่งได้กระทำก่อนหรือในวันที่ 6 เมษายน 2525 และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับโดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษในความผิดนั้น ๆ ปรากฏว่าความผิดฐานรับของโจรที่โจทก์ถือเป็นเหตุขอเพิ่มโทษจำเลยนั้น จำเลยได้กระทำก่อนวันที่ 6 เมษายน 2525 และได้พ้นโทษไปแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2525 จึงเพิ่มโทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้อง และการลงโทษในเรื่องที่โจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษ เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้ร่วมกับพวกกลั่นแกล้งจับกุมผู้เสียหาย กล่าวหาว่าผู้เสียหายกับพวกลักรถจักรยานยนต์ของญาติจำเลยได้ร่วมกันทำร้ายผู้เสียหาย ทำทีว่าจะจับกุมผู้เสียหายส่งพนักงานสอบสวน แต่แล้วได้ร่วมกันกรรโชกทรัพย์โดยเรียกเอาเงินจากผู้เสียหาย โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องและประสงค์ให้ลงโทษจำเลยในเรื่องจำเลยทราบว่าพวกของจำเลยทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กายแล้วไม่แจ้งให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบทราบ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ในข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยทราบว่าพวกของจำเลยทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กายแล้วไม่แจ้งเหตุให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบทราบจึงเป็นการพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้อง และเป็นการลงโทษในเรื่องที่โจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษ จำเลยอุทธรณ์ว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือไม่ กลับนำข้อเท็จจริงอีกตอนหนึ่งที่โจทก์มิได้กล่าวไว้ในฟ้องมาฟังลงโทษจำเลย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงมิชอบเพราะเป็นการพิพากษาในเรื่องที่โจทก์จำเลยมิได้อุทธรณ์ ส่วนการจะนำข้อเท็จจริงอย่างอื่นซึ่งโจทก์มิได้อุทธรณ์มาฟังให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยนั้นก็เป็นการไม่ชอบอีกเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่ ศาลฎีกาจึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้อง ถือเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้ร่วมกับพวกกลั่นแกล้งจับกุมผู้เสียหายกล่าวหาว่าผู้เสียหายกับพวกลักรถจักรยานยนต์ของญาติจำเลยได้ร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายทำทีว่าจะจับกุมผู้เสียหายส่งพนักงานสอบสวนแต่แล้วได้ร่วมกันกรรโชกทรัพย์โดยเรียกเอาเงินจากผู้เสียหายโจทก์มิได้กล่าวในฟ้องและประสงค์ให้ลงโทษจำเลยในเรื่องจำเลยทราบว่าพวกของจำเลยทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กายแล้วไม่แจ้งให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบทราบที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157 ในข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยทราบว่าพวกของจำเลยทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายแก่กายแล้วไม่แจ้งเหตุให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบทราบจึงเป็นการพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้องและเป็นการลงโทษในเรื่องที่โจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยอุทธรณ์ว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือไม่กลับนำข้อเท็จจริงอีกตอนหนึ่งที่โจทก์มิได้กล่าวไว้ในฟ้องมาฟังลงโทษจำเลยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงมิชอบเพราะเป็นการพิพากษาในเรื่องที่โจทก์จำเลยมิได้อุทธรณ์ส่วนการจะนำข้อเท็จจริงอย่างอื่นซึ่งโจทก์มิได้อุทธรณ์มาฟังให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยนั้นก็เป็นการไม่ชอบอีกเช่นกันไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่ศาลฎีกาจึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1077/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหนี้จากการเปิดบัญชีเดินสะพัดและการเบิกเกินบัญชี โดยไม่ต้องระบุรายละเอียดการเบิกจ่ายในฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องถึงความเป็นมาในการที่จำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์อันเนื่องมาจากจำเลยขอเปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคารโจทก์ โดยตกลงที่จะปฏิบัติและยินยอมผูกพันตามระเบียบการบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์และยินยอมปฏิบัติตามประเพณีนิยมและวิธีการค้าของธนาคารพาณิชย์ จึงเป็นฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วโดยไม่ต้องบรรยายว่าจำเลยได้เบิกเงินเกินบัญชีเมื่อไรเป็นเงินเท่าใด ดอกเบี้ยคิดตั้งแต่เมื่อใด เป็นเงินเท่าใดซึ่งเป็นรายละเอียดที่จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3969/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของการบรรยายฟ้อง 'ต่อหน้าธารกำนัล' ในคดีข่มขืน จำเลยเข้าใจข้อหาได้
คำว่า "ธารกำนัล " ตามพจนานุกรมฯ หมายความว่า ที่ชุมนุมชนคนจำนวนมาก จึงเป็นถ้อยคำที่รู้กันอยู่ทั่วไป
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281 มิได้บัญญัติถึงการกระทำอันเป็นความผิด และกำหนดโทษไว้ เพียงแต่บัญญัติว่าการกระทำความผิดตามมาตรา 276 วรรคแรก ถ้ามิได้เกิดต่อหน้าธารกำนัล เป็นความผิดอันยอมความได้ จึงมิใช่บทกำหนดการกระทำอันเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ อันจะนำมาเป็นบทลงโทษจำเลยดังนั้นเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยจำเลยกระทำต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ย่อมเป็นที่รู้ว่าจำเลยกระทำผิดในที่ชุมนุมชนหรือต่อหน้าคนจำนวนมาก และเป็นการบรรยายว่าการกระทำของจำเลยมิใช่ความผิดอันยอมความได้ จึงเป็นฟ้องที่บรรยายถึงข้อเท็จจริงแห่งการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดและรายละเอียดเกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) แล้ว
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281 มิได้บัญญัติถึงการกระทำอันเป็นความผิด และกำหนดโทษไว้ เพียงแต่บัญญัติว่าการกระทำความผิดตามมาตรา 276 วรรคแรก ถ้ามิได้เกิดต่อหน้าธารกำนัล เป็นความผิดอันยอมความได้ จึงมิใช่บทกำหนดการกระทำอันเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ อันจะนำมาเป็นบทลงโทษจำเลยดังนั้นเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยจำเลยกระทำต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ย่อมเป็นที่รู้ว่าจำเลยกระทำผิดในที่ชุมนุมชนหรือต่อหน้าคนจำนวนมาก และเป็นการบรรยายว่าการกระทำของจำเลยมิใช่ความผิดอันยอมความได้ จึงเป็นฟ้องที่บรรยายถึงข้อเท็จจริงแห่งการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดและรายละเอียดเกี่ยวข้องพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3503/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร: การบรรยายฟ้องและองค์ประกอบความผิด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 319 โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุกว่าสิบสามปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี และมีข้อความในวงเล็บระบุถึงอายุของผู้เสียหายไว้ชัดเจนว่า ผู้เสียหายอายุ 14 ปีเศษ ไปเสียจากว. ซึ่งเป็นบิดาและผู้ปกครองเพื่อการอนาจาร โดยผู้เสียหายเต็มใจไปด้วย ดังนี้ครบองค์ประกอบความผิดฐานพรากผู้เยาว์แล้ว ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) หาเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่ ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่1 ได้กระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่หลายครั้งเป็นเพียงข้อประกอบเจตนาแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันพรากผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารตามบทกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษโดยตรง โจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 จึงไม่จำต้องบรรยายถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลา สถานที่และจำนวนครั้งที่จำเลยที่ 1 ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย และที่จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากันหรือไม่ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณา มิใช่ข้อสำคัญที่จะต้องกล่าวในฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2502/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอในคดีแรงงาน: ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเรื่องค่าชดเชยนอกประเด็นฟ้อง
โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างจากจำเลยโดยอ้างว่าโจทก์ยังมีสิทธิได้รับค่าจ้างนับตั้งแต่จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงาน เพราะคำสั่งเลิกจ้างมิได้มีกรรมการอื่นของจำเลยที่ 1 ลงชื่อด้วย และมิได้ประทับตราของจำเลยที่ 1 จึงเป็นโมฆะไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 และโจทก์คดีไม่มีประเด็นว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าชดเชยจากจำเลยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดและพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ นอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1747/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องค้ำประกันต้องแสดงการทุจริตของลูกหนี้ การบรรยายฟ้องไม่จำเป็นต้องระบุรายละเอียดทุกรายชื่อ
ฟ้องผู้ค้ำประกันให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันในกรณี ม.ทุจริตต่อหน้าที่ โดยบรรยายฟ้อง ระบุวันเวลาและประเภทของทรัพย์ตลอดจนการกระทำของ ม. ที่รับเงินจากลูกค้าของบริษัทโจทก์ไม่นำมาชำระให้โจทก์ กลับนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวและไม่มาทำงานโจทก์แจ้งความร้องทุกข์และพนักงานสอบสวนออกหมายจับ ม. แล้วไม่ต้องบรรยายรายละเอียดว่า ม. เก็บเงินจากลูกค้าชื่ออะไร กี่รายรายละเท่าใด ก็เป็นฟ้องที่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1585/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายยาเสพติด การตีความคำว่า 'ขาย' ตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ฯ และความชอบด้วยกฎหมายของการฟ้อง
พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 13 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขาย นำ เข้า หรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์" มีโทษตาม มาตรา 89 นั้น ไม่มีข้อความใดบัญญัติถึงโทษฐานมีไว้เพื่อขายก็ตาม แต่มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัตินี้ได้นิยามว่า "ขาย" ไว้ว่า หมายความรวมถึง จำหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยนส่งมอบ หรือมีไว้เพื่อขาย ดังนั้น เมื่อจำเลยมีเมทแอมเฟตามีน ซึ่งออกฤทธิ์ไว้ในครอบครองเพื่อขาย จึงเป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 13และพิพากษาลงโทษตาม มาตรา 89 ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายก็โดยอาศัยบทบัญญัติของมาตรา 4 ซึ่งให้คำนิยามของคำว่า "ขาย" ให้หมายความรวมถึงการมีไว้เพื่อขายอันอันถือว่าเป็นความผิดตามมาตรา 13 ซึ่งมีบทบัญญัติลงโทษไว้ในมาตรา 89 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 และขณะเดียวกันก็ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานขายเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวนหนึ่ง ดังนี้ ไม่ถือว่าเป็นฟ้องที่ขัดแย้งหรือฟ้องที่ไม่มีบทบัญญติของกฎหมายให้ลงโทษและไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายก็โดยอาศัยบทบัญญัติของมาตรา 4 ซึ่งให้คำนิยามของคำว่า "ขาย" ให้หมายความรวมถึงการมีไว้เพื่อขายอันอันถือว่าเป็นความผิดตามมาตรา 13 ซึ่งมีบทบัญญัติลงโทษไว้ในมาตรา 89 แห่งพระราชบัญญัติวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 และขณะเดียวกันก็ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานขายเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวนหนึ่ง ดังนี้ ไม่ถือว่าเป็นฟ้องที่ขัดแย้งหรือฟ้องที่ไม่มีบทบัญญติของกฎหมายให้ลงโทษและไม่เคลือบคลุม