คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฟ้องคดี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 831 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 778/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความเช็ค: การฟ้องคดีแรกแล้วยกฟ้อง ไม่ทำให้ระยะเวลาอายุความสะดุดหยุดลง
แม้โจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยเรียกเงินตามเช็คในคดีก่อนภายในอายุความก็ตาม แต่เมื่อศาลพิพากษายกฟ้อง ย่อมถือไม่ได้ว่าการฟ้องคดีดังกล่าวเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 722/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความมรดก: ทายาทฟ้องคดีเกิน 1 ปีนับจากเจ้ามรดกเสียชีวิต คดีขาดอายุความ
โจทก์ซึ่งเป็นทายาทและผู้สืบสิทธิของ ร. ฟ้องเรียกที่ดินมรดกซึ่ง ร. ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง และมิได้มอบหมายให้จำเลยครอบครองดูแลที่ดินมรดกส่วนของ ร. เมื่อโจทก์ฟ้องคดีมรดกพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เจ้ามรดกตาย คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 จำเลยยกอายุความมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754ขึ้นต่อสู้ แม้ศาลชั้นต้นพิจารณาข้อเท็จจริงแล้วปรับด้วยมาตรา 1375วินิจฉัยว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาททรัพย์มรดกเกินกว่าหนึ่งปี โจทก์ขาดสิทธิฟ้องเอาคืนก็ตาม ศาลอุทธรณ์ย่อมพิพากษาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องคดีมรดกตาม มาตรา 1754 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 540/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีและอายุความดอกเบี้ย กรณีบัญชีเดินสะพัด และการมอบอำนาจฟ้องคดี
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไว้ และในฟ้องระบุถึงจำนวนเงินที่จำเลยทั้งสามเป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีอยู่จนถึงวันฟ้องทั้งแสดงหลักฐานหนังสือสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับสัญญาค้ำประกันมาด้วย ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ รวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว บัญชีกระแสรายวันที่โจทก์กล่าวอ้างมาในฟ้องเป็นรายละเอียดในชั้นนำสืบไม่จำต้องแนบมาท้ายฟ้อง ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์ได้มอบอำนาจให้ ป. ฟ้องคดีแทน และโดยที่เป็นการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนได้ทั่วไป แม้มิได้ระบุตัวบุคคลที่จะให้ฟ้องไว้โดยเฉพาะเจาะจงในหนังสือมอบอำนาจ ป. ก็มีอำนาจฟ้อง หลังจากวันที่ 31 มีนาคม 2521 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดอายุสัญญาที่ต่อออกไปเป็นครั้งสุดท้าย จำเลยยังคงถอนเงินออกและนำเงินเข้าบัญชีหักทอนหนี้กับโจทก์อีกหลายครั้ง จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน2525 ถือได้ว่า คู่กรณีตกลงทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดกันต่อไปโดยไม่มีกำหนดอายุสัญญา เมื่อไม่มีการหักทอนบัญชีและบอกกล่าวเลิกสัญญา สัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงยังไม่สิ้นสุดลง เมื่อต่อมาโจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 15 มีนาคม 2526 ย่อมถือได้ว่าเป็นการบอกกล่าวเลิกสัญญาและมีผลให้สัญญาเลิกกันในวันที่ 15มีนาคม 2526 โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้จนถึงวันเลิกสัญญาคือวันที่ 15 มีนาคม 2526 จำเลยที่ 3 ให้การเพียงว่า จำเลยที่ 3 ได้วางบัญชีเงินฝากของตนค้ำประกันการกู้ยืมเงินของจำเลยที่ 1 และที่ 2 และมีข้อตกลงว่า หากจำเลยที่ 1 ที่ 2 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ ยินยอมให้โจทก์หักเงินจากบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 3 ชำระหนี้ได้ ซึ่งต่อมาโจทก์ได้ถอนเงินฝากดังกล่าวมาชำระจนหมดแล้วเท่านั้น จำเลยที่ 3 มิได้ให้การถึงการที่โจทก์ใช้สิทธิในการถอนเงินล่าช้าอันเป็นการใช้สิทธิไม่ชอบ และทำให้จำเลยที่ 3 เสียหายตามที่ฎีกาโต้เถียงมา จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีละเมิด: เริ่มนับเมื่อผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและตัวผู้กระทำผิด
วันที่ 9 กันยายน 2526 จำเลยขับรถยนต์ของกองทัพเรือโจทก์ไปตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ชนกำแพงเรือนจำทหารเรือ ทำให้รถยนต์และกำแพงเสียหาย โจทก์ตั้งกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่ง กรรมการสอบสวนแล้วมีความเห็นแจ้งให้โจทก์ทราบเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2527ว่า กรณีไม่สมควรมีผู้หนึ่งผู้ใดต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเพราะมีเหตุสุดวิสัย ตามความเห็นดังกล่าวไม่ปรากฏว่าได้มีการละเมิดหรือมีผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนในขณะนั้น โจทก์จึงไม่อาจรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน โจทก์ส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังทราบ กระทรวงการคลังเสนอเรื่องให้คณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่งซึ่งตั้ง ขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีพิจารณา คณะกรรมการพิจารณาแล้วมีความเห็นเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2528ว่า จำเลยขับรถโดยประมาทต้องรับผิดทางแพ่ง กระทรวงการคลังได้แจ้งเรื่องให้โจทก์ทราบ ถือว่าโจทก์เพิ่งรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนหลังวันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2529 ยังไม่เกิน 1 ปี จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4026/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีแทนผู้เยาว์ซ้ำกับคดีเดิมที่ยังอยู่ในระหว่างพิจารณา ทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องคดีโดยอาศัยสิทธิและเพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์ทั้งสองถือได้ว่าเป็นการฟ้องคดี แทนผู้เยาว์ทั้งสอง และฟ้องของโจทก์มีประเด็นอย่างเดียวกับที่ผู้เยาว์ทั้งสองโดยมารดาผู้ใช้อำนาจปกครองเคยยื่นคำร้องในชั้นบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 23203/2529ของศาลชั้นต้น ขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและเพิกถอนการยึดที่ดินของผู้เยาว์ทั้งสอง ซึ่งศาลชั้นต้น ได้มีคำสั่งในคดีดังกล่าวให้ยกคำร้อง ของ ผู้เยาว์ทั้งสอง และคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ถือได้ว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอันเกี่ยวกับคดีและประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ฟ้องของโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3706/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีตามคำพิพากษาตามยอม: นับจากวันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด
จำเลยที่ 2 ดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกที่พิพาทไม่เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมและคดีถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำพิพากษาตามยอมที่ถึงที่สุดซึ่งบังคับให้จำเลยที่ 2จำต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงมีอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168 โดยนับตั้งแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดเป็นต้นไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3372/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ โจทก์ฟ้องคดีล่าช้าเกิน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง ทำให้ขาดอำนาจฟ้อง
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2528 จำเลยไปยื่นคำขอรับการสงเคราะห์การทำสวนยาง ต่อมาวันที่ 16 กรกฎาคม 2528 จำเลยนำเจ้าพนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางไปทำการรังวัดที่ดินที่ขอรับการสงเคราะห์การทำสวนยางดังกล่าว ซึ่งรวมทั้งที่พิพาทด้วย จึงเป็นการที่จำเลยได้แสดงต่อเจ้าพนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางและบุคคลอื่นที่พบเห็นในวันที่ 16 กรกฎาคม 2528 ด้วยว่า จำเลยเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทเอง และในวันที่เจ้าพนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางไปทำการรังวัดที่ดินดังกล่าวนั้น โจทก์ได้ไปยังที่พิพาทและเห็นหลักแนวเขตที่ดินที่เจ้าพนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางปักไว้ด้วย จึงเป็นกรณีที่ปรากฏต่อโจทก์ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2528 แล้วว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาท ดังนั้นหากที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ก็ถูกจำเลยแย่งการครอบครองแล้ว ซึ่งเพียงนับแต่วันที่ 16 กรกฎาคม2528 ถึงวันฟ้องคือวันที่ 25 พฤศจิกายน 2529 ก็เกินกว่าปีหนึ่งแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้นได้ ที่โจทก์ฎีกาว่าหนังสือของสำนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางจังหวัดนครศรีธรรมราช ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2530 ศาลชั้นต้นไม่ได้หมายเอกสารดังกล่าวว่าโจทก์หรือจำเลยอ้าง ทั้งไม่มีการเสียค่าอ้างเอกสารด้วย แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็นำมาวินิจฉัยจึงไม่ถูกต้องนั้น แม้ไม่รับฟังเอกสารดังกล่าวก็หาทำให้ผลของคำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไปไม่ ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3269/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินกระบวนพิจารณาฟ้องคดีอย่างคนอนาถา: การเลือกทางแก้และการสละสิทธิ
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์แล้ว หากโจทก์ไม่พอใจคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว โจทก์มีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลขอให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่ เพื่ออนุญาตให้โจทก์นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่า โจทก์เป็นคนยากจนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ หรืออุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์นั้นต่อศาลอุทธรณ์ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวตาม มาตรา 156 วรรคห้า ซึ่งแม้โจทก์มีสิทธิที่จะเลือกดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งโดยไม่จำต้องเลือกดำเนินกระบวนพิจารณาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 156 วรรคสี่ก่อน และอาจข้ามไปดำเนินกระบวนพิจารณาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 156 วรรคห้าได้ก็ตามแต่การที่กฎหมายบัญญัติทางแก้ที่ผู้ขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาไว้ตามวรรคสี่และวรรคห้า ของ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156นั้นเห็นได้ว่าเป็นกรณีที่กฎหมายบัญญัติขั้นตอนที่ผู้ขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปไว้แล้ว ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์และโจทก์ได้อุทธรณ์คำสั่งนั้นตามมาตรา 156 วรรคห้า แต่โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งเกินกำหนด 7 วัน นับแต่วันมีคำสั่งและศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์นั้นแล้ว โจทก์จะกลับมาขอให้ศาลพิจารณาคำขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถานั้นใหม่เพื่อให้โจทก์นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าโจทก์เป็นคนยากจนตามมาตรา 156วรรคสี่อีก หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3225/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจแต่งตั้งทนายความของตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจฟ้องคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 60
โจทก์มอบอำนาจให้ ด.เป็นตัวแทนมีอำนาจยื่นฟ้องเป็นคดีอาญา คดีแพ่งและหรือคดีล้มละลาย ด. จึงมีอำนาจแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีแพ่งแทนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 60 วรรคสอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2951/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ: การคุ้มครองตามอนุสัญญาเบอร์น และข้อกำหนดในการฟ้องคดี
คดีความผิดเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าวีดีทัศน์ของโจทก์ตามฟ้อง เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตามกฎหมายเมืองฮ่องกงซึ่งประเทศอังกฤษภาคีแห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรมทำ ณ กรุงเบอร์น นำเมืองฮ่องกง ซึ่งเป็นอาณานิคมของตนเข้าผูกพันตามอนุสัญญาดังกล่าว และประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ด้วยแต่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องว่ากฎหมายของเมืองฮ่องกงได้ให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกันแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของภาคีแห่งอนุสัญญาดังกล่าวด้วย และถ้อยคำที่โจทก์บรรยายในฟ้องว่า ทั้งประเทศไทยและเมืองฮ่องกงต่างได้ให้ความคุ้มครองแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ซึ่งกันและกันรวมถึงงานภาพยนตร์วีดีทัศน์ด้วย ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวจึงได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์ตามกฎหมายไทยนั้น ก็ไม่อาจแปลไปได้ว่า กฎหมายว่าด้วยลิขสิทธิ์ของเมืองฮ่องกงได้ให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกันแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของภาคีอื่น ๆ แห่งอนุสัญญา ฟ้องโจทก์จึงขาดข้อความสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่าวีดีทัศน์ตามฟ้องมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2521ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่จำเป็นสำหรับการฟ้องคดีอาญา ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5)
of 84