พบผลลัพธ์ทั้งหมด 356 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 420/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุฟ้องเคลือบคลุมต่างจากที่อุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่พิจารณาประเด็นใหม่
จำเลยฎีกาว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม โดยเอกสารโอนสิทธิเรียกร้องตามฟ้องมิใช่เอกสารที่แท้จริง เป็นการยกเหตุแห่งการเคลือบคลุมคนละเหตุกับที่จำเลยยกขึ้นว่ามาในชั้นอุทธรณ์ โดยในชั้นอุทธรณ์จำเลยอ้างว่าฟ้องเคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายว่าจำเลยชำระหนี้มาแล้วกี่ครั้งจึงเหลือหนี้เงินกู้ 40,000 บาท จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ดังนี้ เหตุแห่งการเคลือบคลุมที่จำเลยอ้างมาในฎีกา จึงมิใช่ข้อที่ว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 420/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเรื่องฟ้องเคลือบคลุม เหตุข้ออ้างในฎีกาต่างจากชั้นอุทธรณ์
จำเลยฎีกาว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมโดยเอกสารโอนสิทธิเรียกร้องตามฟ้องมิใช่เอกสารที่แท้จริง เป็นการยกเหตุแห่งการเคลือบคลุมคนละเหตุกับที่จำเลยยกขึ้นว่ามาในชั้นอุทธรณ์ โดยในชั้นอุทธรณ์จำเลยอ้างว่าฟ้องเคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายว่าจำเลยชำระหนี้มาแล้วกี่ครั้งจึงเหลือหนี้เงินกู้ 40,000 บาท จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ดังนี้ เหตุแห่งการเคลือบคลุมที่จำเลยอ้างมาในฎีกา จึงมิใช่ข้อที่ว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3222/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หุ้นส่วนผู้ไม่ได้จัดการ เข้าไปจัดการกิจการโดยพลการ ศาลไม่รับวินิจฉัยประเด็นใหม่
โจทก์ฟ้องขอให้เลิกห้างหุ้นส่วนจำกัด และให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดและจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการชดใช้เงินทดรองซึ่งโจทก์ในฐานะหุ้นส่วนผู้หนึ่งได้ออกทดรองไปคืนแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การปัดความรับผิดด้วยเหตุหลายประการ แต่ไม่ได้ให้การว่าการที่โจทก์ออกเงินทดรองไปเป็นการเอื้อมเข้าไปจัดการงานของห้างโดยพลการซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1043 ให้บังคับตามบทบัญญัติว่าด้วยจัดการนอกสั่ง และศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยแพ้คดีแล้ว จำเลยฎีกาว่าการกระทำของโจทก์เป็นการที่หุ้นส่วนอันมิได้ผู้จัดการเอื้อมเข้าไปจัดการงานของห้างโดยพลการ ซึ่งต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยจัดการงานนอกสั่ง ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าวไม่ใช่ปัญหาที่ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225,249 จะยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1398/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องที่ไม่ชอบเนื่องจากทนายลงชื่อแทนโจทก์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาที่ไม่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ชั้นไต่สวนมูลฟ้องยกฟ้องโจทก์เพราะเห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูล โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าทนายลงชื่อในฟ้องแทนโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่ชอบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (7) พิพากษายืน โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้องโดยให้โจทก์ลงลายมือชื่อในคำฟ้องและประทับรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป ดังนี้ เป็นฎีกาที่มิได้ยกเหตุขึ้นคัดค้านข้อชี้ขาดของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2044/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย รอการลงโทษ จำเลยฎีกาคัดค้านดุลพินิจศาลอุทธรณ์ เกินเหตุ
ศาลชั้นต้นจำคุกจำเลยเมื่อรับสารภาพแล้วมีกำหนด 6 เดือนศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ไม่รอการลงโทษจำคุก จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกจำเลย เป็นการฎีกาคัดค้านดุลพินิจของศาลอุทธรณ์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 6 เว้นแต่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา หรืออธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรสู่ศาลสูงสุดจะได้รับวินิจฉัย จึงให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 และข้อความที่ว่า "ข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด" นั้น หมายถึงข้อความที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตัดสินว่า พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด หรือมิฉะนั้นก็จะต้องเป็นข้อความซึ่งมีปัญหาสำคัญอันจำเป็นที่ควรจะได้รับการวินิจฉัยกลั่นกรองจากศาลสูงสุดเป็นพิเศษอีกชั้นหนึ่ง เมื่อจำเลยฎีกาเพียงขอให้รอการลงโทษจำเลยอย่างเดียวเท่านั้น โดยยกเหตุผลต่างๆ ขึ้นอ้าง ซึ่งไม่ปรากฏมีในศาลชั้นต้น จึงมิใช่เป็นการฎีกาในปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด แม้ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้ฎีกาได้ ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2918/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นฎีกาที่ไม่เคยถูกยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานขับรถผ่านทางแยกโดยใช้อัตราความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด (20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ข้อหาอื่นให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษาปรับบทลงโทษที่ศาลชั้นต้นมิได้ระบุมาตราว่าเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการจราจรทางบกพุทธศักราช 2477 มาตรา 29(4) ส่วนข้อหาจำเลยขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสนั้น เป็นอุทธรณ์ต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 3 ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส จึงเป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นได้ฟังมา ซึ่งมิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2796/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุฟ้องฎีกาไม่ชัดเจน ขาดการอ้างอิงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายสนับสนุน
คำบรรยายฟ้องฎีกาของโจทก์เพียงแต่อ้างว่าเมื่อฟังพยานโจทก์พยานจำเลยโดยถ่องแท้แล้ว พยานโจทก์ดีกว่าพยานจำเลย มิได้หยิบยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงเลยว่าพยานโจทก์ดีกว่าพยานจำเลยตรงไหนอย่างไรเพราะเหตุใดหรือมีเหตุผลอย่างไรที่ชี้ให้เห็นว่าพยานโจทก์ดีกว่าพยานจำเลยอันจะทำให้น่าเชื่อว่าข้อเท็จจริงเป็นดังโจทก์ฎีกา แม้โจทก์จะกล่าวไว้ว่าขอถือเอาคำอุทธรณ์เป็นส่วนหนึ่งของฎีกา ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการอ้างอิงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะอ้างอิงขึ้นกล่าวไว้โดยชัดแจ้งตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 บังคับไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2796/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุฟ้องฎีกาไม่ชัดเจน ไม่แสดงเหตุผลสนับสนุนพยานหลักฐาน
คำบรรยายฟ้องฎีกาของโจทก์เพียงแต่อ้างว่าเมื่อฟังพยานโจทก์พยานจำเลยโดยถ่องแท้แล้ว พยานโจทก์ดีกว่าพยานจำเลย มิได้หยิบยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงเลยว่าพยานโจทก์ดีกว่าพยานจำเลยตรงไหนอย่างไรเพราะเหตุใดหรือมีเหตุผลอย่างไรที่ชี้ให้เห็นว่าพยานโจทก์ดีกว่าพยานจำเลยอันจะทำให้น่าเชื่อว่าข้อเท็จจริงเป็นดังโจทก์ฎีกา แม้โจทก์จะกล่าวไว้ว่าขอถือเอาคำอุทธรณ์เป็นส่วนหนึ่งของฎีกา ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการอ้างอิงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะอ้างอิงขึ้นกล่าวไว้โดยชัดแจ้งตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 บังคับไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2268/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกข้อต่อสู้ใหม่ในชั้นฎีกาที่ไม่เคยกล่าวอ้างในชั้นศาลล่าง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยฎีกาว่า ตามพินัยกรรมมีชื่อสามีของโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมลงชื่อเป็นพยานด้วย โดยจำเลยไม่ได้ยกข้อเท็จจริงข้อนี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในศาลชั้นต้น และจำเลยฎีกาว่าที่พิพาทต้องตกเป็นของจำเลยตามข้อตกลงแบ่งทรัพย์ระหว่างจำเลยกับเจ้ามรดก ซึ่งเจ้ามรดกมิได้บอกล้าง โดยจำเลยมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์คงกล่าวแก้อุทธรณ์โจทก์เพียงข้อเดียวว่า พินัยกรรมตามฟ้องไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ดังนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาทั้งสองข้อนี้ให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1438/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยฎีกาไม่ยกเหตุต่อสู้ที่ต่างจากที่ให้การไว้ในชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำให้การจำเลยที่ 1 มีเพียงว่า ไม่ได้จ้างโจทก์ตามสัญญาท้ายฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดเพราะจำเลยที่ 2 ทำไปโดยไม่มีสิทธิจะทำได้แต่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ทำงานไม่ครบกำหนดตามสัญญา จำเลยจ่ายค่าแรงงานให้คนงานไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างงวดแรก จำเลยจ่ายเงินทดรองให้โจทก์ไปแล้ว เครื่องมือโจทก์ไม่นำกลับคืนไปเองและโจทก์ไม่ควรได้กำไร ซึ่งมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนี้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย