พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,691 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5340/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิเรียกร้องในคดีบังคับคดีและการไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลซ้ำ หากสิทธิที่โอนมาไม่เกินสิทธิเดิม
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ในชั้นบังคับคดีเนื่องจากผู้ร้องเป็นผู้ซื้อและได้รับโอนสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยตามคำพิพากษามาจากการขายซึ่งดำเนินการโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ในคดีล้มละลาย มิใช่เป็นเรื่องที่ผู้ร้องพิพาทกับจำเลยในมูลหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค สัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองซึ่งเป็นมูลหนี้ที่โจทก์กับจำเลยพิพาทกัน และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไปแล้ว ทั้งผู้ร้องมิได้เรียกร้องสิ่งใดขึ้นใหม่หรือเกินไปกว่าสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีอยู่ตามคำพิพากษา ดังนั้น เมื่อโจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ไว้แล้วในชั้นที่โจทก์ยื่นฟ้องคดี จึงไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะต้องเสียค่าขึ้นศาลอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5297/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความผิดนัดชำระหนี้ ศาลมีอำนาจบังคับคดีได้ทันที
โจทก์และจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมมีข้อความว่า จำเลยทั้งสองยอมชำระเงิน 500,000 บาท แก่โจทก์ ตกลงผ่อนชำระเป็นรายเดือนโดยนำเงินมาวางศาลเดือนละไม่น้อยกว่า 4,000 บาท ทกุเดือนติดต่อกัน เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 งวดต่อไปชำระทุกวันที่ 22 ของเดือน โดยจะชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 8 ปี นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ หากผิดนัด 2 งวดโดยไม่จำต้องติดต่อกันให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที คำพิพากษาตามยอมดังกล่าวได้กำหนดวันและจำนวนหนี้ที่ต้องชำระไว้แน่นอน ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่นำเงินมาวางศาลภายในกำหนดถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ผิดนัดไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำพิพากษา แม้ว่าโจทก์จะมาขอรับเงินที่จำเลยที่ 2 นำมาวางศาลภายหลังที่ผิดนัดแล้วก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 2 พ้นจากการเป็นผู้ผิดนัดโจทก์จึงขอให้บังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ได้ทันที
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5138/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์เพื่อบังคับคดี: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการยึดบ้านพร้อมที่ดินไม่เกินกว่าหนี้ และการกำหนดจำนวนหนี้ที่แน่นอนเป็นเงื่อนไขก่อนวางเงิน
ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นรายเดือนจนกว่าจำเลยจะส่งมอบอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยยังไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษา หนี้ค่าเสียหายย่อมเพิ่มพูนขึ้นทุกเดือนและยังไม่แน่นอนว่าจะมีจำนวนเท่าใด การบังคับคดีจึงอาจต้องรวมค่าเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วย แม้โจทก์จะนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยและประเมินราคาที่ดินไว้ก็เป็นเพียงการประมาณการเบื้องต้นเท่านั้น ยังมิใช่เป็นราคาที่แน่นอนเพราะการขายทอดตลาดอาจขายได้ราคาสูงกว่าหรือต่ำกว่าราคาประเมินก็ได้ การที่มีบ้านของจำเลยสามหลังปลูกอยู่บนที่ดินที่ยึดไว้ด้วยนั้น ไม่ว่าโจทก์จะนำยึดบ้านทั้งสามหลังด้วยหรือไม่ ท้ายที่สุดเมื่อมีการขายทอดตลาดที่ดินและบุคคลภายนอกเป็นผู้ซื้อที่ดินได้ จำเลยก็จะต้องออกจากบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินที่ยึดไว้ การที่โจทก์นำยึดบ้านทั้งสามหลังดังกล่าว จึงมิใช่มีเจตนากลั่นแกล้งหรือกดดันจำเลยแต่อย่างใด อีกทั้งบ้านทั้งสามหลังมีราคาเพียงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับราคาที่ดินที่ยึดไว้ จึงมิใช่กระทำไปโดยมีเจตนามุ่งเพิ่มภาระค่าธรรมเนียมการยึดแก่จำเลย นอกจากนี้หากโจทก์มิได้นำยึดบ้าน กรณีอาจเป็นปัญหาแก่ผู้ซื้อทอดตลาดที่จะต้องดำเนินการให้มีการรื้อถอนขนย้ายบ้านดังกล่าวออกไปในภายหลัง อันมีผลทำให้ไม่มีผู้สนใจซื้อทอดตลาดหรือขายได้ราคาต่ำไป อันจะเป็นผลร้ายแก่จำเลยยิ่งกว่าการขายทอดตลาดที่ดินและบ้านไปในคราวเดียวกันอันเป็นการสะดวกแก่การบังคับคดีขายทอดตลาด และน่าจะเป็นผลให้ขายทอดตลาดได้ในราคาที่ดีกว่า การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินและบ้านทั้งสามหลังที่ปลูกอยู่บนที่ดินมาในคราวเดียวกันโดยบ้านทั้งสามหลังมีราคาไม่สูงมาก จึงมีเหตุผลอันสมควร ไม่อาจถือว่าโจทก์ยึดทรัพย์สินเกินกว่าที่พอชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในคดีและค่าธรรมเนียมในการบังคับคดี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 284 วรรคหนึ่ง
การที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะวางเงินหรือหาประกันมาให้ไว้ต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งถอนหรืองดการบังคับคดีนั้น ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องวางเงินหรือหาประกันมาให้เป็นจำนวนเพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีหรือค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295 (1) คดีนี้ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นรายเดือน นับแต่เดือนตุลาคม 2527 จนกว่าจะส่งมอบอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ ในการคำนวณยอดหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว จำต้องรู้วันเวลาที่จำเลยส่งมอบอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ จึงจะคิดคำนวณจำนวนค่าเสียหายตามคำพิพากษาศาลฎีกาได้ แต่เมื่อจำเลยยังมิได้ส่งมอบอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามคำพิพากษาศาลฎีกาให้แก่โจทก์ จำนวนค่าเสียหายย่อมจะต้องทวีเพิ่มขึ้นทุกเดือนจนกว่าจำเลยจะปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าว ทำให้ไม่สามารถคำนวณยอดหนี้ให้เป็นการแน่นอนได้ และเมื่อไม่รู้จำนวนหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิดตามคำพิพากษาก็ย่อมไม่สามารถกำหนดจำนวนเงินที่จะให้จำเลยนำมาวางต่อศาลหรือพิจารณาประกันที่จำเลยจะหามาให้ไว้ต่อศาลว่าเป็นจำนวนเพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีหรือค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีหรือไม่เพื่อที่จะมีคำสั่งให้ถอนการยึดทรัพย์หรืองดการบังคับคดีต่อไปได้ ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองปฏิเสธที่จะกำหนดจำนวนเงินที่จำเลยประสงค์จะขอวางต่อศาลเพื่อให้ถอนการยึดทรัพย์หรืองดการบังคับคดี จึงชอบแล้ว
การที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะวางเงินหรือหาประกันมาให้ไว้ต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งถอนหรืองดการบังคับคดีนั้น ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องวางเงินหรือหาประกันมาให้เป็นจำนวนเพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีหรือค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295 (1) คดีนี้ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นรายเดือน นับแต่เดือนตุลาคม 2527 จนกว่าจะส่งมอบอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ ในการคำนวณยอดหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว จำต้องรู้วันเวลาที่จำเลยส่งมอบอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ จึงจะคิดคำนวณจำนวนค่าเสียหายตามคำพิพากษาศาลฎีกาได้ แต่เมื่อจำเลยยังมิได้ส่งมอบอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินตามคำพิพากษาศาลฎีกาให้แก่โจทก์ จำนวนค่าเสียหายย่อมจะต้องทวีเพิ่มขึ้นทุกเดือนจนกว่าจำเลยจะปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าว ทำให้ไม่สามารถคำนวณยอดหนี้ให้เป็นการแน่นอนได้ และเมื่อไม่รู้จำนวนหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิดตามคำพิพากษาก็ย่อมไม่สามารถกำหนดจำนวนเงินที่จะให้จำเลยนำมาวางต่อศาลหรือพิจารณาประกันที่จำเลยจะหามาให้ไว้ต่อศาลว่าเป็นจำนวนเพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีหรือค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีหรือไม่เพื่อที่จะมีคำสั่งให้ถอนการยึดทรัพย์หรืองดการบังคับคดีต่อไปได้ ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองปฏิเสธที่จะกำหนดจำนวนเงินที่จำเลยประสงค์จะขอวางต่อศาลเพื่อให้ถอนการยึดทรัพย์หรืองดการบังคับคดี จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5064/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าสินไหมทดแทนจากกองทุนฯ ไม่รวมในคำพิพากษาเดิม โจทก์บังคับคดีส่วนต่างได้
แม้เงินค่าสินไหมทดแทนจำนวน 15,000 บาท ที่โจทก์ได้รับจากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยจะถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าสินไหมทดแทนตาม ป.พ.พ. ตามที่ได้บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถฯ มาตรา 25 วรรคสอง ก็ตาม แต่ในการทำคำพิพากษา ศาลชั้นต้นกำหนดค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดโดยมิได้วินิจฉัยถึงเงินค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ได้รับจากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยดังกล่าว จึงถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นได้กำหนดค่าสินไหมทดแทนตามคำพิพากษาโดยรวมถึงเงินค่าสินไหมทดแทนจำนวน 15,000 บาท ที่โจทก์ได้รับจากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยเข้าไว้ด้วย ดังนั้น เงินจำนวน 55,000 บาท ที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ตามคำพิพากษาจึงไม่รวมถึงเงินจำนวน 15,000 บาท ที่โจทก์ได้รับจากสำนักงานกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย เมื่อจำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาเพียง 49,338.50 บาท โจทก์จึงมีสิทธิที่จะบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองสำหรับทั้งสองสำหรับจำนวนเงินที่ขาดอยู่ต่อไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4899/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระค่าปรับทางอาญา: ศาลมีอำนาจบังคับชำระได้แม้คดีไม่ถึงที่สุดตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับจำเลย จำเลยจะต้องชำระค่าปรับภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาตาม ป.อ. มาตรา 29 จำเลยจะขอชำระค่าปรับเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคหนึ่ง หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4897/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีค่าปรับ: ศาลมีอำนาจกักขังแทนค่าปรับได้ทันทีหลังพิพากษา แม้คดียังไม่ถึงที่สุด
แม้ ป.วิ.อ.มาตรา 245 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วให้บังคับคดีโดยไม่ชักช้าก็ตาม แต่ตาม ป.อ.มาตรา 29 วรรคแรก ได้บัญญัติถึงวิธีการบังคับชำระค่าปรับไว้โดยเฉพาะแล้ว โดยบัญญัติว่า ผู้ใดต้องโทษปรับ และไม่ชำระค่าปรับภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา ผู้นั้นจะต้องถูกยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับ หรือมิฉะนั้นจะต้องถูกกักขังแทนค่าปรับ แต่ถ้าศาลเห็นเหตุอันควรสงสัยว่าผู้นั้นจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับ ศาลจะสั่งเรียกประกันหรือจะสั่งกักขังผู้นั้นแทนค่าปรับไปพลางก่อนก็ได้ และตาม ป.วิ.อ.มาตรา 188 บัญญัติว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งมีผลตั้งแต่วันที่ได้อ่านในศาลโดยเปิดเผยเป็นต้นไป ดังนั้น หากการบังคับชำระค่าปรับจะกระทำได้ต่อเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว กฎหมายย่อมบัญญัติไว้เช่นนั้นโดยตรง นอกจากนี้ ป.อ.มาตรา 29 วรรคแรก ได้บัญญัติถึงมาตรการชั่วคราวก่อนการบังคับชำระค่าปรับ ถ้าศาลเห็นเหตุอันควรสงสัยว่าผู้นั้นจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับ ศาลจะสั่งเรียกประกันหรือจะสั่งกักขังผู้นั้นแทนค่าปรับไปพลางก่อนก็ได้ จึงมีผลว่าศาลอาจมีคำสั่งให้กักขังแทนค่าปรับได้ทันทีตั้งแต่มีคำพิพากษา แต่การกักขังแทนค่าปรับไปพลางก่อนนั้นกฎหมายยังให้เวลาผู้ต้องโทษปรับจัดการให้ได้เงินมาชำระค่าปรับภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา เมื่อครบกำหนดสามสิบวันแล้ว แม้จะมีอุทธรณ์หรือฎีกาคำพิพากษานั้นก็ไม่เป็นเหตุขัดขวางการที่ศาลจะบังคับคดีไปตาม ป.อ.มาตรา 29
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4895/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าปรับบังคับคดีได้แม้คดีไม่ถึงที่สุด ตามป.อ. มาตรา 29
แม้ ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ให้บังคับคดีโดยไม่ชักช้าก็ตาม แต่ตาม ป.อ. มาตรา 29 วรรคแรก ได้บัญญัติถึงวิธีการบังคับชำระค่าปรับไว้โดยเฉพาะแล้ว โดยบัญญัติว่าผู้ใดต้องโทษปรับและไม่ชำระค่าปรับภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา ผู้นั้นจะต้องถูกยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับ หรือมิฉะนั้นจะต้องถูกกักขังแทนค่าปรับ แต่ถ้าศาลเห็นเหตุอันควรสงสัยว่าผู้นั้นจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับ ศาลจะสั่งเรียกประกันหรือสั่งกักขังผู้นั้นแทนค่าปรับไปพลางก่อนก็ได้ และตาม ป.วิ.อ. มาตรา 188 บัญญัติว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งมีผลตั้งแต่วันที่ได้อ่านในศาลโดยเปิดเผยเป็นต้นไป จึงมีผลว่าศาลอาจมีคำสั่งให้กักขังแทนค่าปรับได้ทันทีตั้งแต่มีคำพิพากษา และกฎหมายให้เวลาผู้ต้องโทษปรับจัดการให้ได้เงินมาชำระค่าปรับภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา เมื่อครบกำหนดสามสิบวันแล้วแม้จะมีการอุทธรณ์หรือฎีกาคำพิพากษานั้นก็ไม่เป็นเหตุขัดขวางการที่ศาลจะบังคับคดี เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2546 จำเลยจะต้องชำระค่าปรับภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยจะขอชำระค่าปรับเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4872/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิเรียกร้องและการอายัดสิทธิ: ผลกระทบต่อการบังคับคดี
การที่จำเลยโอนสิทธิเรียกร้องที่จะได้รับเงินจากผู้ร้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีก่อนของศาลชั้นต้นให้แก่บริษัท ท. โดยบริษัทดังกล่าวมีหนังสือแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องให้ผู้ร้องทราบแล้ว การโอนสิทธิเรียกร้องรายนี้ย่อมสมบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306 วรรคหนึ่ง และหากการโอนสิทธิเรียกร้องรายนี้ยังไม่มีการยกเลิกกันโดยชอบ สิทธิของจำเลยที่จะได้รับชำระหนี้จากผู้ร้องซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนนั้นย่อมตกเป็นของบริษัท ท. จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะรับเงินตามคำพิพากษาในคดีนั้นจากผู้ร้องแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิอายัดสิทธิเรียกร้องดังกล่าวได้ การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งอายัดสิทธิเรียกร้องดังกล่าวไปยังผู้ร้องจึงเป็นการไม่ชอบ ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องให้เพิกถอนคำสั่งอายัดดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4703/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเฉลี่ยทรัพย์จากการบังคับคดี: ระยะเวลาการยื่นคำขอตาม ป.วิ.พ. มาตรา 290
ป.วิ.พ. มาตรา 290 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินอย่างใดของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ห้ามไม่ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นซ้ำอีก แต่ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเช่นว่านี้มีอำนาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลที่ออกหมายบังคับให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้น เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ตนเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินหรือเงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้นได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" จากบทบัญญัติดังกล่าวยังมีกำหนดเงื่อนเวลาไว้ด้วย ตามมาตรา 290 วรรคห้า ซึ่งบัญญัติว่า "ในกรณีที่อายัดทรัพย์สิน ให้ยื่นคำขอเสียก่อนสิ้นระยะเวลาสิบสี่วันนับแต่วันชำระเงินหรือส่งทรัพย์สินตามที่อายัดไว้"
คดีนี้โจทก์ชนะคดีและเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงมีสิทธิขอให้บังคับคดีโดยยึดหรืออายัดและขายทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อชำระหนี้ได้ เงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขออายัดไปยังศาลแพ่งนั้น เป็นเงินที่บุคคลภายนอกนำส่งไว้เนื่องจากมีคำสั่งอายัดชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาอันเป็นวิธีการชั่วคราวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 254 (1) ประกอบมาตรา 266 มิใช่ทรัพย์ที่ถูกอายัดไว้จากการบังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษา ดังนั้น สิทธิเรียกร้องในเงินจำนวนดังกล่าวยังเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้อยู่ในขณะที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขออายัด การอายัดทรัพย์ในคดีนี้จึงเป็นการบังคับคดีตามคำพิพากษาโดยอายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่มีต่อมหาวิทยาลัย อ. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกนั่นเอง ส่วนศาลแพ่งนั้นเป็นเพียงสถานที่ที่เก็บรักษาทรัพย์ที่ขออายัดไว้เท่านั้น เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับเงินตามที่อายัดไว้เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2541 ซึ่งถือได้ว่ามีการชำระเงินหรือส่งทรัพย์สินตามที่อายัดไว้แล้ว ดังนั้น เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2542 จึงล่วงระยะเวลาสิบสี่วันนับแต่วันชำระเงินหรือส่งทรัพย์สินตามที่อายัดไว้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 290 วรรคห้า ผู้ร้องจึงไม่สามารถร้องขอเฉลี่ยทรัพย์จากจำนวนเงินดังกล่าวได้
คดีนี้โจทก์ชนะคดีและเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงมีสิทธิขอให้บังคับคดีโดยยึดหรืออายัดและขายทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อชำระหนี้ได้ เงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขออายัดไปยังศาลแพ่งนั้น เป็นเงินที่บุคคลภายนอกนำส่งไว้เนื่องจากมีคำสั่งอายัดชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาอันเป็นวิธีการชั่วคราวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 254 (1) ประกอบมาตรา 266 มิใช่ทรัพย์ที่ถูกอายัดไว้จากการบังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษา ดังนั้น สิทธิเรียกร้องในเงินจำนวนดังกล่าวยังเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้อยู่ในขณะที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขออายัด การอายัดทรัพย์ในคดีนี้จึงเป็นการบังคับคดีตามคำพิพากษาโดยอายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่มีต่อมหาวิทยาลัย อ. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกนั่นเอง ส่วนศาลแพ่งนั้นเป็นเพียงสถานที่ที่เก็บรักษาทรัพย์ที่ขออายัดไว้เท่านั้น เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับเงินตามที่อายัดไว้เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2541 ซึ่งถือได้ว่ามีการชำระเงินหรือส่งทรัพย์สินตามที่อายัดไว้แล้ว ดังนั้น เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2542 จึงล่วงระยะเวลาสิบสี่วันนับแต่วันชำระเงินหรือส่งทรัพย์สินตามที่อายัดไว้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 290 วรรคห้า ผู้ร้องจึงไม่สามารถร้องขอเฉลี่ยทรัพย์จากจำนวนเงินดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4702/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งยกเลิกการล้มละลายไม่ทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นหนี้เดิม เจ้าหนี้มีสิทธิบังคับคดีได้
พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 136 บัญญัติว่า "คำสั่งยกเลิกการล้มละลายตามมาตรา 135 (1) หรือ (2) นั้นไม่ทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นหนี้สินแต่อย่างใด" เมื่อกฎหมายดังกล่าวมิได้ยกเว้นไว้ว่าหนี้ใดบ้างหลุดพ้นเพราะคำสั่งยกเลิกการล้มละลายจึงต้องแปลว่าหนี้สินทุกชนิดที่ลูกหนี้มีอยู่ก่อนฟ้องอย่างไรก็คงเป็นหนี้อยู่เช่นเดิมอย่างนั้น ดังนั้น แม้โจทก์มิได้นำหนี้ตามคำพิพากษาไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีที่จำเลยถูกฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลายตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 91 ก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายแล้ว หนี้ของโจทก์ดังกล่าวย่อมกลับสภาพเป็นหนี้ที่สมบูรณ์อันทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิที่จะบังคับคดีแก่จำเลยได้