พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,220 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5106/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับการพิจารณาคดีแพ่งและอาญา และการโต้แย้งข้อเท็จจริงในฎีกา
ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยเป็นไม่รอการลงโทษจำคุกให้นั้นเป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลยจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา219 การที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งก่อนแล้วจึงพิจารณาพิพากษาคดีส่วนอาญาไม่มีกฎหมายบัญญัติบังคับไว้แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา42และ46มุ่งหมายที่จะให้ศาลมีพิจารณาคดีส่วนแพ่งรอฟังผลคดีส่วนอาญาก่อนแล้วจึงพิพากษาคดีส่วนแพ่งไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎในคดีส่วนอาญาฉะนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาส่วนอาญาก่อนโดยไม่ฟังผลในคดีส่วนแพ่งจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ขอให้ศาลฎีกาพิจารณาคดีใหม่ไม่ปรากฎว่าจำเลยโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค2ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4978/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาคดีอาญาต่อการพิจารณาคดีแพ่ง: ลายมือชื่อปลอมในหนังสือมอบอำนาจ
ประเด็นในคดีอาญามีว่าลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจของจำเลยที่ 4 เป็นลายมือชื่อปลอมหรือไม่ ซึ่งจะต้องวินิจฉัยอย่างเดียวกับคดีนี้ หากศาลในคดีอาญาวินิจฉัยว่า ลายมือชื่อของจำเลยที่ 4 ในหนังสือมอบอำนาจเป็นลายมือชื่อปลอม อาจทำให้การตัดสินคดีนี้เปลี่ยนแปลงไป จึงสมควรงดการพิจารณาคดีนี้ไว้รอฟังข้อเท็จจริงที่จะปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาก่อน
การจะรอฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล
การจะรอฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4978/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดการพิจารณาคดีแพ่งรอผลคดีอาญาเกี่ยวกับการปลอมลายมือชื่อในเอกสารโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของโจทก์โดยจำเลยทั้งสี่โอนให้เพื่อชำระหนี้จำนองจำเลยทั้งสี่ให้การต่อสู้ว่าจำเลยทั้งสี่เป็นเจ้าของโดยจำเลยทั้งสี่ได้ยื่นฟ้องโจทก์กับพวกเป็นคดีอาญาสินไหมว่าร่วมกันปลอมลายมือชื่อจำเลยที่4ในหนังสือมอบอำนาจและนำไปขอจดทะเบียนโอนที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของโจทก์และขอให้เพิกถอนการโอนประเด็นในคดีอาญามีว่าลายมือชื่อของจำเลยที่4ในหนังสือมอบอำนาจปลอมหรือไม่เช่นเดียวกับคดีนี้ซึ่งคำวินิจฉัยในคดีอาญาอาจทำให้การชี้ขาดตัดสินคดีนี้เปลี่ยนแปลงไปทั้งจำเลยทั้งสี่ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นงดการอ่านคำพิพากษาคดีนี้ไว้แล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา39เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งประทับฟ้องคดีอาญาแล้วจึงมีเหตุสมควรที่จะงดรอฟังข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4884/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องในคดีรื้อถอนสิ่งกีดขวางลำน้ำสาธารณะ: โจทก์ต้องเสียหายเป็นพิเศษหรือไม่
จำเลยให้การว่า ลำบางพิพาทไม่ใช่ทางสาธารณะและนำสืบเพื่อแสดงให้เห็นว่าลำบางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งให้จำเลยที่ 2 เช่า จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิทำคันดินปิดกั้นในที่ดินของจำเลยที่ 1 ได้ และมิใช่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว เชื่อว่าลำบางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 มิใช่ลำบางสาธารณะการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมิใช่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ เท่ากับศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเอง ครั้งคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์พิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว เชื่อว่าลำบางพิพาทเป็นลำบางสาธารณะฉะนั้นจึงต้องวินิจฉัยปัญหาต่อไปอีกว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองที่ทำการปิดกั้นลำบางพิพาทหรือไม่ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ยุติ และเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าคู่ความได้นำสืบเกี่ยวกับเรื่องอำนาจฟ้องไว้แล้วและเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการพิจารณาพิพากษาคดีศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้เสร็จไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้ โจทก์มีอาชีพค้าขาย ไม่ได้ประกอบอาชีพอื่นเลย และลำบางพิพาทอยู่ห่างบ้านโจทก์ถึง 5 เส้นเศษ โจทก์เพียงแต่เคยใช้เรือผ่านลำบางพิพาทเฉพาะฤดูที่มีน้ำหลาก และทำการจับกุ้งบางครั้งบางคราวตั้งแต่ปี 2516 ต่อมาปรากฎว่าลำบางตื้นเขินเนื่องจากจำเลยมาปิดเส้นทาง โจทก์ก็ไม่ได้ใช้ลำบางพิพาทอีกเลย การที่จำเลยทั้งสองทำการปิดกั้นลำบางพิพาทแม้จะทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ในการที่ประสงค์จะใช้ลำบางพิพาทในอนาคต ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ ฉะนั้นแม้จำเลยทั้งสองปิดกั้นลำบางพิพาทซึ่งเป็นลำบางสาธารณะก็เป็นเรื่องของเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองของรัฐ ผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสอง โจทก์หามีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปิดกั้นออกไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4779/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญา
คดีแพ่งคู่ความตกลงกันให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีไปตามคำเบิกความของพยานในคดีอาญาโดยไม่มีการสืบพยาน เมื่อปรากฏว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งตามที่ตกลงกันดังกล่าวศาลก็ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4779/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกัน ศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาอาญา
คดีแพ่งคู่ความตกลงกันให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีไปตามคำเบิกความของพยานในคดีอาญาโดยไม่มีการสืบพยานเมื่อปรากฎว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งตามที่ตกลงกันดังกล่าวศาลก็ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา46ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4769/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกความเท็จในคดีแพ่ง ไม่ถือเป็นการละเมิด หากรายละเอียดไม่สำคัญต่อผลคดี
โจทก์ฟ้องเรื่องละเมิดว่าจำเลยที่1เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยให้รับผิดชำระหนี้ตามเช็คจำเลยที่2และที่3เบิกความเท็จและจำเลยที่1เป็นผู้ก่อให้จำเลยที่3เบิกความเท็จเป็นเหตุให้ศาลเชื่อว่าโจทก์เป็นผู้สลักหลังเช็คและพิพากษาให้โจทก์รับผิดชำระหนี้ตามเช็คทำให้โจทก์เสียหายจำเลยทั้งสามต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ศาลอุทธรณ์ภาค2วินิจฉัยว่าเมื่อฟังว่าโจทก์เป็นผู้สลักหลังเช็คโจทก์ต้องรับผิดชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา900วรรคแรก,901ส่วนที่จำเลยที่2และที่3เบิกความว่าโจทก์นำเช็คมาให้แก่จำเลยที่1เป็นเพียงรายละเอียดไม่เป็นข้อสำคัญในคดีแม้เป็นความเท็จจำเลยที่1และที่3ก็ไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จอันจะเป็นการละเมิดต่อโจทก์การที่ศาลอุทธรณ์ภาค2หยิบยกมาตรา900วรรคแรก,901ขึ้นมาวินิจฉัยคดีก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าแม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่าที่จำเลยที่2และที่3เบิกความว่าโจทก์นำเช็คพิพาทมาให้แก่จำเลยที่1เป็นความเท็จคำเบิกความดังกล่าวก็เป็นเพียงรายละเอียดไม่เป็นข้อสำคัญในคดีจำเลยที่2และที่3ไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์จำเลยที่1ก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วยเป็นการวินิจฉัยในเรื่องละเมิดตามอุทธรณ์ของโจทก์ไม่ใช่เป็นการนำตัวบทกฎหมายในเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับประเด็นมาวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4719/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทุนทรัพย์คดีแพ่ง: การคำนวณค่าเสียหายในอนาคตไม่รวมในทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ ทำให้ต้องห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายที่คิดถึงวันฟ้องให้โจทก์10,000บาทเมื่อรวมกับราคาที่ดินพิพาทอีก30,000บาทคดีจึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์40,000บาทส่วนค่าเสียหายปีละ40,000บาทที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระแก่โจทก์หลังจากวันฟ้องนั้นเป็นค่าเสียหายในอนาคตจะนำไปรวมเป็นทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ด้วยไม่ได้คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3526/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีและการขอให้พิจารณาใหม่ จำเลยต้องไม่จงใจขาดนัดจึงจะขอได้
การที่ศาลจะอนุญาตให้พิจารณาใหม่ได้ต้องเป็นกรณีที่มีคู่ความขาดนัดพิจารณาและมีเหตุสมควรเชื่อว่าคู่ความฝ่ายที่ขาดนั้นมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาเมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าจำเลยจงใจขาดนัดพิจารณาแม้ฟังข้อเท็จจริงด้วยว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การจำเลยไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3197/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินขอบเขตฟ้อง: คดีเช่าที่ดิน การตีราคาและขอบเขตการบังคับคดี
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเช่าที่ดินบางส่วนของโจทก์เพื่อปลูกบ้านขอให้รื้อถอนออกไปจากที่ดินของโจทก์ย่อมมีความหมายว่าขอให้ ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินที่จำเลยเช่าแม้จำเลยให้การว่ามีสิทธิครอบครองเกินส่วนที่เช่าเพื่อปลูกบ้านแต่จำเลยมิได้ ฟ้องแย้งไว้ดังนั้นจึงพิพาทกันเฉพาะที่ดินที่จำเลยเช่าเพื่อปลูกบ้านเท่านั้นเมื่อที่ดินดังกล่าวมีราคาพิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาทในชั้นอุทธรณ์คู่ความจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ใน ปัญหาข้อเท็จจริง ศาลพิพากษาให้จำเลยออกไปจากที่ดินเกินส่วนที่พิพาทจึงเป็นการพิพากษาเกินกว่าที่ปรากฏในฟ้อง