คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ค่าชดเชย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,092 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าชดเชยจากการเลิกจ้างต้องไม่ต่ำกว่ากฎหมายคุ้มครองแรงงาน แม้คำนวณตามระเบียบบริษัท
ระเบียบข้อบังคับของจำเลยได้กำหนดหลักเกณฑ์เป็นฐานการจ่ายเงินชดเชยไว้ในตอนต้นว่าบริษัทจะจ่ายเงินชดเชยให้ตามอัตราซึ่งประกาศในกฎหมายคุ้มครองแรงงานของกระทรวงมหาดไทย เงินที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ตามระเบียบข้อบังคับสำหรับพนักงานบริษัท ข้อ 70 (2) ซ. คงอยู่ในหลักเกณฑ์ดังกล่าว แม้ตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยนั้นจะคำนวณจากเงินเดือนครั้งสุดท้ายเดือนละ 31,320 บาท คูณ 100% คูณ 36 ปี 18 วัน ซึ่งเป็นจำนวนปีที่โจทก์ปฏิบัติงานให้แก่จำเลย แต่ก็มิได้น้อยกว่าค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 (3) แก้ไขโดยประกาศของกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 11) ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2532 ข้อ 7 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์กำหนดไว้ กล่าวคือค่าจ้างอัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ทั้งโจทก์ก็ได้รับผลประโยชน์มากกว่าด้วย เงินที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ตามระเบียบข้อบังคับสำหรับพนักงานบริษัทเอกสารหมาย ล.1 ข้อ 70(2) ซ. จึงเป็นค่าชดเชย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8363/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งปิดป่าโดยรัฐมนตรีชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นละเมิด สิทธิเรียกร้องค่าชดเชยต้องยื่นตามขั้นตอน
โจทก์บรรยายฟ้องพอสรุปได้ว่าการประกาศยกเลิกสัมปทานทำไม้ของจำเลยทั้งสองที่มีต่อโจทก์ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 68 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการจงใจกระทำผิดกฎหมายผิดสัญญาและเป็นการละเมิดต่อโจทก์และเรียกค่าเสียหายตามฟ้องอันเป็นการฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดต่อโจทก์ในลักษณะละเมิดและผิดสัญญามิใช่เป็นการฟ้องเรียกเงินชดเชยความเสียหายเพียงประการเดียวกรณีไม่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 68 ทศ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้ คำว่า "สัมปทาน" ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. 2525 หมายถึง การอนุญาตให้มีสิทธิที่จะทำได้แต่ผู้เดียวในกิจการบางอย่างเช่นเหมืองแร่และป่าไม้และตามมาตรา 63 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ได้บัญญัติไว้ว่า "ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ รัฐบาลมีอำนาจให้สัมปทานในการทำไม้ชนิดใด หรือเก็บของป่าอย่างใดโดยมีขอบเขตเพียงใดและในสัมปทานนั้นจะให้มีข้อกำหนดและเงื่อนไขอย่างใดก็ได้"เนื้อความสัมปทานทำไม้ของห้าม เป็นเรื่องที่รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จำเลยที่ 1 ให้บริษัทตากทำไม้ จำกัดโจทก์เข้าทำไม้หวงห้ามภายในเขตพื้นที่ที่กำหนด โดยกำหนดเวลาและเงื่อนไขให้โจทก์ต้องปฏิบัติด้วย และตามข้อกำหนดในสัมปทานโจทก์เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ส่วนใหญ่โดยเสียผลตอบแทนให้รัฐบาลเพียงเล็กน้อยเป็นเงินค่าภาคหลวงและค่าตอบแทนตามที่กำหนดไว้ในข้อ 5 ของสัมปทาน การให้สัมปทานเป็นวิธีการอนุญาตวิธีหนึ่งซึ่งผู้ได้รับสัมปทานมีสิทธิที่จะทำกิจการที่ได้รับสัมปทานโดยไม่ผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับการได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนดังนี้ สัมปทานทำไม้ตามฟ้องจึงเป็นเอกสารการอนุญาตให้โจทก์มีสิทธิทำไม้ได้โดยไม่ผิดกฎหมายเท่านั้น มิใช่สัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การออกคำสั่งของจำเลยที่ 1 ที่ให้สัมปทานตามฟ้องสิ้นสุดลงเป็นการออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 68 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ซึ่งเป็นคำสั่งที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งในคำสั่งดังกล่าวที่ได้ระบุเหตุผลไว้ชัดแจ้งว่าเนื่องจากปัจจุบันนี้พื้นที่ป่าไม้ถูกทำลายและเสื่อมโทรมลงจนเป็นเหตุให้เกิดสภาวะการขาดความสมดุลของสภาพแวดล้อม กรณีเป็นการจำเป็นต้องใช้พื้นที่ป่าไม้ในเขตสัมปทาน เมื่อไม่ปรากฏหลักฐานหรือข้อเท็จจริงที่จะแสดงว่า จำเลยทั้งสองออกคำสั่งเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ การออกคำสั่งดังกล่าวเป็นการออกโดยกฎหมายให้อำนาจไว้ จึงเป็นคำสั่งที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมายโจทก์ได้ยื่นคำร้องเรียกร้องเงินชดเชยความเสียหายต่ออธิบดีกรมป่าไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 68 อัฎฐแล้ว แต่โจทก์ได้รับชดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้เพียงบางส่วน โจทก์ไม่พอใจ จึงยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีตามมาตรา 68 ทศ และได้นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสองในขณะที่รัฐมนตรียังไม่ได้มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์และยังไม่พ้นกำหนดเวลาที่จะวินิจฉัย การที่โจทก์มายื่นฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ก่อนที่รัฐมนตรีจะได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์หรือก่อนที่จะพ้นกำหนดเวลาพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ซึ่งเป็นการยื่นฟ้องที่ผิดขั้นตอนของบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวโจทก์จึงยังไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องศาลในส่วนที่เกี่ยวกับเงินชดเชยค่าจ้างคนงานได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7909/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลาออก/ละทิ้งหน้าที่ - การนับวันขาดงาน - การเลิกจ้าง - ค่าชดเชย - การตอกบัตรลงเวลาไม่ใช่สาระสำคัญ
โจทก์มาทำงานในวันที่ 6 กันยายน 2537 การที่โจทก์ออกจากที่ทำงานไปก่อนเวลาเลิกงานโดยไม่ได้ตอกบัตรลงเวลา เลิกงาน แม้จะถือว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่แต่มิใช่เป็นการ ละทิ้งหน้าที่ตลอดทั้งวัน จะนำมารวมกับวันที่ 7 และ 8 กันยายน 2537 ซึ่งเป็นวันทำงานแต่โจทก์ไม่ได้มาทำงานเพื่อ ให้เข้ากรณีตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(5) ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: คดีก่อนพิพาทเรื่องค่าชดเชย คดีหลังเรียกค่าเสียหายจากละเมิด แม้ประเด็นต่างกัน แต่คำพิพากษาคดีก่อนผูกพัน
คดีก่อนจำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อนฟ้องเรียกค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเงินจำนวนอื่นจากโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนอ้างว่าโจทก์เลิกจ้างจำเลยโดยจำเลยไม่ได้กระทำผิดแม้โจทก์จะให้การต่อสู้คดีในคดีนั้นว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดต่อจำเลยเพราะโจทก์เลิกจ้างจำเลยเนื่องจากจำเลยกระทำผิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนก็มีเพียงว่าจำเลยฟ้องเรียกค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเงินจำนวนอื่นจากโจทก์ได้เพียงใดหรือไม่แต่ไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนว่าจำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่ทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปให้โจทก์เพียงใดหรือไม่การที่โจทก์มาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในคดีนี้โดยกล่าวอ้างว่าจำเลยได้กระทำละเมิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปคดีนี้จึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เพียงใดหรือไม่ซึ่งไม่ใช่ประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีก่อนจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ เมื่อคดีก่อนได้มีคำพิพากษาของศาลฎีกาอันถึงที่สุดแล้วว่าโจทก์ในคดีนี้ได้เลิกจ้างจำเลยในคดีนี้โดยจำเลยไม่ได้กระทำผิดจำเลยไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปตามที่โจทก์ให้การต่อสู้คดีในคดีก่อนคำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ในคดีนี้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำละเมิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปโจทก์กลับมาฟ้องคดีนี้เรียกค่าเสียหายจากจำเลยโดยอ้างว่าจำเลยกระทำละเมิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้สินค้าของโจทก์สูญหายไปไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคแรกประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6712/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สถานะกรรมการลูกจ้างเมื่อมีการลาออกบางส่วนและยังไม่มีการเลือกตั้งใหม่ การเลิกจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย
ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ.2518มาตรา48บัญญัติว่า"นอกจากพ้นจากตำแหน่งตามวาระกรรมการลูกจ้างพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งกรรมการลูกจ้างใหม่ทั้งคณะ"เมื่อจำเลยแถลงรับว่าขณะที่เลิกจ้างโจทก์ยังไม่มีการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งกรรมการลูกจ้างใหม่ทั้งคณะโจทก์จึงยังไม่พ้นจากตำแหน่งกรรมการลูกจ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6681/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลาออกเอง vs. การเลิกจ้าง และดุลพินิจการจ่ายโบนัส
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานได้กำหนดไว้ในข้อ 46 วรรคแรกว่า "ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้าง..." หมายความว่า นายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง ดังนี้ การที่โจทก์ลูกจ้างมีหนังสือถึงจำเลยนายจ้างอ้างถึงสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับจำเลย และมีข้อความตอนหนึ่งว่า "ผม (หมายถึงโจทก์)จะไม่ต่อสัญญา ผมจึงพร้อมที่จะไปจากที่ทำงานในวันหมดอายุของสัญญา..."ซึ่งข้อความดังกล่าวแสดงว่า โจทก์จะไม่ทำงานให้จำเลยต่อไปเมื่อครบอายุสัญญาถือได้ว่าโจทก์ขอลาออกเอง จำเลยหาได้เลิกจ้างโจทก์ไม่ จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ แม้ในหนังสือของโจทก์ที่มีถึงจำเลยนั้นจะได้เรียกร้องค่าชดเชยด้วย ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องแต่อย่างใด
เงินโบนัสมิใช่เงินที่นายจ้างจะต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน นายจ้างจึงกำหนดหลักเกณฑ์การคิดเงินโบนัสอย่างใดก็ได้ เมื่อจำเลยมีหลักเกณฑ์การคิดเงินโบนัสประจำปี ซึ่งขึ้นอยู่กับการประเมินผลงาน จึงย่อมอยู่ในดุลพินิจของจำเลยที่จะพิจารณาจ่ายให้ตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว การที่โจทก์ได้รับเงินโบนัสเพิ่มขึ้นทุกปี และปี 2536 ได้รับเงินโบนัสเท่ากับค่าจ้างจำนวนห้าเดือนไม่ก่อให้เกิดข้อผูกพันอันจะบังคับให้จำเลยต้องจ่ายให้แก่โจทก์ตามนั้น เมื่อการประเมินผลงานในปี 2537 ปีที่พิพาทกัน โจทก์ได้รับการประเมินผลงานในระดับพอใช้ ส่วนลูกจ้างคนอื่นได้รับการประเมินผลงานในระดับดีมาก การที่จำเลยจ่ายเงินโบนัสให้แก่โจทก์เท่ากับค่าจ้างจำนวนสี่เดือน ในขณะที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างคนอื่นเท่ากับค่าจ้างจำนวนห้าเดือน จึงเป็นการใช้ดุลพินิจของจำเลยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินโบนัสเพิ่มอีกได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6276/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างพิเศษนอกอัตรากำลังเกิน 120 วัน ต้องจ่ายค่าชดเชย
จำเลยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจจ้างโจทก์ให้ทำงานเป็นลูกจ้างพิเศษนอกอัตรากำลัง ตามปริมาณงานและกำลังเงินงบประมาณที่จะจัดจ้างเป็นคราว ๆ ไปโดยมีสัญญาจ้างกำหนดวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดระยะเวลาของการจ้างและการต่อสัญญาการจ้างทุกครั้งไว้ชัดแจ้งแน่นอนแต่ละครั้งไม่เกิน 120 วัน แม้การที่จำเลยไม่ต่อสัญญาจ้างกับโจทก์ด้วยเหตุครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาจ้างและต้องลดอัตรากำลังลงเพราะหมดความจำเป็นก็ตาม แต่ระยะเวลาการจ้างที่จำเลยต่อสัญญากับโจทก์อีกรวม 2 ครั้งนั้น รวมแล้วเกินระยะเวลาการจ้างตามที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างฉบับแรกจึงหาได้เข้าข้อยกเว้นตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2534 ข้อ 45 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6276/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจ้างงานพิเศษนอกอัตรากำลังเกินระยะเวลาตามสัญญา ทำให้ต้องจ่ายค่าชดเชย
จำเลยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจจ้างโจทก์ให้ทำงานเป็นลูกจ้างพิเศษนอกอัตรากำลังตามปริมาณงานและกำลังเงินงบประมาณที่จะจัดจ้างเป็นคราวๆไปโดยมีสัญญาจ้างกำหนดวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดระยะเวลาของการจ้างและการต่อสัญญาการจ้างทุกครั้งไว้ชัดแจ้งแน่นอนแต่ละครั้งไม่เกิน120วันแม้การที่จำเลยไม่ต่อสัญญาจ้างกับโจทก์ด้วยเหตุครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาจ้างและต้องลดอัตรากำลังลงเพราะหมดความจำเป็นก็ตามแต่ระยะเวลาการจ้างที่จำเลยต่อสัญญากับโจทก์อีกรวม2ครั้งนั้นรวมแล้วเกินระยะเวลาการจ้างตามที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างฉบับแรกจึงหาได้เข้าขัอยกเว้นตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เรื่องมาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจพ.ศ.2534ข้อ45วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6276/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจ้างลูกจ้างพิเศษนอกอัตรากำลังเกินระยะเวลาสัญญา ทำให้ต้องจ่ายค่าชดเชย
จำเลยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจจ้างโจทก์ให้ทำงานเป็นลูกจ้างพิเศษนอกอัตรากำลังตามปริมาณงานและกำลังเงินงบประมาณที่จะจัดจ้างเป็นคราวๆไปโดยมีสัญญาจ้างกำหนดวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดระยะเวลาของการจ้างและการต่อสัญญาการจ้างทุกครั้งไว้ชัดแจ้งแน่นอนแต่ละครั้งไม่เกิน120วันแม้การที่จำเลยไม่ต่อสัญญาจ้างกับโจทก์ด้วยเหตุครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาจ้างและต้องลดอัตรากำลังลงเพราะหมดความจำเป็นก็ตามแต่ระยะเวลาการจ้างที่จำเลยต่อสัญญากับโจทก์อีกรวม2ครั้งนั้นรวมแล้วเกินระยะเวลาการจ้างตามที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างฉบับแรกจึงหาได้เข้าข้อยกเว้นตามระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เรื่องมาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจพ.ศ.2534ข้อ45วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6150/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระผูกพันตามสัญญาสัมปทานทำไม้: สิทธิในการยึดหน่วงสมุดฝากเงินเพื่อชำระค่าปลูกป่าทดแทน
เงื่อนไขในสัมปทานทำไม้หวงห้ามกำหนดให้โจทก์ผู้รับสัมปทานต้องปลูกป่าและบำรุงป่าที่ได้รับสัมปทานทำไม้ด้วยค่าใช้จ่ายของโจทก์ โดยโจทก์จะต้องนำเงินค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าและบำรุงป่าในอัตราที่ทางราชการกำหนดไปฝากไว้ที่ธนาคาร แล้วนำสมุดฝากเงินไปมอบให้ป่าไม้จังหวัดจำเลยที่ 4 ยึดถือไว้ ส่วนการขอ รับสมุดฝากเงินทุกครั้งโจทก์ต้องเสนอแผนการปฏิบัติงาน ปลูกป่าให้ป่าไม้เขตจำเลยที่ 3 ทราบ เมื่อได้รับความเห็นชอบ จากจำเลยที่ 3 แล้วจึงจะมีสิทธิขอรับสมุดเงินฝากไปเบิกเงิน จากธนาคารเพื่อนำไปใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนตามแผนงานที่เสนอไว้และภายหลังจากเบิกเงินแล้วโจทก์ยังต้องนำสมุดฝากเงินไปมอบให้จำเลยที่ 4 เก็บรักษาไว้ตามเดิมอีกการฝากเงินของโจทก์จึงเป็นการฝากเพื่อนำไปใช้จ่ายปลูกป่า และบำรุงป่าทดแทนป่าที่โจทก์ได้ทำไม้ไปแล้ว และโจทก์ จะถอนเงินไปได้เฉพาะเพื่อเอาไปปลูกป่าและบำรุงป่าตามที่ จำเลยที่ 3 เห็นชอบเท่านั้น ตราบใดที่โจทก์ยังมีภาระหน้าที่ จะต้องปลูกป่าและบำรุงป่าทดแทนให้กรมป่าไม้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 ย่อมมีสิทธิที่จะรักษาสมุดฝากเงินของโจทก์ไว้ ตามเงื่อนไขดังกล่าว แม้ในระหว่างอายุสัมปทานทำไม้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีคำสั่งให้สัมปทาน การทำไม้หวงห้ามทุกชนิดสิ้นสุดลงก็มีผลเพียงทำให้สิทธิที่ โจทก์จะทำไม้ต่อไปภายในอายุสัมปทานสิ้นสุดลงเท่านั้น แต่โจทก์ยังมีภาระหน้าที่จะต้องปลูกป่าและบำรุงป่าทดแทน ในส่วนที่โจทก์ได้ทำไม้ไปแล้วก่อนเวลาสัมปทานจะสิ้นสุดลง โดยเบิกค่าใช้จ่ายเงินในส่วนที่โจทก์ฝากธนาคารไว้ เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ใน สัมปทานให้ครบถ้วน จำเลยที่ 4 จึงมีสิทธิที่จะเก็บรักษา สมุดฝากเงินของโจทก์ไว้ตามเงื่อนไขดังกล่าว จำเลยที่ 1 ไม่ต้องคืนสมุดฝากเงินให้โจทก์
of 110