คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
บังคับคดี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,691 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 691/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีฝ่าฝืนกฎหมาย จำเลยต้องยื่นคำร้องก่อนการบังคับคดีเสร็จสิ้น ศาลมีอำนาจเพิกถอน/แก้ไขกระบวนการ
คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาว่าที่ดินพิพาทตาม น.ส. 3 รวม 12 แปลง เป็นของโจทก์และขับไล่จำเลย และบริวารออกจากที่ดินพิพาทและให้ใช้ค่าเสียหาย จำเลยไม่ส่งมอบที่ดิน 12 แปลงแก่โจทก์ตามคำพิพากษา หลังจากศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องว่า ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่หลายร้อยไร่และยังมีปัญหาโต้แย้งแนวเขต ที่ดินกับจำเลย จะมีปัญหาในการบังคับคดี ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินพิพาท ศาลชั้นต้น เห็นว่าโจทก์และจำเลยยังโต้แย้งในเนื้อที่ดินพิพาท จึงให้นัดไต่สวน ต่อมาเมื่อสืบพยานโจทก์ไปบางส่วนแล้วศาลชั้นต้น มีคำสั่งงดการไต่สวนโดยวินิจฉัยว่า จำเลยมีสิทธิที่จะไปว่ากล่าวเป็นคดีต่างหาก ถ้าการบังคับคดีเป็นที่เสียหายแก่จำเลยเช่นนี้ย่อมเป็นอำนาจศาลที่จะใช้ดุลพินิจสั่งเช่นนั้นได้
เมื่อการบังคับคดีได้เสร็จลงเนื่องจากเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ตามคำพิพากษาแล้ว จำเลยย่อมไม่มีสิทธิยื่นคำร้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสอง และวรรคสาม ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.พ. (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2542

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6883/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประวิงเวลาบังคับคดีและการเสียสิทธิของผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด
ผู้ซื้อทรัพย์อ้างว่าเป็นผู้ให้ราคาสูงสุด และเจ้าพนักงานบังคับคดีอนุมัติให้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่ผู้ซื้อทรัพย์แล้ว จำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี และจำเลยได้ใช้สิทธิในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่สุจริต และไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีเจตนาประวิงเวลาในการบังคับคดีของศาล ทำให้ผู้ซื้อทรัพย์ไม่สามารถนำที่ดินที่ซื้อไปจัดสรรขายได้ ขอให้ยกเลิกการขายและให้คู่สัญญาทั้งสองกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมคำร้องของผู้ซื้อทรัพย์มิใช่เป็นการกล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.ภาค 4 ลักษณะ 2 อันว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง หากผู้ซื้อทรัพย์เห็นว่าบุคคลใดมีเจตนาไม่สุจริตจงใจทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อทรัพย์ก็ชอบที่จะว่ากล่าวเรียกร้องเอาจากบุคคลนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6883/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประวิงเวลาบังคับคดีทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อทรัพย์ ผู้ซื้อทรัพย์มีสิทธิเรียกร้องจากผู้มีเจตนาไม่สุจริต
ผู้ซื้อทรัพย์อ้างว่าเป็นผู้ให้ราคาสูงสุด และเจ้าพนักงานบังคับคดีอนุมัติให้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่ผู้ซื้อทรัพย์แล้ว จำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี และจำเลยได้ใช้สิทธิในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่สุจริต และไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีเจตนาประวิงเวลาในการบังคับคดีของศาล ทำให้ผู้ซื้อทรัพย์ ไม่สามารถนำที่ดินที่ซื้อไปจัดสรรขายได้ ขอให้ยกเลิกการขายและให้ คู่สัญญาทั้งสองกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมคำร้องของผู้ซื้อทรัพย์ มิใช่เป็นการกล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืน ต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ลักษณะ 2 อันว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง หากผู้ซื้อทรัพย์เห็นว่า บุคคลใดมีเจตนาไม่สุจริตจงใจ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อทรัพย์ ก็ชอบที่จะว่ากล่าวเรียกร้องเอาจากบุคคลนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6815/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลให้วางเงินประกันเพื่อป้องกันความล่าช้าในการบังคับคดี ถือเป็นที่สุดตามกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติม
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 วรรคสามซึ่งเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2542 มาตรา 7 บัญญัติว่า "คำสั่งของศาลตามวรรคสอง (1) และ (2) ให้เป็นที่สุด" มีผลใช้บังคับนับแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2542 การที่ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอาจได้รับเนื่องจากเหตุเนิ่นช้าในการบังคับคดีอันเกิดจากการยื่นคำร้องขัดทรัพย์นั้นเป็นคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288 วรรคสอง (1) แม้ศาลชั้นต้นจะอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2542 ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวจะยังไม่มีผลใช้บังคับก็ตามแต่ขณะที่ผู้ร้องยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2542 นั้น บทบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับแล้ว ฎีกาของผู้ร้องจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6776-6777/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: ผลผูกพันห้ามบังคับคดี & ค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารกับให้ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 1 ก่อนคดีถึงที่สุด โจทก์ที่ 1 กับจำเลยทำสัญญาตกลงระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยทั้งหมดโดยไม่ติดใจบังคับคดี ต่อมาโจทก์ที่ 1 นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลย เพื่อนำออกขายทอดตลาดเอาเงินมา ชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยยื่นฟ้องและศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าโจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาระงับข้อพิพาทให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย แสดงว่าจำเลยเป็นฝ่ายที่ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว แต่โจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญา ดังนั้นจึงไม่อาจบังคับคดีตามคำพิพากษาที่โจทก์ที่ 1 สละแล้วได้อีกต่อไป
เมื่อการนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์เป็นการกระทำของผู้เแทนโจทก์ที่ 1 โดยยืนยันว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยจริง หากเกิดความเสียหายผู้แทนโจทก์ที่ 1 ยินยอมรับผิดชอบเองทั้งสิ้น ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าศาลไม่อนุญาตให้บังคับคดีตามคำพิพากษาได้อีกต่อไป โจทก์ที่ 1 จึงมีหน้าที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 149 และตาราง 5 ข้อ 3 ท้าย ป.วิ.พ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6776-6777/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีหลังสัญญาระงับข้อพิพาท ศาลฎีกาพิพากษาให้ถอนการบังคับคดีเมื่อจำเลยปฏิบัติตามสัญญาแล้ว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารกับให้ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 1 ก่อนคดีถึงที่สุดโจทก์ที่ 1 กับจำเลยทำสัญญาระงับข้อพิพาทระหว่างกันทั้งหมดโดยไม่ติดใจบังคับคดีต่อมาโจทก์ที่ 1 นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลย เพื่อนำออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาจำเลยยื่นฟ้องและศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า โจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญาระงับข้อพิพาทและให้โจทก์ที่ 1 ชำระเงินแก่จำเลย แสดงว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญา แต่โจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่อาจบังคับคดีตามคำพิพากษาได้ เมื่อการนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์เป็นการกระทำของผู้แทนโจทก์ที่ 1 โดยยืนยันว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยจริงหากเกิดความเสียหายผู้แทนโจทก์ที่ 1 ยินยอมรับผิดชอบเอง เมื่อศาลไม่อนุญาตให้บังคับคดีอีกต่อไป โจทก์ที่ 1 ต้องเสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 675/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีเช่า: สิทธิโจทก์ไม่ได้รับผลกระทบจากคดีอื่นระหว่างจำเลยกับเจ้าของที่
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากสถานที่เช่าคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย การที่จำเลยยื่นคำร้องว่า โจทก์และจำเลยต่างถูกบริษัทต.เจ้าของที่พิพาทฟ้องขับไล่ออกจากที่พิพาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลย การบังคับคดีนี้ย่อมไร้ผล จึงเป็นเรื่องขอให้งดการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งอยู่ในดุลยพินิจของศาลที่จะสั่งตามสมควรแก่รูปคดี
จำเลยได้ใช้วิธีการต่าง ๆ ในเชิงคดีที่จะประวิงการบังคับคดีตามคำพิพากษาให้เนิ่นช้าตลอดมา โดยเฉพาะในคดีที่บริษัท ต.ฟ้องขับไล่โจทก์ เป็นเรื่องระหว่างบริษัท ต.กับโจทก์ ไม่กระทบสิทธิในการบังคับคดีของโจทก์ในคดีนี้ ส่วนการที่จำเลยได้ยื่นข้อเสนอขอทำสัญญาเช่าที่พิพาท และเสนอผลประโยชน์แก่บริษัท ต.เป็นข้ออ้างของจำเลยเพียงฝ่ายเดียวโดยไม่ปรากฏว่าบริษัท ต.ได้ตกลงยินยอมด้วย และแม้ข้อเสนอหรือข้อตกลงกับบริษัท ต.หากจะพึงมี ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จำเลยไม่อาจยกขึ้นใช้ยันโจทก์ในชั้นนี้ได้ ข้ออ้างตามคำร้องของจำเลยจึงไม่เป็นเหตุที่จะยกขึ้นอ้างเพื่องดการบังคับคดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 586/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีเกินความจำเป็นและข้อโต้แย้งเรื่องที่มาของเงินชำระหนี้
การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินสองแปลง ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นของ ส. และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นให้ขายทอดตลาดแล้ว จึงเป็นการยึดทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยชอบ เจ้าพนักงานบังคับคดีจะมีคำสั่งให้งดการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวจะต้องมีเหตุอ้างตามกฎหมาย การที่จำเลยขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งอายัดเงินจากบัญชีเงินฝากประจำธนาคาร ท. ของ ส. เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้เสร็จสิ้นแทนการขายทอดตลาดที่ดิน แต่โจทก์ยังโต้แย้งต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าโจทก์ไม่ยืนยันว่าเงินในบัญชีส่วนที่เหลือจากการอายัดเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา และโต้แย้งต่อศาลชั้นต้นว่าเงินในบัญชีดังกล่าวมีข้อพิพาทระหว่างจำเลยกับบุคคลภายนอก หากเจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งอายัดเงินตามคำขอของจำเลยโดยที่โจทก์ยังมีข้อโต้แย้งย่อมเป็นการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 283 คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของโจทก์ทั้งสามจึงไม่ชอบ
คดีนี้คงเหลือหนี้ตามคำพิพากษา 6,833,057.50 บาทเศษ แต่ที่ดินทั้งสองแปลงที่ประกาศขายทอดตลาด เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้ 24,856,000 บาท หากขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวย่อมจะเป็นการบังคับคดีเกินความจำเป็น ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 284 หรือหากได้เงินจากบัญชีเงินฝากมาชำระหนี้โจทก์จนครบก็ไม่ต้องขายทอดตลาดที่ดิน แต่การอายัดเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของ ส. ยังมีข้อโต้แย้งอยู่ ข้อเท็จจริงจึงยังไม่ยุติว่าการบังคับคดีโดยวิธีใดจะเป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้และลูกหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ชอบที่จะไต่สวนแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 586/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีเกินความจำเป็นและอำนาจหน้าที่เจ้าพนักงานบังคับคดี ต้องคุ้มครองสิทธิทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้
การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินสองแปลงซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นของ ส. และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นให้ขายทอดตลาดแล้ว จึงเป็นการยึดทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยชอบ เจ้าพนักงานบังคับคดีจะมีคำสั่งให้งดการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวจะต้องมีเหตุอ้างตามกฎหมายการที่จำเลยขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งอายัดเงินจากบัญชีเงินฝากประจำธนาคารท. ของ ส. เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้เสร็จสิ้นแทนการขายทอดตลาดที่ดิน แต่โจทก์ยังโต้แย้งต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าโจทก์ไม่ยืนยันว่าเงินในบัญชีส่วนที่เหลือจากการอายัดเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาและโต้แย้งต่อศาลชั้นต้นว่าเงินในบัญชีดังกล่าวมีข้อพิพาทระหว่างจำเลยกับบุคคลภายนอก หากเจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งอายัดเงินตามคำขอของจำเลยโดยที่โจทก์ยังมีข้อโต้แย้งย่อมเป็นการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 283 คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของโจทก์ทั้งสามจึงไม่ชอบ
คดีนี้คงเหลือหนี้ตามคำพิพากษา 6,833,057.50 บาทเศษ แต่ที่ดินทั้งสองแปลงที่ประกาศขายทอดตลาดเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้ 24,856,000 บาท หากขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวย่อมจะเป็นการบังคับคดีเกินความจำเป็นต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284 หรือหากได้เงินจากบัญชีเงินฝากมาชำระหนี้โจทก์จนครบก็ไม่ต้องขายทอดตลาดที่ดิน แต่การอายัดเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของ ส. ยังมีข้อโต้แย้งอยู่ ข้อเท็จจริงจึงยังไม่ยุติว่าการบังคับคดีโดยวิธีใดจะเป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้และลูกหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5478/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจ่ายเงินบังคับคดีที่เหลือให้ลูกหนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องดำเนินการจ่ายเมื่อทวงถาม มิเช่นนั้นยังไม่ถือเป็นเงินค้างจ่าย
เมื่อมีการจำหน่ายทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว มีขั้นตอนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหน้าที่ต้องปฏิบัติสองขั้นตอน คือ การจัดทำบัญชีแสดงรายการรับ - จ่าย ขั้นตอนหนึ่ง และการจ่ายเงินตามบัญชีแสดงรายการรับ - จ่ายอีกขั้นตอนหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดทำบัญชีแสดงรายการรับ - จ่าย เสร็จแล้ว ก็ต้องดำเนินการให้มีการจ่ายเงินตามบัญชีนั้นต่อไป ทั้งนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 316, 318 และ มาตรา 322 วรรคสอง
หลังจากเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดทำบัญชีแสดงรายการรับ - จ่ายแล้ว ปรากฏว่ายังมิได้มีคำสั่งหรือการ ดำเนินการใดเพื่อให้มีการจ่ายเงินส่วนที่เหลือให้แก่จำเลย เมื่อยังมีขั้นตอนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องปฏิบัติอีก เงินส่วนที่เหลือนี้จึงยังไม่เป็นเงินที่ค้างจ่ายอยู่ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีที่ผู้มีสิทธิต้องเรียกเอาเสียภายในห้าปีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 323 เงินดังกล่าวจึงยังไม่ตกเป็นของแผ่นดิน ดังนี้ เมื่อจำเลยได้เรียกเอาแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงมีหน้าที่จ่ายเงินจำนวนนี้ให้แก่จำเลย ปัญหาดังกล่าวนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาก็เห็น สมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัย
of 270