พบผลลัพธ์ทั้งหมด 327 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1508/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องแสดงเหตุผลคัดค้านคำพิพากษาที่ชัดเจน ไม่ใช่เพียงโอกาสชนะคดีหากไม่ขาดนัด
คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยได้กล่าวถึงรายละเอียดที่จำเลยทั้งสองได้ขาดนัดพิจารณาและหากจำเลยทั้งสองไม่ขาดนัดก็มีทางชนะคดีโจทก์ได้เพราะมีโอกาสซักค้านและสืบพยานหักล้างพยานโจทก์ ไม่ได้กล่าวถึงข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล ไม่มีข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย เหตุผลหรือหลักฐานที่แสดงในคำร้องว่าคำพิพากษาของศาลไม่ถูกต้องประการใด และหากพิจารณาใหม่แล้วศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างไปจากที่ได้พิพากษาไปแล้ว คำร้องขอของจำเลยจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งมาตรา 208 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2256/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามในคดีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่น – การขอพิจารณาใหม่
ในกรณีร้องขอให้พิจารณาใหม่ในคดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาซื้อขายส่งมอบที่ดินมีเนื้อที่น้อยกว่าข้อตกลง ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าซื้อที่ดินซึ่งมีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาทนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น จำเลยจะฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2256/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามในคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท
ในกรณีร้องขอให้พิจารณาใหม่ในคดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาซื้อขายส่งมอบที่ดินมีเนื้อที่น้อยกว่าข้อตกลง ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าซื้อที่ดินซึ่งมีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาทนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น จำเลยจะฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2246/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีและการขอพิจารณาใหม่ เมื่อจำเลยอยู่ต่างประเทศขณะฟ้องคดี
จำเลยเดินทางออกจากประเทศไทยไปประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อศึกษาเล่าเรียนตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2512 และกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2515 โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าจ้างว่าความจากจำเลย เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2514 จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัด รายงานของเจ้าพนักงานเดินหมายระบุว่าได้ส่งคำบังคับให้จำเลยรับ ในวันที่ 3 สิงหาคม 2519 เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ในวันที่ 16 สิงหาคม 2519 จึงไม่เกินกำหนดตามกฎหมาย จำเลยมีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาในคดีที่ศาลอุทธรณ์สั่งให้พิจารณาใหม่เมื่อจำเลยขาดนัด คดีต้องห้ามฎีกาตามทุนทรัพย์เดิม
คดีโจทก์เรียกให้ชำระหนี้ 9,650 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้พิจารณาใหม่ในคดีที่จำเลยขาดนัด โจทก์ฎีกาในปัญหาชั้นขอให้พิจารณาใหม่ ก็ต้องถือตามทุนทรัพย์เดิม จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 6 พ.ศ.2518 มาตรา 6
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 27/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขาดนัดพิจารณา - คำขอพิจารณาใหม่ - อ้างเหตุนอกเหนือชั้นฎีกา
ศาลพิพากษาในคดีที่จำเลยขาดนัดพิจารณา คำขอให้พิจารณาใหม่ต้องยื่นภายใน 15 วัน นับจากวันส่งคำบังคับให้จำเลยพฤติการณ์นอกเหนืออ้างขึ้นในชั้นฎีกาศาลไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2462/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีและการพิจารณาใหม่: เหตุผลอันสมควร, การยื่นคำขอ, และการนับระยะเวลาตามกฎหมาย
โจทก์ขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นมิได้สั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความ หากพิพากษายกฟ้องโดยถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบสนับสนุนข้ออ้างของตน อันเป็นการพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีในประเด็นที่พิพาท โจทก์มีคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา207 ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 กำหนดให้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลย มิใช่ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ทราบคำพิพากษาหรือคำสั่ง โจทก์ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ก่อนที่จะส่งคำบังคับตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208
แม้โจทก์ทนายโจทก์จะทราบวันเวลาที่ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์แล้วไม่มาศาล และไม่นำพยานมาศาลตามนัด โดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบก็ดี แต่ก่อนวันนัดโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นไปเผชิญสืบที่พิพาท และขอให้เลื่อนนัดสืบพยานโจทก์ไปก่อน ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งว่าไม่มีเหตุที่จะไปเผชิญสืบที่พิพาทหรือไม่อนุญาตให้เลื่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ไป หากมีคำสั่งแต่ว่า สำเนาให้จำเลยจะสั่งในวันนัด โจทก์และทนายโจทก์อาจเข้าใจว่าในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นคงจะเลื่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ไปและให้มีการเผชิญสืบที่พิพาทตามที่โจทก์ขอ ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์และทนายโจทก์จึงไม่มาศาล และไม่นำพยานโจทก์มาศาล การขาดนัดพิจารณาของโจทก์มิได้เป็นไปโดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันควรสมควรให้พิจารณาคดีใหม่ตามที่โจทก์ขอ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 กำหนดให้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลย มิใช่ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ทราบคำพิพากษาหรือคำสั่ง โจทก์ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ก่อนที่จะส่งคำบังคับตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208
แม้โจทก์ทนายโจทก์จะทราบวันเวลาที่ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์แล้วไม่มาศาล และไม่นำพยานมาศาลตามนัด โดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบก็ดี แต่ก่อนวันนัดโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นไปเผชิญสืบที่พิพาท และขอให้เลื่อนนัดสืบพยานโจทก์ไปก่อน ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งว่าไม่มีเหตุที่จะไปเผชิญสืบที่พิพาทหรือไม่อนุญาตให้เลื่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ไป หากมีคำสั่งแต่ว่า สำเนาให้จำเลยจะสั่งในวันนัด โจทก์และทนายโจทก์อาจเข้าใจว่าในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นคงจะเลื่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ไปและให้มีการเผชิญสืบที่พิพาทตามที่โจทก์ขอ ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์และทนายโจทก์จึงไม่มาศาล และไม่นำพยานโจทก์มาศาล การขาดนัดพิจารณาของโจทก์มิได้เป็นไปโดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันควรสมควรให้พิจารณาคดีใหม่ตามที่โจทก์ขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1128/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีและการขอพิจารณาใหม่เนื่องจากความเจ็บป่วย โดยต้องพิสูจน์การได้รับหมายเรียกชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาฟ้องโดยชอบแล้ว จะถือว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาไม่ได้
จำเลยเจ็บป่วยไม่สามารถยื่นคำของให้พิจารณาใหม่ได้ภายในระยะเวลา 15 วันนับจากวันที่ได้รับคำบังคับนั้น ถือได้ว่าเป็นเพราะพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ เมื่อจำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วันนับจากจำเลยหายป่วย จึงกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208
จำเลยเจ็บป่วยไม่สามารถยื่นคำของให้พิจารณาใหม่ได้ภายในระยะเวลา 15 วันนับจากวันที่ได้รับคำบังคับนั้น ถือได้ว่าเป็นเพราะพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ เมื่อจำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วันนับจากจำเลยหายป่วย จึงกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 55/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยขาดนัดพิจารณาแล้วอุทธรณ์ฎีกา ขอพิจารณาใหม่ไม่ได้
ศาลพิพากษาให้จำเลยผู้ขาดนัดพิจารณาแพ้คดี จำเลยมิได้ขอให้พิจารณาใหม่ แต่อุทธรณ์ฎีกาคำพิพากษาดังนี้ จะขอในฎีกาให้มีการพิจารณาใหม่ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 301/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์ในการสั่งให้พิจารณาใหม่เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่ครบถ้วนประเด็นสำคัญ
แม้จำเลยจะมิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดสืบพยานจนจำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งแล้วก็ตาม ถ้าเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาให้ได้ความจริงตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้ ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาเสียใหม่ได้ เพราะมิใช่พิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานและจำเลยมิได้คัดค้านไว้
แม้อุทธรณ์ของจำเลยเพียงแต่ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ โดยจำเลยมิได้กล่าวไว้ในอุทธรณ์ว่าขอให้ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ก็ตามศาล อุทธรณ์ก็มีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ที่จะมีคำสั่งยกคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วให้ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ หรือให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนั้นใหม่และพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ได้
จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดเป็นประเด็นไว้แล้ว ที่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยเรื่องนี้ถือได้ว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิพากษาเสียใหม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243
ตามคำให้การของจำเลยมีอยู่ว่าจำเลยไม่มีสิทธิรื้อถอนและโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอน ตามคำแถลงของโจทก์ก็มีเพียงว่าจำเลยไม่เกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างอันเป็นทรัพย์พิพาทจำเลยไม่สามารถรื้อถอนได้ มิได้มีข้อความตอนใดว่าจำเลยยินดีที่จะรื้อถอนสิ่งก่อสร้าง จึงเรียกไม่ได้ว่าจำเลยได้สละข้อต่อสู้ทั้งปวงหมดสิ้นแล้วนอกจากนี้ยังมีประเด็นข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้อีกข้อหนึ่งที่ว่าโจทก์ยังคงสงวนสิทธิในถนนพิพาทอยู่หรือไม่ ซึ่งข้อนี้จำเลยให้การไว้ในทำนองว่าโจทก์ได้แสดงเจตนา ให้ทางพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และทางพิพาทก็ได้ตกอยู่ในภาวะเช่นนั้นแล้วฝ่ายโจทก์แถลงว่าไม่เป็นความจริง อันเป็นที่เห็นได้ว่าข้อเท็จจริงข้อนี้ยังไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้ จึงต้องสืบพยานกันต่อไป
การที่ทางใดจะเป็นทางสาธารณะนั้นหาได้ขึ้นอยู่กับหลักฐานทางทะเบียนเสมอไปไม่
แม้อุทธรณ์ของจำเลยเพียงแต่ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ โดยจำเลยมิได้กล่าวไว้ในอุทธรณ์ว่าขอให้ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ก็ตามศาล อุทธรณ์ก็มีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ที่จะมีคำสั่งยกคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วให้ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ หรือให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนั้นใหม่และพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ได้
จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดเป็นประเด็นไว้แล้ว ที่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยเรื่องนี้ถือได้ว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิพากษาเสียใหม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243
ตามคำให้การของจำเลยมีอยู่ว่าจำเลยไม่มีสิทธิรื้อถอนและโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอน ตามคำแถลงของโจทก์ก็มีเพียงว่าจำเลยไม่เกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างอันเป็นทรัพย์พิพาทจำเลยไม่สามารถรื้อถอนได้ มิได้มีข้อความตอนใดว่าจำเลยยินดีที่จะรื้อถอนสิ่งก่อสร้าง จึงเรียกไม่ได้ว่าจำเลยได้สละข้อต่อสู้ทั้งปวงหมดสิ้นแล้วนอกจากนี้ยังมีประเด็นข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้อีกข้อหนึ่งที่ว่าโจทก์ยังคงสงวนสิทธิในถนนพิพาทอยู่หรือไม่ ซึ่งข้อนี้จำเลยให้การไว้ในทำนองว่าโจทก์ได้แสดงเจตนา ให้ทางพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และทางพิพาทก็ได้ตกอยู่ในภาวะเช่นนั้นแล้วฝ่ายโจทก์แถลงว่าไม่เป็นความจริง อันเป็นที่เห็นได้ว่าข้อเท็จจริงข้อนี้ยังไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้ จึงต้องสืบพยานกันต่อไป
การที่ทางใดจะเป็นทางสาธารณะนั้นหาได้ขึ้นอยู่กับหลักฐานทางทะเบียนเสมอไปไม่