พบผลลัพธ์ทั้งหมด 308 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15586/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อนคดีแรงงาน: การฟ้องจำเลยซ้ำในฐานะคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนและสำนักงานประกันสังคม
คดีก่อนโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นคนต่างด้าวฟ้อง ส. กับพวกในฐานะคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน คำฟ้องระบุว่าแนวปฏิบัติตามหนังสือที่ รส 0711/ว751 ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2544 กำหนดเงื่อนไขการรับเงินทดแทนของลูกจ้างต่างด้าวจากกองทุนเงินทดแทนไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนมีคำวินิจฉัยไม่จ่ายเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทนให้โจทก์ที่ 1 เนื้อหาคำฟ้องเป็นเช่นเดียวกับคำฟ้องคดีนี้ที่มุ่งประสงค์ให้เพิกถอนแนวปฏิบัติฉบับเดียวกันโดยโจทก์ที่ 1 อ้างว่าแนวปฏิบัติไม่มีผลบังคับเพื่อขอรับเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทน จึงเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกัน
พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 บัญญัติให้มีกองทุนเงินทดแทนขึ้นในสำนักงานประกันสังคม (จำเลย) เพื่อจ่ายเงินทดแทนแก่ลูกจ้างแทนนายจ้าง ทรัพย์สินของกองทุนเงินทดแทนตกเป็นกรรมสิทธิ์ของสำนักงานประกันสังคม โดยให้คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนทำหน้าที่ปฏิบัติงานให้แก่สำนักงานประกันสังคมหรืออาจมอบหมายให้สำนักงานประกันสังคมเป็นผู้ปฏิบัติแทนได้ การที่คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนมีมติโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 มาตรา 32 กำหนดแนวปฏิบัติให้ความคุ้มครองแรงงานต่างด้าวที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง ซึ่งต่อมาสำนักงานประกันสังคมถือปฏิบัติตามมตินั้นโดยจัดทำหนังสือวางแนวปฏิบัติแจ้งต่อสำนักงานประกันสังคมจังหวัด คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนกับสำนักงานประกันสังคมจึงเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเดียวกัน หากการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ที่ 1 สำนักงานประกันสังคมต้องรับผิด การที่โจทก์ที่ 1 ฟ้อง ส. กับพวกในฐานะคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนเป็นจำเลยในคดีก่อน กับฟ้องสำนักงานประกันสังคมเป็นจำเลยในคดีนี้ จึงเป็นการฟ้องในเรื่องเดียวกันโดยคู่ความเดียวกัน เป็นฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 โจทก์ที่ 1 จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
เมื่อคดีนี้เป็นคดีแรงงาน ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาไปตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 สำหรับเรื่องที่ไม่ได้บัญญัติไว้ก็ให้นำบทบัญญัติตาม ป.วิ.พ. มาใช้บังคับโดยอนุโลมตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 31 จึงนำ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาใช้ในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ไม่ได้
พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 บัญญัติให้มีกองทุนเงินทดแทนขึ้นในสำนักงานประกันสังคม (จำเลย) เพื่อจ่ายเงินทดแทนแก่ลูกจ้างแทนนายจ้าง ทรัพย์สินของกองทุนเงินทดแทนตกเป็นกรรมสิทธิ์ของสำนักงานประกันสังคม โดยให้คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนทำหน้าที่ปฏิบัติงานให้แก่สำนักงานประกันสังคมหรืออาจมอบหมายให้สำนักงานประกันสังคมเป็นผู้ปฏิบัติแทนได้ การที่คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนมีมติโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 มาตรา 32 กำหนดแนวปฏิบัติให้ความคุ้มครองแรงงานต่างด้าวที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้าง ซึ่งต่อมาสำนักงานประกันสังคมถือปฏิบัติตามมตินั้นโดยจัดทำหนังสือวางแนวปฏิบัติแจ้งต่อสำนักงานประกันสังคมจังหวัด คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนกับสำนักงานประกันสังคมจึงเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเดียวกัน หากการปฏิบัติงานของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ที่ 1 สำนักงานประกันสังคมต้องรับผิด การที่โจทก์ที่ 1 ฟ้อง ส. กับพวกในฐานะคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนเป็นจำเลยในคดีก่อน กับฟ้องสำนักงานประกันสังคมเป็นจำเลยในคดีนี้ จึงเป็นการฟ้องในเรื่องเดียวกันโดยคู่ความเดียวกัน เป็นฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 โจทก์ที่ 1 จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
เมื่อคดีนี้เป็นคดีแรงงาน ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาไปตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 สำหรับเรื่องที่ไม่ได้บัญญัติไว้ก็ให้นำบทบัญญัติตาม ป.วิ.พ. มาใช้บังคับโดยอนุโลมตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 31 จึงนำ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาใช้ในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15141/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องล้มละลายซ้อน: การฟ้องคดีล้มละลายโดยมีคดีเดิมอยู่ระหว่างพิจารณา
โจทก์นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ ธ.15035/2543 มาฟ้องต่อศาลล้มละลายกลางเป็นคดีหมายเลขดำที่ ล.10810/2552 ขอให้จำเลยล้มละลาย ต่อมาเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2552 โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีดังกล่าว ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2552 สำหรับคดีนี้โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2552 โดยนำมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ ธ.15035/2543 และคดีหมายเลขแดงที่ ธ.19355/2542 มาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย คำฟ้องของโจทก์ทั้งคดีหมายเลขดำที่ ล.10810/2552 กับคดีนี้ ต่างมีประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างเดียวกันว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว และสมควรเป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่ แม้ว่าโจทก์จะกล่าวอ้างมูลหนี้ตามคำพิพากษาศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ ธ.19355/2542 เพิ่มเติมจากมูลหนี้ตามคำพิพากษาศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ ธ.15035/2543 มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ แต่ก็ยังคงต้องพิจารณาในประเด็นเรื่องเดียวกันนั่นเอง เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ในวันที่ 8 ตุลาคม 2552 ขณะที่คดีหมายเลขดำที่ ล.10810/2552 ยังอยู่ระหว่างการขอถอนฟ้อง และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2552 จึงมีผลให้คดีหมายเลขดำที่ ล.10810/2552 ยังอยู่ระหว่างพิจารณา คำฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 (1) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 14
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1333/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน-ผลผูกพันคำพิพากษา: คดีจำนองต้องรอผลคดีเดิมที่พิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์
โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดภูเก็ต เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1508/2543 โดยอ้างว่า ที่ดินพิพาทโฉนดตราจอง เลขที่ 169 ตำบลหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา กรรมสิทธิ์เป็นของโจทก์ที่ ส. ถือกรรมสิทธิ์ไว้แทน แต่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันฉ้อฉลโจทก์โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ส. ได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 โดยมีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์บังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ แล้วจำเลยที่ 3 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันการชำระหนี้แก่จำเลยที่ 4 โดยรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจำนอง แม้โจทก์ในคดีนี้จะมิได้มีคำขอให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันโอนที่ดินพิพาทคืนโจทก์ แต่การที่ศาลจะมีคำพิพากษาในคดีนี้ได้ก็ต่อเมื่อได้มีคำวินิจฉัยเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดย ส. ถือกรรมสิทธิ์ไว้แทนหรือไม่ เมื่อปรากฏว่าคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 1508/2543 อยู่ระหว่างพิจารณาของศาลจังหวัดภูเก็ต การที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)
การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนตามคดีหมายเลขดำที่ 198/2546 หมายเลขคดีแดงที่ 303/2554 และฟ้องคดีนี้ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจำนองเพื่อให้ที่ดินกลับมาเป็นชื่อของ ส. เป็นคนละประเด็นกับคดีหมายเลขดำที่ 1508/2543 ของศาลจังหวัดภูเก็ต ในประเด็นที่ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่โอนที่ดินไปให้แก่บุคคลอื่นเป็นการฉ้อฉลโจทก์หรือไม่ กับประเด็นที่ว่าการจำนองอันเกิดจากการฉ้อฉลตามฟ้องนั้น ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยในคดีหมายเลขดำที่ 1508/2543 ของศาลจังหวัดภูเก็ตก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์โดย ส. ถือกรรมสิทธิ์แทนหรือไม่ เมื่อศาลในคดีดังกล่าวมีคำพิพากษาถึงที่สุดอย่างไรแล้ว คำพิพากษาย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในคดีนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145
คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 1508/2543 ของศาลจังหวัดภูเก็ตหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนตามคดีหมายเลขดำที่ 198/2546 หมายเลขคดีแดงที่ 303/2554 และฟ้องคดีนี้ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจำนองเพื่อให้ที่ดินกลับมาเป็นชื่อของ ส. เป็นคนละประเด็นกับคดีหมายเลขดำที่ 1508/2543 ของศาลจังหวัดภูเก็ต ในประเด็นที่ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่โอนที่ดินไปให้แก่บุคคลอื่นเป็นการฉ้อฉลโจทก์หรือไม่ กับประเด็นที่ว่าการจำนองอันเกิดจากการฉ้อฉลตามฟ้องนั้น ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยในคดีหมายเลขดำที่ 1508/2543 ของศาลจังหวัดภูเก็ตก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์โดย ส. ถือกรรมสิทธิ์แทนหรือไม่ เมื่อศาลในคดีดังกล่าวมีคำพิพากษาถึงที่สุดอย่างไรแล้ว คำพิพากษาย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในคดีนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145
คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 1508/2543 ของศาลจังหวัดภูเก็ตหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1333/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน-ผลคำพิพากษาผูกพัน: การฟ้องเพิกถอนนิติกรรมต้องรอผลคดีเดิมที่เกี่ยวข้องกับกรรมสิทธิ์
โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดภูเก็ต เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1508/2543 อ้างว่า ที่ดินพิพาทโฉนดตราจอง เลขที่ 169 ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดย ส. ถือกรรมสิทธิ์ไว้แทน แต่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันฉ้อฉลโจทก์โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ส. จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 โดยมีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์บังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ แล้วจำเลยที่ 3 จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกันการชำระหนี้แก่จำเลยที่ 4 โดยรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจำนอง แม้ในคดีนี้โจทก์จะมิได้มีคำขอให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันโอนที่ดินพิพาทคืนโจทก์ แต่การที่ศาลจะมีคำพิพากษาคดีนี้ได้ก็ต่อเมื่อได้มีคำวินิจฉัยเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดย ส. ถือกรรมสิทธิ์ไว้แทนหรือไม่ เมื่อปรากฏว่าคดีหมายเลขดำที่ 1508/2543 อยู่ระหว่างพิจารณาของศาลจังหวัดภูเก็ต การที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)
การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินตามคดีหมายเลขดำที่ 198/2546 คดีหมายเลขแดงที่ 303/2554 และฟ้องคดีนี้ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจำนองเพื่อให้ที่ดินกลับมาเป็นชื่อของ ส. เป็นคนละประเด็นกับคดีหมายเลขดำที่ 1508/2543 ของศาลจังหวัดภูเก็ต ในประเด็นที่ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่โอนที่ดินไปให้แก่บุคคลอื่นเป็นการฉ้อฉลโจทก์หรือไม่ กับประเด็นที่ว่าการจำนองอันเกิดจากการฉ้อฉลตามฟ้องนั้น ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยในคดีหมายเลขดำที่ 1508/2543 ของศาลจังหวัดภูเก็ตก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดย ส. ถือกรรมสิทธิ์ไว้แทนหรือไม่ เมื่อศาลในคดีดังกล่าวมีคำพิพากษาถึงที่สุดอย่างไรแล้ว คำพิพากษาย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในคดีนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145
คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 1508/2543 ของศาลจังหวัดภูเก็ตหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินตามคดีหมายเลขดำที่ 198/2546 คดีหมายเลขแดงที่ 303/2554 และฟ้องคดีนี้ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจำนองเพื่อให้ที่ดินกลับมาเป็นชื่อของ ส. เป็นคนละประเด็นกับคดีหมายเลขดำที่ 1508/2543 ของศาลจังหวัดภูเก็ต ในประเด็นที่ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ที่โอนที่ดินไปให้แก่บุคคลอื่นเป็นการฉ้อฉลโจทก์หรือไม่ กับประเด็นที่ว่าการจำนองอันเกิดจากการฉ้อฉลตามฟ้องนั้น ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยในคดีหมายเลขดำที่ 1508/2543 ของศาลจังหวัดภูเก็ตก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดย ส. ถือกรรมสิทธิ์ไว้แทนหรือไม่ เมื่อศาลในคดีดังกล่าวมีคำพิพากษาถึงที่สุดอย่างไรแล้ว คำพิพากษาย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ในคดีนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145
คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 1508/2543 ของศาลจังหวัดภูเก็ตหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12437/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: ค่าเสียหายจากภาระจำยอมที่ไม่จดทะเบียน แม้ฟ้องเพิ่มเติมหลังคดีเดิมดำเนินอยู่ ก็เป็นฟ้องซ้อน
คดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.129/2554 ของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 และ ฉ. เป็นผู้จัดสรรที่ดินมีหน้าที่ต้องดูแลและบำรุงรักษาสาธารณูปโภคให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานเพื่อประโยชน์ของผู้ซื้อที่ดินจัดสรร ต้องสร้างถนนบนที่ดินพิพาทเป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็กสูงเทียบเท่าถนนสาธารณะ และจดทะเบียนให้ที่ดินพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องโดยมีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอย่างเดียวกัน แต่อ้างเพิ่มเติมว่า การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 และ ฉ. เพิกเฉยไม่ไปจดทะเบียนให้ที่ดินพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ เป็นเหตุให้สถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อในการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยเพื่อเป็นสวัสดิการที่พักให้แก่พนักงานของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายต้องจ่ายเงินชดเชยค่าเช่าที่พักให้แก่พนักงานของโจทก์และขอเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งเจ็ด ซึ่งค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้สืบเนื่องมาจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 และ ฉ. ไม่ไปจดทะเบียนให้ที่ดินพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ตามฟ้องในคดีก่อน อันเป็นค่าเสียหายที่โจทก์สามารถฟ้องเรียกได้ในคดีก่อนอยู่แล้ว
เดิมโจทก์ฟ้องคดีก่อนเป็นคดีผู้บริโภค คดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ.1543/2552 ของศาลชั้นต้น ต่อมาประธานศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า ไม่เป็นคดีผู้บริโภค และศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคดีไว้พิจารณาเป็นคดีแพ่งสามัญ คดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.129/2554 ให้งดชี้สองสถานและกำหนดวันนัดพิจารณาต่อเนื่อง แต่ค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิดจากสถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อซึ่งได้แจ้งให้โจทก์ทราบตามหนังสือแจ้งอนุมัติสินเชื่อ โจทก์จึงชอบที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องได้ในคดีก่อน ซึ่งเป็นการขอเพิ่มจำนวนทุนทรัพย์ในฟ้องเดิมที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและมีความเกี่ยวข้องกัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 179 และ 180 การที่โจทก์กลับมาฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีนี้อันเป็นการฟ้องเรื่องเดียวกันขณะที่คดีก่อนยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.129/2554 ของศาลชั้นต้น ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)
เดิมโจทก์ฟ้องคดีก่อนเป็นคดีผู้บริโภค คดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ.1543/2552 ของศาลชั้นต้น ต่อมาประธานศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า ไม่เป็นคดีผู้บริโภค และศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคดีไว้พิจารณาเป็นคดีแพ่งสามัญ คดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.129/2554 ให้งดชี้สองสถานและกำหนดวันนัดพิจารณาต่อเนื่อง แต่ค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิดจากสถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อซึ่งได้แจ้งให้โจทก์ทราบตามหนังสือแจ้งอนุมัติสินเชื่อ โจทก์จึงชอบที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องได้ในคดีก่อน ซึ่งเป็นการขอเพิ่มจำนวนทุนทรัพย์ในฟ้องเดิมที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและมีความเกี่ยวข้องกัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 179 และ 180 การที่โจทก์กลับมาฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีนี้อันเป็นการฟ้องเรื่องเดียวกันขณะที่คดีก่อนยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.129/2554 ของศาลชั้นต้น ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12437/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: ค่าเสียหายจากการไม่อนุมัติสินเชื่อเป็นส่วนหนึ่งของข้อพิพาทเดิม ต้องขอแก้ไขคำฟ้องเดิม
คดีก่อนและคดีนี้โจทก์ฟ้องโดยมีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอย่างเดียวกัน แต่คดีนี้อ้างเพิ่มเติมว่า การที่จำเลยกับพวกเพิกเฉยไม่ไปจดทะเบียนให้ที่ดินพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ เป็นเหตุให้สถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อในการก่อสร้างที่พักให้แก่พนักงานโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ต้องจ่ายเงินค่าที่พักให้แก่พนักงานโจทก์ และขอเรียกค่าเสียหาย ซึ่งค่าเสียหายดังกล่าวสืบเนื่องมาจากจำเลยกับพวกไม่ไปจดทะเบียนให้ที่ดินพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ตามฟ้องในคดีก่อน อันเป็นค่าเสียหายที่โจทก์สามารถฟ้องเรียกได้ในคดีก่อนอยู่แล้ว ที่โจทก์อ้างว่าค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่ฟ้องคดีก่อนนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมโจทก์ฟ้องคดีก่อนเป็นคดีผู้บริโภค ต่อมาประธานศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า ไม่เป็นคดีผู้บริโภค และศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคดีไว้พิจารณาเป็นคดีแพ่งสามัญให้งดชี้สองสถานและกำหนดวันนัดพิจารณาต่อเนื่อง แต่ค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้เกิดจากสถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อซึ่งได้แจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว โจทก์จึงชอบที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องได้ในคดีก่อน ซึ่งเป็นการขอเพิ่มจำนวนทุนทรัพย์ในฟ้องเดิมที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและมีความเกี่ยวข้องกัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 179 และ 180 การที่โจทก์กลับมาฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีนี้อันเป็นการฟ้องเรื่องเดียวกันขณะที่คดีก่อนยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อน ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10754/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: การฟ้องคดีภาระจำยอมซ้ำกับคดีเดิมที่อยู่ระหว่างการพิจารณา แม้คดีเดิมจำหน่ายไปแล้ว ก็ไม่ทำให้ฟ้องซ้อนเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่โดยอ้างเหตุว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดหลง ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีในคดีก่อนเพียง 6 วัน เป็นการยื่นภายในระยะเวลาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 และโจทก์ทั้งเจ็ดยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ขณะนั้นระยะเวลาอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ของจำเลยยังไม่สิ้นสุดลงถือได้ว่า โจทก์ยื่นคำฟ้องคดีนี้ในขณะที่คดีก่อนอยู่ในระหว่างการพิจารณา และเมื่อพิจารณาคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งเจ็ดกล่าวอ้างว่า ที่ดินของจำเลยตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดที่อยู่ติดกันเช่นเดียวกันกับคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีก่อน แม้คำขอบังคับในส่วนที่เกี่ยวกับความกว้างยาวของทางพิพาทแตกต่างกัน แต่ก็เป็นการขอให้รับรองว่าทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดเช่นเดียวกัน คำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีนี้กับคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีก่อนจึงเป็นคำฟ้องเรื่องเดียวกัน และการพิจารณาว่าคำฟ้องคดีหลังเป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อนหรือไม่ ต้องพิจารณาในวันยื่นคำฟ้องคดีหลังเป็นสำคัญ เมื่อปรากฏว่าขณะที่โจทก์ทั้งเจ็ดยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ คดีก่อนอยู่ระหว่างการพิจารณา คำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีก่อน แม้ต่อมาศาลฎีกาในคดีก่อนจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะเหตุฎีกาของจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรแก่การพิจารณา ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง ก็หาทำให้คำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีนี้ซึ่งเป็นฟ้องซ้อนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลับเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6792/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อนกันฉ้อโกงและรับของโจร ฟ้องเคลือบคลุมไม่มีอำนาจฟ้อง
คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุเดียวกัน จำเลยเป็นทั้งคนร้ายที่เป็นตัวการร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารสิทธิปลอมและฉ้อโกงเอาเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ร่วม แล้วจำเลยยังกระทำความผิดฐานรับของโจรในวันเวลาเดียวกัน โดยจำเลยรับของโจรเงินที่จำเลยร่วมกันฉ้อโกงมาได้ ซึ่งองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจรเป็นความผิดอันเกิดจากการช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งทรัพย์อันได้มาจากการที่ผู้อื่นกระทำความผิดอันเกี่ยวกับทรัพย์ หาได้เป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงของจำเลยเอง ฟ้องของโจทก์ในความผิดสองฐานดังกล่าวจึงเป็นฟ้องที่ขัดแย้งกันเอง อันเป็นฟ้องเคลือบคลุม ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19416/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อนในคดีแรงงาน: สิทธิเรียกร้องต่างมูลหนี้จากการเลิกจ้างและการทำงาน
คดีก่อนโจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมและมีคำขอเรียกเงินที่เกี่ยวเนื่องจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมอันเป็นค่าเสียหายที่มีมูลหนี้หรือสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับการเลิกจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าตอบแทนที่โจทก์ทำงานในตำแหน่งเลขานุการผู้อำนวยการโรงเรียนและค่าเสียหายที่จำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ อันเป็นค่าเสียหายที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเมื่อโจทก์ปฏิบัติงานให้แก่จำเลย จึงเป็นสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ต่างรายกัน คำฟ้องคดีนี้จึงไม่ใช่ฟ้องซ้อนคดีก่อน ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10554/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: คดีถึงที่สุดแล้ว การยื่นขอแก้ไขคำให้การ/ฟ้องแย้งภายหลังไม่ทำให้คดีเดิมอยู่ในระหว่างพิจารณา
คดีนี้เดิมโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและ ณ. ร่วมกันรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การ หลังจากศาลชั้นต้นนัดชี้สองสถานและนัดสืบพยานโจทก์แล้ว จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตและพิพากษายกฟ้องโจทก์ คู่ความไม่อุทธรณ์ คดีส่วนที่ศาลพิพากษายกฟ้องจึงถึงที่สุด แม้จำเลยทั้งสองจะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนซึ่งจำเลยทั้งสองยังฎีกาต่อมาก็ตาม แต่ขณะจำเลยทั้งสองอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งในคดีเดิม ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งให้งดการพิจารณาคดีไว้ก่อนโดยดำเนินกระบวนการพิจารณาต่อมาและมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุด คดีในส่วนที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งที่ไม่อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งจึงเป็นคดีคนละส่วนไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมของโจทก์ ทั้งศาลฎีกาในคดีเดิมมีคำสั่งไม่รับคดีของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาเพราะเห็นว่าเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดี ผลของคำสั่งศาลฎีกาย่อมไม่กระทบต่อคำพิพากษาในคดีเดิมที่ถึงที่สุดแล้ว ประกอบกับจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขออนุญาตแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งอันเป็นข้อที่จำเลยทั้งสองทราบอยู่ก่อนแล้ว และยื่นภายหลังกำหนดเวลาตามกฎหมายเพื่อให้คดีเดิมอยู่ระหว่างพิจารณา พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่าวมีเจตนาที่ไม่สุจริต จึงไม่ถือว่าคดีตามฟ้องเดิมอยู่ในระหว่างพิจารณาอันเป็นเหตุให้ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)