คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ยึดทรัพย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 784 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1041/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเสียภาษีตามพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) การยึดทรัพย์ที่มิชอบ
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2529 มุ่งประสงค์จะให้ประโยชน์แก่ผู้เสียภาษีอากร โดยมุ่งหวังให้ผู้ที่ไม่เคยเสียภาษีอากรหรือเสียไว้ไม่ถูกต้องมาทำการเสียภาษีอากรกับทางราชการเสียโดยจะไม่นำระบบการเรียกตรวจสอบไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรมาใช้กับผู้ต้องการเสียภาษีอากรตามวิธีการพิเศษนี้ ในขณะเดียวกันทางราชการก็กำหนดวิธีการคำนวณภาษีอากรไว้เป็นพิเศษต่างหากจากวิธีการปกติธรรมดา วิธีการคำนวณภาษีอากรดังกล่าวเป็นเพียงวิธีการเพื่อให้ได้จำนวนภาษีอากรที่ผู้ยื่นคำขอจะต้องเสียเท่านั้นหาใช่เป็นเงื่อนไขของผู้ยื่นคำขอว่าถ้ายื่นคำขอแจ้งมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่หรือยอดรายได้ไม่ตรงตามความจริงแล้ว ผู้ยื่นคำขอจะหมดสิทธิที่จะได้รับยกเว้นตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 30 วรรคแรก เหตุที่ผู้ยื่นคำขอจะหมดสิทธิและไม่ได้รับผลจากการยกเว้นดังกล่าวคงมีเพียงกรณีตามที่บัญญัติไว้ มาตรา 30 วรรคห้า
โจทก์ได้ยื่นคำขอเสียภาษีอากรตามแบบ อ.1 ถึง 2 ครั้งและตามแบบ อ.11 อีก 1 ครั้งและได้ชำระภาษีอากรให้จำเลยที่ 1จนจำเลยที่ 1 ได้ออกใบเสร็จรับเงินของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์เป็นหลักฐาน และเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้ทำการวิเคราะห์คำขอเสียภาษีอากรของโจทก์จนเป็นที่เรียบร้อยแล้วทั้งได้แจ้งผลการวิเคราะห์ให้โจทก์ทราบว่าโจทก์ได้เสียภาษีอากรครบถ้วนถูกต้องและได้สั่งยุติเรื่องแล้ว โจทก์จึงได้รับการยกเว้นจากการเรียกตรวจสอบ ไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากร แม้ภายหลังจากที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีแล้วเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จะตรวจพบว่าโจทก์ยังมีทรัพย์สินอื่นและรายได้ที่ไม่ได้นำมาลงในคำขอเสียภาษีอากรตามแบบอ.1 และคำขอเสียภาษีอากรตามแบบ อ.11 ก็เป็นเพียงคำขอเสียภาษีอากรของโจทก์มีข้อบกพร่อง ไม่ทำให้โจทก์กลายเป็นผู้ไม่ได้รับสิทธิยกเว้นจากการเรียกตรวจสอบ ไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากร จำเลยที่ 1 จึงไม่มีอำนาจประเมินภาษีอากรเอากับโจทก์ภายหลังที่โจทก์ได้ยื่นคำขอเสียภาษีอากรตามแบบ อ.1 ครั้งแรกและเป็นเวลาอยู่ระหว่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2529ใช้บังคับ การประเมินภาษีของจำเลยที่ 1 ไม่มีผล
(วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2531)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 864/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองอสังหาริมทรัพย์, เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา, สิทธิโดยสุจริต, การยึดทรัพย์, การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์
โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและนำยึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ โจทก์จึงมิใช่ผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง
คดีก่อนผู้ร้องฟ้องจำเลยอ้างว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องโดยจำเลยขายให้ คดีถึงที่สุดโดยศาลวินิจฉัยว่าสัญญาซื้อขายระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเป็นโมฆะ ผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์ คดีนี้ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์อ้างว่า ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง เหตุที่อ้างได้กรรมสิทธิ์จึงเป็นคนละเหตุกันไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คดีเดิมที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยโดยมิได้ฟ้องโจทก์ด้วยนั้นประเด็นมีว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องหรือไม่ ส่วนคดีนี้เป็นเรื่องผู้ร้องพิพาทกับโจทก์ ประเด็นมีว่าจะปล่อยทรัพย์ที่ยึดไว้หรือไม่ จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีเดิม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5995/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์สินของกลางหลังคำร้องเปรียบเทียบถูกยกเลิก เจ้าหน้าที่ชอบที่จะดำเนินการตามกฎหมายได้
เจ้าหน้าที่ศุลกากรจับกุมโจทก์ในข้อหาพยายามพาของต้องจำกัดออกไปนอกราชอาณาจักร อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรพุทธศักราช 2469 มาตรา 27 จึงมีอำนาจนำตัวโจทก์และของพิพาทซึ่งเป็นของกลางที่เกี่ยวกับการพยายามกระทำความผิดส่งสถานีตำรวจ เพื่อจัดการตามกฎหมาย แม้ต่อมาโจทก์ได้ทำคำร้องขอให้เปรียบเทียบเพื่อไม่ต้องดำเนินคดี โดยขอยกของพิพาทให้เป็นของแผ่นดินก็ตาม แต่ภายหลังโจทก์กลับขอคืนของพิพาทก่อนที่คณะกรรมการเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องจะพิจารณาคำร้องขอให้เปรียบเทียบมาตรา 102 ทวิ ถือได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้มีการเปรียบเทียบต่อไปโจทก์จึงหมดความคุ้มกันในการที่จะถูกดำเนินคดีจำเลยย่อมมีอำนาจยึดของพิพาทไว้เพื่อนำส่งพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการตามมาตรา 20 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5995/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์สินของกลางหลังทำคำร้องเปรียบเทียบแล้วยกเลิก ถือเป็นการสิ้นสุดความคุ้มกันทางกฎหมาย
เจ้าหน้าที่ศุลกากรจับกุมโจทก์ในข้อหาพยายามพาของต้องจำกัดออกไปนอกราชอาณาจักร อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ศุลกากรพุทธศักราช 2469 มาตรา 27 จึงมีอำนาจนำตัวโจทก์และของพิพาทซึ่งเป็นของกลางที่เกี่ยวกับการพยายามกระทำความผิดส่งสถานีตำรวจเพื่อจัดการตามกฎหมาย แม้ต่อมาโจทก์ได้ทำคำร้องขอให้เปรียบเทียบเพื่อไม่ต้องดำเนินคดี โดยขอยกของพิพาทให้เป็นของแผ่นดินก็ตาม แต่ภายหลังโจทก์กลับขอคืนของพิพาทก่อนที่คณะกรรมการเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องจะพิจารณาคำร้องขอให้เปรียบเทียบ มาตรา 102 ทวิถือได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้มีการเปรียบเทียบต่อไป โจทก์จึงหมดความคุ้มกันในการที่จะถูกดำเนินคดี จำเลยย่อมมีอำนาจยึดของพิพาทไว้เพื่อนำส่งพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการตามมาตรา 20 ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5995/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์สินของกลางหลังผู้ต้องหาขอเปรียบเทียบแล้วถอนคำขอ ถือว่าหมดความคุ้มกันจำเลยมีสิทธิยึดทรัพย์ได้
เจ้าหน้าที่ศุลกากรจับกุมโจทก์ในข้อหาพยายามพาของต้องจำกัดออกไปนอกราชอาณาจักร อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรพุทธศักราช 2469 มาตรา 27 จึงมีอำนาจนำตัวโจทก์และของพิพาทซึ่งเป็นของกลางที่เกี่ยวกับการพยายามกระทำความผิดส่งสถานีตำรวจเพื่อจัดการตามกฎหมาย แม้ต่อมาโจทก์ได้ทำคำร้องขอให้เปรียบเทียบเพื่อไม่ต้องดำเนินคดี โดยขอยกของพิพาทให้เป็นของแผ่นดินก็ตาม แต่ภายหลังโจทก์กลับขอคืนของพิพาทก่อนที่คณะกรรมการเปรียบเทียบงดการฟ้องร้องจะพิจารณาคำร้องขอให้เปรียบเทียบมาตรา 102 ทวิ ถือได้ว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้มีการเปรียบเทียบต่อไปโจทก์จึงหมดความคุ้มกันในการที่จะถูกดำเนินคดีจำเลยย่อมมีอำนาจยึดของพิพาทไว้เพื่อนำส่งพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการตามมาตรา 20 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5964/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนการยึดทรัพย์ในคดีล้มละลาย: อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และกระบวนการคัดค้าน
เมื่อการบังคับคดียังไม่สำเร็จบริบูรณ์ การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งเรียกทรัพย์ที่ถูกยึดในคดีแพ่งสามัญมารวมไว้ในกองทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลาย จึงเป็นการโอนการยึดทรัพย์มาโดยชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 112 การคัดค้านการยึดทรัพย์กรณีนี้พระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 158 บัญญัติวิธีการไว้โดยให้คัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนและมีคำสั่ง ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งไม่ให้ถอนการยึดก็ให้มีสิทธิร้องขอต่อศาลเป็นการเฉพาะแล้ว ผู้ร้องจะมาร้องขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึดดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 บัญญัติไว้อีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5964/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิการยึดทรัพย์จากคดีแพ่งสู่คดีล้มละลาย และวิธีการคัดค้านการยึดทรัพย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
เมื่อการบังคับคดียังไม่สำเร็จบริบูรณ์ การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งเรียกทรัพย์ที่ถูกยึดในคดีแพ่งสามัญมารวมไว้ในกองทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลาย จึงเป็นการโอนการยึดทรัพย์มาโดยชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 112 การคัดค้านการยึดทรัพย์กรณีนี้พระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช 2483 มาตรา 158 บัญญัติวิธีการไว้โดยให้คัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนและมีคำสั่ง ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งไม่ให้ถอนการยึดก็ให้มีสิทธิร้องขอต่อศาลเป็นการเฉพาะแล้ว ผู้ร้องจะมาร้องขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึดดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 บัญญัติไว้อีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5916/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการยึดทรัพย์: ไม่เป็นการเอื้อประโยชน์เจ้าหนี้รายอื่น
จำเลยยอมชำระหนี้ตามเช็คจำนวน 70,000 บาท ให้แก่ผู้คัดค้านเพราะถูกผู้คัดค้านในฐานะเจ้าหนี้ยื่นฟ้องต่อศาล อันเป็นผลบังคับให้จำเลยยอมทำสัญญาประนีประนอมกับผู้คัดค้าน ยอมชำระหนี้จำนวนดังกล่าว มิฉะนั้นจำเลยไม่อาจทำนิติกรรมขายบ้านของตนให้กับบุคคลภายนอกได้ เนื่องจากผู้คัดค้านใช้มาตราการทางกฎหมายขอให้ศาลทำการไต่สวนฉุกเฉินและยึดบ้านหลังนี้ไว้ก่อน อันเป็นวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา จึงมิใช่กรณีที่จำเลยมุ่งประสงค์ให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจขอให้ศาลเพิกถอนการชำระหนี้ดังกล่าวได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4040/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งมรดกและสิทธิในการร้องขัดทรัพย์เมื่อมีการยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาด
โจทก์และจำเลยต่างมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์ในกองมรดกของ พ. แต่โจทก์จำเลยไม่สามารถแบ่งกันได้ การที่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งยึดที่ดินที่พิพาทออกขายทอดตลาดเป็นกรณีร้องขอให้ศาลกำหนดวิธีการแบ่งทรัพย์สินกันระหว่างโจทก์จำเลยผู้เป็นเจ้าของรวมตามป.พ.พ. มาตรา 1364 มิใช่เป็นการร้องขอให้บังคับคดีตาม ป.วิ.พ.ทั้งนี้เพราะโจทก์ก็ดี จำเลยก็ดี หาใช่เจ้าหนี้หรือลูกหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดตามป.พ.พ. มาตรา 288.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4017/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการคุ้มครองชั่วคราวหลังศาลพิพากษาคดีมรดก การยึดทรัพย์เพื่อรอการบังคับคดีไม่เกินความจำเป็น
ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ แต่สั่งให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนจนกว่าจะสิ้นระยะเวลาอุทธรณ์ เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น คำสั่งที่ให้งดการบังคับคดีย่อมสิ้นสุดลง แต่โจทก์ได้ขอหมายบังคับคดีภายในกำหนดสิบห้าวันตามป.วิ.พ. มาตรา 260(2) แล้ว คำสั่ง ศาลชั้นต้น ที่ให้ความคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาตามมาตรา 254(2) ย่อมมีผลอยู่ต่อไป การบังคับคดีเป็นอำนาจของคู่ความที่ชนะคดีจะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุดเพราะโจทก์อุทธรณ์ และการที่โจทก์ขอให้ห้ามโอนขายยักย้ายทรัพย์มรดกพิพาททั้งหมดก็เพราะโจทก์อ้างว่ามีสิทธิได้รับมรดก 1 ใน 3 ส่วนทุกรายการ จึงไม่เป็นการห้ามเกินความจำเป็น.
of 79