คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สัญญาจ้าง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 687 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างทำของและการรับผิดในความเสียหายจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญา
โจทก์บรรยายฟ้องไว้ได้ความว่า จำเลยรับจ้างทำไม้ให้แก่โจทก์ตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญา แต่จำเลยทำไม้ไม่ครบ ไม้บางส่วนสูญหาย ขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดสัญญา มิได้ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิด คำฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม สัญญาจ้างที่ว่า ผู้รับจ้างตกลงรับจ้างทำไม้หวงห้ามที่ทำออกจากป่าสัมปทาน ไม้ต้นใดหรือท่อนใดที่ผู้รับจ้างได้ลงมือทำผู้รับจ้างมีหน้าที่ดูแลรักษามิให้เกิดความเสียหายจนกว่าผู้จ้างจะได้ขายให้ผู้รับจ้าง ไม้ที่ตีตราภาคหลวงแล้วผู้จ้างจะขายให้แก่ผู้รับจ้าง และผู้รับจ้างมีหน้าที่นำเงินมาชำระเพื่อนำไปวางมัดจำเพื่อตีตราภาคหลวง มิฉะนั้นผู้จ้างอาจจะนำไม้จำหน่ายแก่ผู้อื่นได้โดยผู้จ้างจะชำระค่าจ้างทำไม้ซึ่งเป็นสินจ้างแก่ผู้รับจ้าง เช่นนี้เป็นสัญญาจ้างทำของ จำเลยให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าไม้ โจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน 2 ปี แต่จำเลยฎีกาว่าโจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดเพื่อการที่ทรัพย์ที่ซื้อขายขาดตกบกพร่องภายใน 1 ปี นับแต่เวลาส่งมอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 467 ฎีกาของจำเลยจึงแตกต่างจากที่จำเลยให้การไว้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1340/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับสัญญาจ้างก่อสร้าง: การคิดค่าปรับเมื่อผู้รับจ้างไม่เริ่มงานตามสัญญา
สัญญากำหนดว่า หากผู้รับจ้างไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา และผู้ว่าจ้างยังมิได้บอกเลิกสัญญาผู้รับจ้างจะจ่ายค่าปรับให้แก่ผู้ว่าจ้างเป็นจำนวนเงินวันละ23,706.54 บาท สำหรับความล่าช้านับแต่วันกำหนดแล้วเสร็จตามสัญญาหรือวันที่ผู้ว่าจ้างได้ขยายให้จนถึงวันที่ทำงานแล้วเสร็จจริงหมายความว่าผู้รับจ้างต้องจ่ายค่าปรับเพราะเหตุส่งมอบงานล่าช้านับแต่วันที่กำหนดทำงานแล้วเสร็จตามสัญญา จนถึงวันทำงานแล้วเสร็จจริงกรณีหนึ่งกับสำหรับความล่าช้านับแต่วันที่ผู้ว่าจ้างขยายให้จนถึงวันที่ผู้รับจ้างทำงานแล้วเสร็จอีกกรณีหนึ่ง เมื่อผู้รับจ้างมิได้เข้าทำงานตามที่ได้ทำสัญญาไว้เลย จึงไม่มีวันที่ผู้รับจ้างทำงานแล้วเสร็จหลังจากวันที่ครบกำหนดสัญญาได้ ผู้ว่าจ้างจึงไม่อาจเรียกเบี้ยปรับเป็นรายวันตามข้อสัญญาดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1276/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายและจ้างประกอบตู้ไฟฟ้า ข้อตกลงเรื่องการรับรองอุปกรณ์โดยการไฟฟ้านครหลวง และดอกเบี้ยผิดนัด
จำเลยได้ทำสัญญาซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าจากโจทก์ และโจทก์รับจ้างจำเลยประกอบตู้ไฟฟ้า โดยจำเลยได้รับอุปกรณ์ไฟฟ้าครบถ้วนและได้ชำระเงินให้โจทก์บางส่วนแล้ว คงค้างชำระค่าอุปกรณ์ไฟฟ้าและค่าจ้างประกอบตู้ไฟฟ้างวดที่ 4ซึ่งจำเลยอ้างว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในใบเสนอราคาที่ระบุว่าโจทก์จะต้องให้การไฟฟ้านครหลวงยอมรับอุปกรณ์ไฟฟ้าเสียก่อน เห็นว่าหากโจทก์จำเลยมีเจตนาให้นำเงื่อนไขดังกล่าวมาใช้บังคับด้วย ก็น่าจะระบุลงไว้ในสัญญาที่ทำขึ้นในภายหลังให้ชัดเจน เช่นเดียวกับเงื่อนไขอื่น ๆ อีกทั้งจำเลยก็ไม่ควรรับมอบอุปกรณ์ไฟฟ้าจากโจทก์จนกว่าการไฟฟ้านครหลวงจะได้รับรองอุปกรณ์ไฟฟ้าดังกล่าว แสดงว่าโจทก์ จำเลยไม่ได้ตกลงเงื่อนไขดังกล่าวไว้ ส่วนที่ว่าโจทก์ไม่ได้ออกหนังสือรับประกันให้นั้น ปรากฏว่าในสัญญามีข้อความเขียนด้วยลายมือว่า"โดยมีระยะเวลารับประกัน 1 ปี ฯ" ถือว่าโจทก์ได้รับประกันให้จำเลยแล้ว จึงฟังได้ว่าโจทก์ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระเงินค่าอุปกรณ์ไฟฟ้าและค่าจ้างประกอบตู้ไฟฟ้างวดที่ 4 ให้โจทก์
ส่วนที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยโดยให้นับถัดจากวันฟ้อง ทั้งที่ระบุในคำวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้เมื่อผิดนัดเห็นได้ชัดว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาโดยผิดพลาดหรือพลั้งเผลอ เมื่อโจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาบังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงมีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาศาล-อุทธรณ์ในส่วนนี้ด้วยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 735/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าปรับสัญญาจ้างก่อสร้างสูงเกินส่วน ศาลลดค่าปรับตามหลักความเป็นธรรม
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ผู้รับจ้างทำงานไม่แล้วเสร็จตามกำหนดงวดงานในสัญญาจ้างโดยผิดนัดตั้งแต่ งวดที่ 2ถึงงวดที่ 4 และได้เสียค่าปรับให้โจทก์ไปแล้ว 110 วันวันละ 797 บาท สำหรับงวดที่ 5 ซึ่งเป็นงวดสุดท้ายจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่ได้ลงมือก่อสร้างเลย ตามพฤติการณ์การทำงานของจำเลยโจทก์น่าจะคาดหมายได้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่สามารถทำงานให้เสร็จภายในกำหนดและคงทิ้งงานงวดสุดท้าย ซึ่งโจทก์ควรจะใช้สิทธิยกเลิกสัญญาเสียภายในหนึ่งถึงสองเดือน อันเป็นระยะเวลาพอสมควร แต่โจทก์กลับปล่อยให้เวลาล่วงเลย ไปกว่า 6 เดือน จึงบอกเลิกสัญญา เป็นความล่าช้าในการ ดำเนินงานของโจทก์เองด้วยส่วนหนึ่งประกอบกับจำเลยได้ชำระ ค่าปรับแก่โจทก์ไปแล้วถึง 110 วัน วันละ 797 บาท ทั้งโจทก์ ก็ไม่ได้นำสืบว่าการที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่ทำงาน งวดสุดท้ายทำให้โจทก์เสียหายมากเพียงใด ดังนี้พิเคราะห์ ทางได้เสียของโจทก์แล้ว ค่าปรับ 196 วัน วันละ 797 บาท ตามข้อตกลงในสัญญานั้นสูงเกินส่วน ศาลย่อมลดลงเป็นจำนวนพอ สมควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 การที่ ศาลลดค่าปรับลงเหลือวันละ 500 บาท เป็นเวลา 196 วัน เป็นเงิน 98,000 บาท นั้นเป็นการเหมาะสม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 585/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แม้สัญญาจ้างมีกำหนดสิ้นสุด แต่การแจ้งไม่ต่อสัญญาถือเป็นการเลิกจ้าง ต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
แม้สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยจะมีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการจ้างไว้และจำเลยจะได้มีหนังสือแจ้งแก่โจทก์ว่าไม่ประสงค์จะต่อสัญญาจ้างให้ก่อนวันสิ้นสุดสัญญา อันเป็นผลให้สัญญาจ้างสิ้นสุดลงโดยผลแห่งสัญญาก็ตาม แต่การแสดงเจตนาของจำเลยเช่นว่านี้ก็เป็นผลให้โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างต้องออกจากงาน จึงต้องถือว่าเป็นการเลิกจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ 46 วรรคสอง เมื่อลักษณะงานที่โจทก์ทำไม่เข้าข้อยกเว้นตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 วรรคสามจำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 585/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างที่มีกำหนดวันสิ้นสุด หากนายจ้างไม่ต่อสัญญา ถือเป็นการเลิกจ้าง ต้องจ่ายค่าชดเชย
แม้สัญญาจ้างระหว่างโจทก์และจำเลยจะเป็นสัญญาจ้างที่มีกำหนดวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดของการจ้าง ผลของสัญญาทำให้ลูกจ้างต้องออกจากงานเมื่อสัญญาจ้างสิ้นสุดลงก็ตาม ก็อยู่ในความหมายของการเลิกจ้างตามนัยข้อ 46 วรรคสอง แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษ มีวัตถุประสงค์ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นที่เลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามข้อ 46 วรรคสาม จึงต้องตีความเพื่อให้เป็นผลใช้บังคับได้ มิฉะนั้นความในข้อ 46 วรรคสามจะไร้ผล การที่จำเลยแสดงเจตนาต่อโจทก์ว่าไม่ต่อสัญญาจ้างให้อันมีผลทำให้จำเลยต้องออกจากงาน จึงต้องถือว่าเป็นการที่จำเลยให้โจทก์ออกจากงานอันเป็นการเลิกจ้างตามความหมายในข้อ46 วรรคสอง ดังกล่าว จำเลยให้การเพียงว่า โจทก์ปฏิบัติผิดระเบียบของจำเลยตลอดมากล่าวคือ มาปฏิบัติงานไม่ตรงเวลา ละทิ้งหน้าที่โดยไม่บอกกล่าวเป็นเหตุให้การผลิตยาต้องหยุดชะงัก ซึ่งทำให้ได้ปริมาณและคุณภาพด้อยลง จำเลยได้ว่ากล่าวตักเตือนหลายครั้ง แต่โจทก์เพิกเฉยไม่ปรับปรุงตัว ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย โดยจำเลยหาได้ให้การโดยชัดแจ้งว่า โจทก์ได้กระทำการใดเข้าลักษณะความผิดดังระบุไว้ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47กรณีหนึ่งกรณีใดอันจะเข้าหลักเกณฑ์ในกรณีเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแต่อย่างใดไม่ จึงไม่มีประเด็นในคดีที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยที่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้กระทำความผิดตามข้อ 47 และไม่เข้าข้อยกเว้นที่ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามข้อ 46 วรรคสาม จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 584/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาครบกำหนดแล้ว ถือเป็นการเลิกจ้าง นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย เว้นแต่เป็นงานครั้งคราวตามกฎหมาย
โจทก์และจำเลยทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือมีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน โดยกำหนดวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดไว้ เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการจ้างนายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า งานที่โจทก์ทำมีลักษณะเป็นงานถาวรมิใช่เป็นงานครั้งคราวเป็นการจร เป็นไปตามฤดูกาล หรือเป็นงานตามโครงการการเลิกจ้างไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้าง เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการจ้าง จำเลยไม่ให้โจทก์ทำงานต่อไป ก็ต้องถือว่าเป็นการเลิกจ้างตามความหมายของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 46 จำเลยต้องชดใช้ค่าชดเชยแก่โจทก์ ปัญหาว่าสัญญาจ้างระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาที่มีลักษณะเป็นครั้งคราวเป็นการจร เป็นไปตามฤดูกาล หรือเป็นงานตามโครงการหรือไม่นั้น จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างจะต้องเป็นฝ่ายยกขึ้นต่อสู้คดีไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องบรรยายมาในคำฟ้อง เมื่อจำเลยมิได้ยกเรื่องดังกล่าวขึ้นต่อสู้คดี จึงไม่มีประเด็นที่ศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 584/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลา สิ้นสุดสัญญาถือเป็นการเลิกจ้าง ต้องจ่ายค่าชดเชย เว้นแต่เป็นการจ้างงานลักษณะพิเศษ
ในกรณีที่มีการทำสัญญาจ้างแรงงานเป็นหนังสือโดยกำหนดวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดของการจ้างไว้และนายจ้างให้ลูกจ้างออกจากงานเพราะครบกำหนดระยะเวลาการจ้างนั้น ถือเป็นการเลิกจ้างตามความหมายของคำว่าเลิกจ้างในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 46 ดังกล่าวแล้ว เพราะถ้าไม่หมายความเช่นนั้นคือถือว่าไม่เป็นการเลิกจ้างแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องกำหนดเป็นข้อยกเว้นให้นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้าง ในกรณีทำสัญญาจ้างกันเป็นหนังสือให้ทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว เป็นการจร เป็นไปตามฤดูกาลหรือเป็นงานตามโครงการ และได้กำหนดวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดของการจ้างไว้ เพราะเมื่อถือว่าไม่เป็นการเลิกจ้างนายจ้างก็ไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างอยู่แล้วตามความในตอนต้นของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46 ที่ว่า "ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้าง ดังนี้ ฯลฯ"ซึ่งหมายความว่านายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างก็เฉพาะกรณีที่มีการเลิกจ้างเท่านั้น ดังนี้ แม้การจ้างระหว่างโจทก์จำเลยจะได้ทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือและมีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนโดยกำหนดวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดการจ้างไว้ เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการจ้างและจำเลยไม่ได้ให้โจทก์ทำงานต่อไป ก็ต้องถือว่าเป็นการเลิกจ้างโจทก์ตามความหมายของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 46 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน(ฉบับที่ 11) ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2532 ข้อ 7 ในปัญหาว่าสัญญาจ้างระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างให้ทำงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราว เป็นการจร เป็นไปตามฤดูกาล หรือเป็นงานตามโครงการ ซึ่งเป็นข้อยกเว้นที่นายจ้างจะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างที่มีการจ้างให้ทำงานดังกล่าวโดยทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือและกำหนดเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดของการจ้างไว้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างจะต้องเป็นฝ่ายยกขึ้นต่อสู้คดีไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องบรรยายมาในคำฟ้อง เมื่อจำเลยมิได้ยกเรื่องดังกล่าวขึ้นต่อสู้ จึงไม่มีประเด็นที่ศาลแรงงานจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4249/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องสัญญาจ้างทำของ แม้ผู้ลงนามไม่ใช่ผู้มีอำนาจเต็มรูป หากอีกฝ่ายทราบและรับประโยชน์ ย่อมถือเป็นคู่สัญญา
จ. กรรมการผู้มีอำนาจคนหนึ่งของบริษัทโจทก์ลงลายมือชื่อทำสัญญาจ้างจำเลยทั้งสองติดตั้งเครื่องทำน้ำเย็นให้แก่โจทก์แม้ไม่ได้ร่วมกับกรรมการอื่นและไม่ได้ประทับตราของโจทก์เป็นสำคัญก็ตาม แต่จำเลยทั้งสองถือเอาประโยชน์จากการว่าจ้างโดยรับเงินค่าจ้างไปแล้วบางส่วน และเข้าดำเนินการติดตั้งเครื่องทำน้ำเย็นณ อาคารที่ทำการของโจทก์แล้วบางส่วน พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองเข้าไปดำเนินการที่รับจ้างในที่ทำการของโจทก์หลายเดือน จำเลยทั้งสองน่าจะรู้ดีว่าผู้ว่าจ้างคือโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ได้ทักท้วงหรือโต้แย้งถึงการที่ จ. เพียงคนเดียวลงลายมือชื่อในสัญญาจ้างทำของ เท่ากับจำเลยทั้งสองรับว่า จ. ทำสัญญาแทนโจทก์โจทก์จึงเป็นคู่สัญญากับจำเลยทั้งสอง และมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4202/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้จัดการสหกรณ์ต่อการขาดหายของทรัพย์สิน แม้ไม่มีสัญญาจ้างและผู้ค้ำประกัน
โจทก์ได้บรรยายฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่1 เมษายน 2527 ถึง 7 สิงหาคม 2528 จำเลยเป็นผู้จัดการร้านสหกรณ์โจทก์ มีหน้าที่ควบคุมรับผิดชอบดูแลและจัดการทรัพย์สินของโจทก์ และภายในระยะเวลาดังกล่าวสินค้าและเงินสดได้ขาดหายไปจากบัญชีของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยจะต้องรับผิดชอบชดใช้ราคาสินค้าและเงินสดที่หายไปแก่โจทก์ ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ได้แสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสองแล้ว ส่วนรายละเอียดว่าสินค้าและเงินสดที่ขาดบัญชีไปมีอะไรบ้าง อย่างไหน จำนวนและราคาเท่าไร ตั้งแต่เมื่อใด และอยู่ในความครอบครองของผู้ใด เป็นเรื่องที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ จำเลยทำให้เงินสดและสินค้าขาดหายไปจากบัญชีโจทก์แม้จำเลยเป็นเพียงผู้จัดการชั่วคราวของโจทก์ แต่จำเลยได้รับประโยชน์ตอบแทนโดยการรับเงินเดือนเป็นรายเดือนจากโจทก์จำเลยจึงมีหน้าที่และความรับผิดชอบในกิจการของโจทก์ตามข้อบังคับ การที่โจทก์ไม่ได้ทำสัญญาจ้างจำเลยเป็นผู้จัดการและไม่มีผู้ค้ำประกันการเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการของจำเลย หาทำให้จำเลยพ้นความรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์ไม่
of 69