คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
หน้าที่

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 709 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1507/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานทุจริตต่อหน้าที่ เบียดบังเงินรายได้ของแผ่นดิน
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รับเงินรายได้ของหน่วยราชการที่ตนสังกัดและได้รับเงินรายได้ไว้ แต่มิได้นำเงินนั้นส่งคลังตามระเบียบซึ่งตามปกติจะต้องนำส่งคลังในวันเดียวกันกับวันที่ได้รับเงินไว้ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นก็ให้นำส่งคลังในวันรุ่งขึ้นถัดไปที่เป็นวันทำการทั้งจำเลยมิได้ลงบัญชีรับเงินไว้เป็นหลักฐานจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายในของกรมเจ้าสังกัดตรวจพบการกระทำของจำเลยเป็นเวลาถึง 5 เดือนเศษจำเลยจึงได้นำเงินส่งคลัง นับว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 100/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมอบฉันทะให้เสมียนทนายยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี ทนายจำเลยต้องรับรู้ผลคำสั่งศาลเสมือนตนเอง
ทนายจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายนำคำร้องขอเลื่อนคดีไปยื่นต่อศาล จำต้องรับรู้ผลของการเลื่อนคดีหรือกำหนดเวลาไต่สวนตามคำสั่งของศาลเสมือนตนขอเลื่อนคดี และฟังคำสั่งของศาลด้วยตนเองเมื่อศาลอนุญาตให้เลื่อนคดีเพียงสามวันโดยเสมียนทนายมิได้โต้แย้งทนายจำเลยจึงต้องมีหน้าที่ต้องมาศาลตามวันเวลานัด.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 965/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องในชั้นอุทธรณ์: หน้าที่นำส่งสำเนาอุทธรณ์ และผลของการไม่ปฏิบัติตาม
อุทธรณ์เป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1 (3) จำเลยเป็นผู้อุทธรณ์ถือว่าจำเลยเป็นโจทก์ในชั้นอุทธรณ์ เมื่อจำเลยมิได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในกำหนด 15 วันตามที่ศาลชั้นต้นสั่งย่อมถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 (1) ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้โดยไม่ต้องวินิจฉัยในประเด็นเรื่องนี้และบทบัญญัติในสองมาตราดังกล่าวให้นำมาใช้บังคับแก่การพิจารณาลแะการชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยอนุโลมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 246 การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความจึงชอบแล้ว
แม้จะฟังว่าจำเลยวางเงินค่านำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้ไว้กับเจ้าหน้าที่ศาลแล้ว จำเลยก็ยังมีหน้าที่ต้องนำเจ้าหน้าที่ศาลไปส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยไม่จัดการนำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้น กำหนดก็ชอบที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีเสียได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่นายประกันตามสัญญาประกันภัย การผิดสัญญา และเหตุลดค่าปรับ
ผู้ประกันไม่สามารถนำจำเลยมาส่งศาลเพื่อฟังคำพิพากษาศาลฎีกาหลังจากศาลอ่านคำพิพากษาให้จำเลยอื่นฟังแล้วผู้ประกันจึงนำตัวจำเลยมาส่งศาลแม้จะปรากฏว่าศาลฎีกาพิพากษายืนให้ยกฟ้องโจทก์ก็ไม่เป็นเหตุที่ศาลจะสั่งงดปรับผู้ประกันแต่ศาลอาจสั่งลดค่าปรับให้ได้.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3630/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างกรณีทุจริตต่อหน้าที่และจงใจทำให้เกิดความเสียหายต่อนายจ้าง
ระเบียบข้อบังคับของผู้ร้องไม่ได้ระบุไว้โดยตรงว่า การกระทำผิดวินัยกรณีใดถือว่าเป็นกรณีร้ายแรง จึงต้องพิเคราะห์พฤติการณ์เป็นรายกรณีไป กรณีของผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างและกรรมการสหภาพแรงงานองค์การค้าของผู้ร้องขอลาป่วยต่อผู้ร้องทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ป่วยจำนวน 3 วัน แล้วไปดำเนินคดีที่ศาลแรงงานกลางให้แก่ ว.ซึ่งไม่ใช่ลูกจ้างของผู้ร้องหรือเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานองค์การค้าของผู้ร้องการกระทำดังกล่าวจึงเป็นการรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาและเป็นการไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายและหลีกเลี่ยงหน้าที่การงาน นอกจากนี้ผู้คัดค้านยังถือโอกาสที่ได้รับอนุญาตให้ไปข้างนอกเพื่อกระทำกิจกรรมให้แก่สมาชิกสหภาพแรงงานองค์การค้าของคุรุสภาที่ศาลแรงงานกลางแล้วไปดำเนินคดีให้แก่ ว. หลายครั้งหลายหนโดยใช้วิธีนัดวันให้ตรงกันแต่ต่างเวลากัน หากวันนัดไม่ตรงกัน ผู้คัดค้านก็จะใช้วิธีขอลากิจหรือลาป่วยแทนเพื่อไปดำเนินคดีให้แก่ ว. และยังปรากฏว่าผู้คัดค้านขอใช้สิทธิออกไปข้างนอกเพื่อกระทำกิจกรรมของสหภาพแรงงานองค์การค้าของผู้ร้องและกระทำกิจกรรมส่วนตัวในปี 2526 - 2527 มีจำนวน 68 ครั้งเป็นเวลา 310 ชั่วโมงเศษ และในปี 2527-2528 มีจำนวน 82 ครั้งเป็นเวลา 390 ชั่วโมงเศษ ซึ่งผู้ร้องย่อมขาดประโยชน์ที่ควรจะได้ การกระทำของผู้คัดค้านจึงเป็นการกระทำผิดวินัยฐานรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาไม่รักษาผลประโยชน์ของนายจ้างและไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอันถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของผู้ร้องเป็นกรณีร้ายแรงตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 123 แล้ว ผู้ร้องจึงมีสิทธิที่จะเลิกจ้างผู้คัดค้านได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3162/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดหน้าที่ของลูกจ้างผู้จัดการโรงพิมพ์ ที่ปกปิดราคาจัดซื้อ ทำให้โจทก์เสียหาย
จำเลยเป็นลูกจ้างของโจทก์ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยและเป็นส่วนราชการจำเลยต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตไม่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้ผู้อื่นได้ประโยชน์ที่ไม่ควรจำเลยเป็นผู้จัดการโรงพิมพ์ของโจทก์และจำเลยเป็นผู้เสนอให้โจทก์จัดซื่อเครื่องไสสันทากาวเพื่อใช้ในโรงพิมพ์ส.ประธานกรรมการบริหารโรงพิมพ์เป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยก็ได้มีคำสั่งให้จำเลยเป็นผู้แนะนำและให้คำปรึกษาในการจัดซื้อเครื่องไสสันทากาวจำเลยย่อมต้องให้คำแนะนำและความเห็นโดยสุจริตในทางที่เป็นประโยชน์แก่โรงพิมพ์ที่จำเลยเป็นผู้จัดการอยู่และเป็นผลดีแก่โจทก์ด้วยการที่จำเลยไม่บอกให้คณะกรรมการเปิดซองประกวดราคาของโจทก์ทราบว่าเครื่องไสสันทากาวที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดบ.เสนอในการประกวดราคาเป็นราคาถึง490,000บาทความจริงห้างหุ้นส่วนจำกัดช.เป็นผู้แทนจำหน่ายและขายในราคาเพียง180,000บาทเศษเท่านั้นและจำเลยยังบอกแก่ฆ.ประธานกรรมการเปิดซองประกวดราคาว่าราคาที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดบ.เสอนเป็นราคาเหมาะสมอีกดังนี้นอกจากจะไม่ช่วยให้คณะกรรมการเปิดซองประกวดราคาได้พิจารณาจัดซื้อเครื่องไสสันทากาวในทางที่เป็นผลดีแก่โจทก์อันส่อไปในทางไม่สุจริตของจำเลยแล้วยังเป็นการช่วยให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดบ.ได้รับประโยชน์ที่ไม่ควรอีกด้วยนับว่าจำเลยกระทำผิดหน้าที่ซึ่งมีต่อโจทก์หากจำเลยบอกความจริงแก่คณะกรรมการเปิดซองประกวดราคาโจทก์ก็คงไม่ทำสัญญาซื้อเครื่องไสสันทากาวกับห้างหุ้นส่วนจำกัดบ.เพราะราคาที่ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวเสนอสูงกว่าราคาท้องตลาดมากและเป็นการขัดกับมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามมิให้หน่วยราชการซื้อสินค้าผ่านคนกลางและโจทก์ก็จะไม่ต้องถูกห้างหุ้นส่วนดังกล่าวฟ้องร้องเอาจนเป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแม้จะไม่มีพยานหลักฐานพอฟังว่าจำเลยร่วมทุจริตกับห้างหุ้นส่วนจำกัดบ.แต่การกระทำดังกล่าวเป็นผลให้โจทก์เสียหายแล้วการกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์และค่าเสียหายที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์คือค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ต้องเสียไปในการต่อสู้คดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัดบ.ส่วนดอกเบี้ยจากต้นเงินค่าเครื่องไสสันทากาวที่โจทก์ได้จ่ายให้บริษัทบ.ตามคำพิพากษาถึงที่สุดนั้นดอกเบี้ยที่ต้องชำระดังกล่าวก็เฉพาะในระยะเวลาที่โจทก์ยังไม่ได้ชำระต้นเงินซึ่งโจทก์ก็ได้รับประโยชน์จากเงินดังกล่าวอยู่โจทก์จึงไม่มีค่าเสียหายในส่วนนี้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2747/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจหน้าที่นายอำเภอและการส่งเรื่องร้องเรียนต่อผู้ว่าฯ ไม่ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
โจทก์เป็นกำนันปัญหาที่ว่าการที่จำเลยซึ่งเป็นนายอำเภอได้รับ หนังสือร้องเรียนจากราษฎรกล่าวหาว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แล้วเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดโดยมิได้สืบสวนข้อเท็จจริงเสียก่อนว่า ราษฎรที่ร้องเรียนมีภูมิลำเนาอยู่ตามหนังสือร้องเรียนจริงเป็นการละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่นั้น โจทก์มิได้บรรยายข้อเท็จจริงในคำฟ้องว่า จำเลยมีหน้าที่ตามกฎหมายเกี่ยวกับหนังสือร้องเรียนดังกล่าวอย่างไร ซึ่งจะเป็นการแสดงให้เห็นว่า จำเลยละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อันจะเป็นความผิดตามมาตรา 157 อนึ่งหน้าที่ในการดำเนินการตามหนังสือร้องเรียนนั้นก็เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะพิจารณาสั่งการต่อไปการที่จำเลยเสนอ หนังสือร้องเรียนโดยมิได้สืบสวนเรื่องภูมิลำเนาของผู้ร้องเรียนจึงเป็น การปฏิบัติหน้าที่โดยชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2695/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างกรณีทุจริตต่อหน้าที่จากแสวงหาประโยชน์จากลูกจ้างของนายจ้าง ถือเป็นการเลิกจ้างที่ชอบธรรม
โจทก์ใช้สอยลูกจ้างของจำเลยซึ่งอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของโจทก์ไปจ่ายกับข้าวให้แก่ร้านขายอาหาร ในเวลาทำงานช่วงเช้าคนหนึ่งและช่วงบ่ายคนหนึ่ง เป็นเวลานานประมาณ 10 วัน เป็นการแสวงหาประโยชน์จากหน้าที่การงานเพื่อประโยชน์แก่ตนหรือผู้อื่น เกินสมควรที่ผู้บังคับบัญชาจะพึงกระทำและเสียหายแก่นายจ้าง ถือว่าทุจริตต่อหน้าที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และเป็นการเลิกจ้างกรณีทุจริตต่อหน้าที่ตามข้อ 47(1) แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงาน และกรณีลูกจ้างกระทำการไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าเสียหาย ค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2576/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม การรับฟังพยาน และเหตุไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
จำเลยนำ ส. พยานจำเลยเข้าสืบยังไม่จบปากแล้วแถลงไม่ติดใจสืบพยานปากนี้อีกต่อไป แต่ศาลแรงงานกลางก็มิได้รับฟังคำเบิกความของส.โดยตรง เพราะยังมีพยานเอกสารและพยานบุคคลอีกหลายปากที่ศาลแรงงานกลางนำมาวินิจฉัย โดยไม่ว่าจะฟังคำเบิกความของ ส. หรือไม่ ก็ไม่ทำให้คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าศาลแรงงานกลางยอมรับคำเบิกความของ ส. มาวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบเพราะโจทก์ไม่มีโอกาสซักค้าน จึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายขายคำนวณราคาต้นทุนสินค้าแล้วขาดทุนทุกครั้ง เป็นเพียงความสามารถที่จะทำให้เกิดผลในการงานเท่านั้นมิใช่โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ส่วนในเรื่องประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงนั้น ศาลแรงงานกลางมิได้ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์กระทำโดยประมาท กรณีจึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จำเลยจะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
กรณีที่โจทก์ไม่ปฏิบัติงานตามระเบียบที่เคยปฏิบัติโดยไม่ยอมลงชื่อนำเงินไปฝากสถาบันการเงินที่จำเลยเคยฝากเป็นประจำ ดำเนินการประมูลงานไม่ได้ ข้อเสนอของโจทก์ไม่เป็นผลดีแก่จำเลยนั้น พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องความคิดเห็นในการทำงานซึ่งอาจถูกหรือผิด ได้ผลหรือไม่ได้ผล มิใช่เป็นเรื่องของการฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2391/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายหุ้นแทนลูกค้า: สิทธิและหน้าที่ของตัวแทน, ลูกค้า, และการรับสภาพหนี้
การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แทนลูกค้านั้น บริษัทผู้ดำเนินการซื้อขายหุ้นแทนลูกค้ากับลูกค้ามีเจตนาผูกพันขอให้เป็นหุ้นประเภท จำนวน และราคาตามที่ตกลงสั่งซื้อหรือตกลงขายไว้ต่อกันเป็นปัจจัยสำคัญ การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เป็นนิติกรรมอย่างหนึ่งซึ่งสามารถแยกจากการจดทะเบียนโอนหุ้นได้โดยเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในหุ้นย่อมตกแก่ผู้ซื้อทันทีที่ได้มีการซื้อขายกัน การจดทะเบียนโอนหุ้นเป็นการกระทำเพียงเพื่อให้เจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้นนั้นใช้ยันต่อบริษัทที่ออกหุ้นหรือต่อบุคคลภายนอกเท่านั้นหาเกี่ยวข้องถึงความสมบูรณ์ของการซื้อขายหุ้นแต่ประการใดไม่ ดังนี้แม้โจทก์ซื้อหุ้นให้จำเลยตามข้อตกลงกันแล้ว โจทก์ยังไม่ได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 ก็ยังถือว่าโจทก์ได้จัดการซื้อหุ้นตามฟ้องให้จำเลยที่ 1 และเมื่อโจทก์ได้ชำระเงินค่าหุ้นแทนจำเลยที่ 1 ไปก่อน จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่ต้องใช้เงินที่โจทก์ได้ออกแทนไปพร้อมทั้งค่านายหน้าและดอกเบี้ยให้โจทก์ตามที่จำเลยที่ 1 ตกลงไว้กับโจทก์
จำเลยที่ 1 ทำบันทึกข้อตกลงรับสภาหนี้ให้โจทก์โดยมีมูลหนี้เกิดจากที่โจทก์ซื้อหุ้นให้จำเลยในตลาดหลักทรัพย์และได้ชำระเงินค่าหุ้นแทนจำเลยที่ 1 ไปจำเลยที่ 1 ย่อมต้องรับผิดตามบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้นั้น และกรณีนี้มีอายุความ 10 ปี นับแต่วันที่จำเลยตกลงทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าว
จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดีและเบิกความว่า จำเลยที่ 2 ตกลงกับโจทก์และสั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นแทนจำเลยที่ 1 กับพวก และได้ลงชื่อในบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้แทนจำเลยที่ 1 ปรากฏว่าข้อความในบันทึกตอนเริ่มต้นมีว่า จำเลยที่ 2 ได้ทำบันทึกข้อตกลงแทนจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำในนามของตนเอง ประกอบกับโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้ตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ดังนั้น แม้จำเลยที่ 2 จะลงชื่อในท้ายบันทึกดังกล่าวในฐานะผู้ให้สัญญา กรณีก็อาจตีความได้เป็นสองนัยว่า ลงชื่อในฐานะเป็นผู้ทำบันทึกข้อตกลงแทนจำเลยที่ 1 หรือในฐานะเป็นคู่สัญญากับโจทก์โดยตรงก็ได้ ศาลจึงตีความในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11 จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ตามบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้ดังกล่าว
of 71