พบผลลัพธ์ทั้งหมด 632 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4484/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อประเด็นต่างจากฟ้องเดิม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ตามสัญญาและรับชำระเงินจากโจทก์จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์แกล้งฟ้องคดีนี้เพื่อประวิงการออกไปจากที่พิพาทและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจำเลยได้ใช้สิทธิบังคับคดีให้โจทก์และบริวารออกไปในสำนวนคดีอื่นการกระทำของโจทก์เป็นการละเมิดสิทธิของจำเลย ทำให้จำเลยเสียหาย ขอให้บังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการตั้งประเด็นว่าการฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นการแกล้งฟ้องและประวิงการบังคับคดีในคดีอื่นที่จำเลยใช้สิทธิบังคับคดีแก่โจทก์ เป็นการละเมิดต่อจำเลยและเรียกค่าเสียหาย ซึ่งเป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวกับฟ้องโจทก์ที่ตั้งประเด็นว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อขาย ขอให้บังคับตามสัญญาดังกล่าว ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมเป็นฟ้องแย้งที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3885/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งประกาศขายทอดตลาดทางไปรษณีย์ถึงผู้เยาว์ (อายุ 17-18 ปี) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การส่งประกาศขายทอดตลาดโดยทางไปรษณีย์ตอบรับ หากผู้รับประกาศขายทอดตลาดมีอายุ 17 - 18 ปี การส่งเอกสารดังกล่าวก็ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 73 ทวิ, 76
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3506/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายคดีเมื่อจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินแล้ว แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีให้จำหน่ายคดีโดยคงคำพิพากษาเดิมไว้ก็ไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสอง และให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินของโจทก์ ต่อมาโจทก์กับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยทั้งสองยอมรื้อถอนบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ภายในเวลาที่กำหนด ศาลพิพากษาตามยอม ครั้นถึงกำหนดจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงดำเนินการบังคับคดี จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ดังกล่าวให้โจทก์ฟังฝ่ายเดียวโดยเห็นว่าได้มีการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองทราบโดยชอบแล้ว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่าไม่ได้รับหมายนัดของศาลให้ไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวน และให้ระงับการบังคับคดีไว้ก่อน ศาลชั้นต้นยกคำร้องโดยไม่ไต่สวนจำเลยที่ 1 อุทธรณ์อีก ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้อง ของ จำเลยที่ 1โจทก์ฎีกา ในชั้นฎีกาเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2ได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ไปเรียบร้อยแล้วคดีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาพิพากษาฎีกาของโจทก์อีกต่อไปศาลฎีกาชอบที่จะจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ แต่คดีนี้จะจำหน่ายคดีโดยให้คงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไว้เป็นการไม่ชอบ เพราะยังมีผลให้ดำเนินกระบวนพิจารณากันต่อไปอีกทั้ง ๆ ที่ได้มีการรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินของโจทก์เรียบร้อยแล้ว และไม่มีประเด็นอื่นต้องวินิจฉัยอีก ศาลฎีกาจึงต้องพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3430/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินจากการโอนที่ดินโดยไม่ชอบ ผู้รับจำนองยันเจ้าของที่แท้จริงไม่ได้
มีคนร้ายลักโฉนดที่ดินพิพาทไปจาก ส. ผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์แล้วปลอมลายพิมพ์นิ้วมือของ ส. ในหนังสือมอบอำนาจ และใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมนั้นไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินต่อกันมาเป็นทอด ๆน. เป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาทคนหลังสุด เมื่อ ส. ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททุกทอดจนในที่สุดศาลฎีกาพิพากษาเพิกถอนการโอนที่ดินพิพาท จึงต้องถือว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของ ส. เจ้าของเดิมมาโดยตลอด แม้จำเลยรับจำนองที่ดินพิพาทจาก น. ซึ่งมิใช่เจ้าของโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ทั้งได้จดทะเบียนโดยสุจริต ก็ไม่ใช่เหตุที่จะพึงยกขึ้นกล่าวอ้างยันผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงได้ เมื่อจำเลยรับจำนองที่ดินพิพาทไว้จากผู้ที่มิใช่เป็นเจ้าของที่แท้จริงการจำนองก็ไม่ผูกพันผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงเพราะเป็นฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 705
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 292/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงกรรมการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย, ตราปลอม, และการแต่งตั้งทนายความที่ไม่ถูกต้อง ส่งผลให้คำฟ้องไม่เป็นผล
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การต่อสู้ว่า นายย.ร่วมกับนายช.ทำรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นเป็นเท็จว่าจำเลยลาออกจากกรรมการของโจทก์ทั้งสองแล้วตั้งนายย.เป็นกรรมการแทนและนำความเท็จดังกล่าวไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ นายย.เป็นกรรมการของโจทก์ทั้งสองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีไม่ถูกต้องตามข้อบังคับ ตราประทับของโจทก์ทั้งสองในใบแต่งทนายความเป็นตราปลอม คดีจึงยังคงมีประเด็นข้อพิพาทตามข้อต่อสู้ของจำเลยอยู่ ซึ่งจำเป็นจะต้องฟังพยานหลักฐานของคู่ความให้เสร็จสิ้นเสียก่อนจึงจะวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทนั้นได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยและโจทก์ทั้งสองนั้น จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยการพิจารณา ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานจำเลยและโจทก์ต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2645/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่เป็นไปตามรูปแบบ เหตุไม่โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และมิได้ยกข้อเท็จจริง/ข้อกฎหมายใหม่
ฎีกาของโจทก์มี 3 ข้อ กล่าวคือ ข้อ 1. เป็นคำฟ้อง คำให้การของจำเลยทั้งสอง คำพิพากษาศาลชั้นต้น และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ข้อ 2. โจทก์นำคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นมาเขียนไว้เกือบทั้งหมด และข้อ 3.โจทก์เขียนไว้ในฎีกาเพียงว่า "โจทก์ขอถือเอาคำอุทธรณ์ของโจทก์เป็นส่วนหนึ่งของคำฎีกาโจทก์" กับท้ายฎีกาของโจทก์ระบุว่า ดังนั้นขอศาลฎีกาได้โปรดพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายจำนวน395,147 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ฎีกาของโจทก์เช่นนี้เป็นฎีกาที่โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่ชอบและโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เพราะเหตุใด คำอุทธรณ์ของโจทก์ที่โจทก์ขอถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฎีกาโจทก์นั้นก็เป็นการคัดค้านเฉพาะคำพิพากษาศาลชั้นต้น ไม่อาจนำมาเป็นคำคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก (เดิม)ศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1894/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีอากรไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลเพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
โจทก์ได้อ้างเหตุในฟ้องไว้แล้วว่าโจทก์ได้รับอนุญาตให้จัดหางานได้ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2525 ก่อนหน้านั้นโจทก์ไม่มีรายได้หรือรายรับจากการประกอบธุรกิจดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยไว้ ดังนั้น เมื่อคดีฟังได้ว่าการประเมินภาษีอากรของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลจึงต้องเพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวตามฟ้องโจทก์เสียทั้งหมด หาจำต้องไปวินิจฉัยว่าส่วนใดถูกต้องส่วนใดไม่ถูกต้องเป็นจำนวนเท่าใดไม่ ความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีจะตกอยู่แต่คู่ความฝ่ายที่แพ้คดี คดีนี้เมื่อศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีอากรของจำเลยที่ 2 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นกรรมการคนหนึ่งแล้ว ศาลภาษีอากรกลางย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ได้โดยไม่จำต้องคำนึงว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายและปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ต่อจำเลยที่ 1 หรือไม่เพราะเป็นความสัมพันธ์ภายในระหว่างจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลภาษีอากรกลาง ดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1533/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนลิขสิทธิ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผลกระทบต่อสิทธิของผู้รับโอนสิทธิ
เอกสารสัญญามีข้อความระบุว่า บริษัท ด. ตกลงอนุญาตให้บริษัท ฟ. แต่ผู้เดียวเป็นผู้มีสิทธิเสนอฉายภาพยนตร์พิพาทในประเทศไทย มีกำหนดเวลา 5 ปี เมื่อหมดสัญญาผู้รับอนุญาตจะต้องส่งคืนก๊อบบี้ภาพยนตร์พิพาทแก่ผู้อนุญาตหรือทำลายพร้อมแสดงหลักฐานการทำลาย ดังนี้ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่บริษัท ด. เจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์พิพาทอนุญาตให้บริษัท ฟ. ใช้ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์พิพาทชั่วในระยะเวลาหนึ่งและเฉพาะในเขตพื้นที่ตามที่กำหนดในสัญญาเท่านั้นบริษัท ด. ยังเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์พิพาทอยู่ ซึ่งบริษัท ด. อาจอนุญาตให้ผู้อื่นใดใช้ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์พิพาทในอาณาเขตประเทศอื่นได้ ดังนั้น การที่บริษัท ฟ. ได้ทำหนังสือรับรองลิขสิทธิ์ภาพยนตร์พิพาทว่าได้โอนขายลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์นั้นให้แก่บริษัท ก. และต่อมาบริษัท ก. ได้ทำหนังสือสัญญาให้โจทก์ร่วมเช่าฟิล๎มภาพยนตร์พิพาทอีกทอดหนึ่ง คงทำให้โจทก์ร่วมได้สิทธิในภาพยนตร์พิพาทเพียงเท่าที่บริษัท ฟ. มีอยู่เท่านั้น เมื่อบริษัท ฟ. เป็นเพียงผู้รับอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ มิได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ โจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิดีกว่าสิทธิของบริษัท ฟ.ที่มีอยู่ แม้บริษัท ด. ได้ทำใบรับรองลิขสิทธิ์ว่า ได้โอนขายลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์พิพาทให้แก่บริษัท ก. และเมื่อวันทำสัญญาเช่าดังกล่าวบริษัท ก. ได้ทำหนังสือมอบหรือโอนลิขสิทธิ์ให้แก่โจทก์ร่วมด้วยก็ตาม แต่ใบรับรองการโอนลิขสิทธิ์ทำขึ้นภายหลังหนังสือโอนลิขสิทธิ์ ดังนั้น ที่บริษัท ก. ออกหนังสือมอบหรือโอนลิขสิทธิ์ให้โจทก์ร่วมจึงไม่มีผลให้โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์พิพาทแต่อย่างใดเพราะขณะโอนบริษัทดังกล่าวยังมิได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์นั้น ถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมมีลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์พิพาท โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจร้องทุกข์ โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1429/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: แม้ถอนฟ้องคดีก่อนได้ แต่ฟ้องซ้ำด้วยมูลหนี้เดิมก็ยังไม่ชอบ
คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องในคดีก่อนยังไม่ถึงที่สุดโดยจำเลยที่ 16 ถึงที่ 20 อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์ ต้องถือว่าคดีก่อนยังคงอยู่ในระหว่างการพิจารณา การที่โจทก์นำมูลหนี้รายเดียวกันมาฟ้องจำเลยที่ 8 ถึงที่ 20เป็นคดีนี้อีก จึงเป็นการฟ้องซ้อนกับคดีก่อน ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 (1)แม้ต่อมาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและคดีก่อนถึงที่สุด ก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์คดีนี้ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่ต้น กลายเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1340/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมาย: การฎีกาที่ไม่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อย่างชัดเจน
จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาแต่เพียงว่าจำเลยกระทำผิดโดยบันดาลโทสะจำเลยเห็นว่าข้อเท็จจริงยังฟังไม่เป็นข้อยุติว่าการกระทำของจำเลยและโจทก์ร่วมเป็นการสมัครใจทะเลาะวิวาทเช่นนี้ ฎีกาของจำเลยมิได้กล่าวอ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไม่ถูกต้องในข้อใดอย่างใด จึงไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 216