พบผลลัพธ์ทั้งหมด 541 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3282/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีที่ดินในโครงการจัดรูปที่ดิน: ข้อจำกัดด้านการโอนสิทธิและการคุ้มครองประโยชน์ของเจ้าหนี้
ที่ดินซึ่งโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดไว้นั้น เป็นที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดินตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517 ซึ่งมีข้อกำหนดห้ามโอนสิทธิภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีเมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์ถอนการยึด กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะกำหนดวิธีการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3263/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดในการฎีกา: ประเด็นใหม่นอกเหนือจากที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์วินิจฉัย และการอ้างเหตุปฏิบัติตามคำพิพากษาไม่ได้
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้ระบุให้ชัดว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ เป็นข้อที่จำเลยที่ 1 มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับพิพาทไม่เป็นโมฆียะ จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในประเด็นดังกล่าว คงอุทธรณ์แต่เพียงว่า สัญญาประนีประนอมยอมความไม่สามารถบังคับจำเลยที่ 2 ได้เพราะจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นคู่สัญญา และคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่สามารถบังคับเอากับจำเลยทั้งสองได้เท่านั้น ฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อที่ว่ากล่าวมาแล้วแต่ในศาลอุทธรณ์ภาค 2 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยทั้งสองสร้างรั้วและหลังคาบ้านรุกล้ำที่ดินโจทก์ โจทก์จึงไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจโท พ. ร้อยตำรวจโท พ.เรียกจำเลยทั้งสองไปไกล่เกลี่ย จำเลยที่ 1 ตกลงยินยอมทำบันทึกข้อตกลงว่าจะรื้อรั้วที่รุกล้ำและทำรางน้ำรับหลังคาบ้านที่รุกล้ำเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ.มาตรา 850 และรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 สร้างรั้วและหลังคาบ้านรุกล้ำที่ดินของโจทก์จริง
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 พร้อมที่จะรื้อถอนรั้วและหลังคาบ้านออกไปจากที่ดินโจทก์ตามคำพิพากษา แต่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในรั้วและหลังคาบ้านดังกล่าวไม่ยินยอม โดยอ้างว่าจำเลยที่ 2ไม่จำต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล เพราะศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และคดีของจำเลยที่ 2 ถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลได้ เพราะหากขืนปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลจำเลยที่ 2 มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ฐานละเมิดได้ เมื่อข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าวมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายอย่างไร เพียงแต่อ้างว่าปฏิบัติตามคำพิพากษาไม่ได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่จะต้องไปว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดี ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยป.วิ.พ.มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับพิพาทไม่เป็นโมฆียะ จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในประเด็นดังกล่าว คงอุทธรณ์แต่เพียงว่า สัญญาประนีประนอมยอมความไม่สามารถบังคับจำเลยที่ 2 ได้เพราะจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นคู่สัญญา และคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่สามารถบังคับเอากับจำเลยทั้งสองได้เท่านั้น ฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อที่ว่ากล่าวมาแล้วแต่ในศาลอุทธรณ์ภาค 2 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยทั้งสองสร้างรั้วและหลังคาบ้านรุกล้ำที่ดินโจทก์ โจทก์จึงไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจโท พ. ร้อยตำรวจโท พ.เรียกจำเลยทั้งสองไปไกล่เกลี่ย จำเลยที่ 1 ตกลงยินยอมทำบันทึกข้อตกลงว่าจะรื้อรั้วที่รุกล้ำและทำรางน้ำรับหลังคาบ้านที่รุกล้ำเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ.มาตรา 850 และรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 สร้างรั้วและหลังคาบ้านรุกล้ำที่ดินของโจทก์จริง
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 พร้อมที่จะรื้อถอนรั้วและหลังคาบ้านออกไปจากที่ดินโจทก์ตามคำพิพากษา แต่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในรั้วและหลังคาบ้านดังกล่าวไม่ยินยอม โดยอ้างว่าจำเลยที่ 2ไม่จำต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล เพราะศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และคดีของจำเลยที่ 2 ถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลได้ เพราะหากขืนปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลจำเลยที่ 2 มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ฐานละเมิดได้ เมื่อข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าวมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายอย่างไร เพียงแต่อ้างว่าปฏิบัติตามคำพิพากษาไม่ได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่จะต้องไปว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดี ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยป.วิ.พ.มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3251/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษจากความผิดฐานกระทำอนาจารเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกาย และข้อจำกัดในการฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 278 จำคุก 6 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 จำคุก 1 เดือน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้เพิ่มเติมโทษจำเลย จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3241/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ที่ดิน: ข้อจำกัดด้านมูลค่าและระยะเวลาการฎีกา
โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ไม่เคยอาศัยสิทธิของจำเลย โจทก์ยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทด้วยความสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกี่ยวกับการครอบครองที่ดินพิพาทจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ดินพิพาทราคา 50,000 บาท และโจทก์ยื่นฎีกาภายหลังจากวันที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 ใช้บังคับแล้ว โจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามมาตรา 248 วรรคแรก ที่แก้ไขใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2646/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำให้การหลังนัดชี้สองสถาน: ข้อจำกัดและเหตุผลที่ต้องห้ามตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การในวันนัดชี้สองสถาน เนื้อหาสาระที่ขอแก้ไขมิใช่ปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ทั้งเป็นข้อต่อสู้ที่มีพื้นฐานข้อเท็จจริงที่มีอยู่ก่อนจำเลยที่ 1 และที่ 2 อาจยกขึ้นต่อสู้ได้ก่อนวันชี้สองสถาน และจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้ระบุอ้างเหตุขัดข้องที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวได้ก่อนวันชี้สองสถาน คำร้องของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 วรรคสอง (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2614/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีแพ่ง: ราคาทรัพย์สินต่ำกว่าสองแสนบาท และปัญหาข้อเท็จจริง
ปัญหาที่ว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์หรือไม่ และบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์หรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 153/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง – เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157,162(2),267 เรียงกระทงลงโทษตามมาตรา 91 จำคุกกระทงละ 2 ปี รวมจำคุก 6 ปี ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกินห้าปี คู่ความต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความผิดฐานพาอาวุธปืนและการแก้ไขโทษ
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้กระทำผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร ตาม ป.อ.มาตรา 371เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 371 และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ แต่ให้ลงโทษตามพ.ร.บ.อาวุธปืน ฯ ซึ่งเป็นบทหนักให้จำคุก 6 เดือน และศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา 371 ให้ปรับ 100 บาท ซึ่งเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและโทษจำคุกไม่เกินห้าปีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคแรก
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องไปถึงความผิดฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตที่ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยจำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องไปถึงความผิดฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตที่ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยจำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1265/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาเรื่องโทษอาญา: ข้อจำกัดการฎีกาเมื่อศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษเพียงเล็กน้อย
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้นเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลล่างอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่ออุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษจากให้จำคุก 33 ปี 4 เดือน เป็นจำคุก 12 ปีซึ่งเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้จำคุกจำเลยเกินห้าปี โจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 218 วรรคสองที่แก้ไขแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1211/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษโดยศาลอุทธรณ์เป็นการเพิ่มโทษหรือไม่: ข้อจำกัดในการฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๓ มีกำหนด ๑ เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำคุกจำเลยที่ ๓ มีกำหนด ๑ เดือน และปรับ ๒,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี เป็นการแก้ไขมาก แต่ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษปรับ ๒,๐๐๐ บาท และ รอการลงโทษจำคุกไว้นั้น ไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษ จึงต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๙